WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

DBS copyบล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

"เลือกซื้อ/ถือค่าบวกของดัชนีและราคาหุ้น"

Stock Picks-June 2015 : Fundamental : CK, GL, KBANK, PLANB, TTCL
Dark Horse: BJCHI, MCS
Fundamental Pick -Today: INTUCH

Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF

Shot Sell-Prev : LPN 17%, RATCH 14%, BDMS 11%, THAI 10%

Technical View ภาพเป็นลบ แต่เน้นซื้อค่าบวก
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1510-1520 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 1000,1010 ค่าลบ

Technical Picks- Today : RCI, TCMC, PTG, SF, BLA, STAR, PYLON, KIAT

หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี


ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปิดลดลง 6.34 จุด การซื้อขายซบเซาเพราะนักลงทุนรอดูผลประชุมเฟดวันที่ 16-17 มิ.ย.นี้ และผลประชุมผู้นำเศรษฐกิจยุโรป 18 มิ.ย. ซึ่งคาดว่าจะมีการหารือเรื่องกรีซด้วย นักลงทุนต่างชาติและรายย่อยซื้อสุทธิแต่ไม่มาก ขณะที่สถาบันในประเทศและพอร์ตบล.ขายสุทธิซึ่งก็ไม่มากเช่นกัน สะท้อนความ Wait & See ชัดเจน
ความวิตกกังวลเรื่องความล่าช้าในการบรรลุข้อตกลงของกรีซกับกลุ่มเจ้าหนี้ ทำให้นักลงทุนขายพันธบัตรสเปน, อิตาลี, โปรตุเกส แล้วเข้าซื้อพันธบัตรสหรัฐที่มีความปลอดภัยสูงเพิ่มขึ้น อัตราผลตอบแทนพันธบัตร 10 ปีของอิตาลีและโปรตุเกสพุ่งขึ้นสู่ระดับสูงสุดของปีนี้ที่ 2.38% และ 3.26% ตามลำดับ ส่วนของสเปนเพิ่มเป็น 2.43% ส่วนตลาดหุ้นยุโรปอ่อนตัวลงแรงประมาณ 2%
+/- และดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐร่วงลง 0.4-0.6% และกดดันตลาดหุ้นเอเชีย & ไทยด้วย อย่างไรก็ตาม หากผลประชุมเฟดออกมาในลักษณะว่าจะยังไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็วก็จะช่วยหนุนให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรีบาวด์ได้ ซึ่งตัวเลขการผลิตภาคอุตสาหกรรมที่อ่อนตัวต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 6 ก็เป็นปัจจัยที่ชะลอการปรับขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐ เรายังคงประเมินกรอบของ SET Index ไว้ที่กรอบบน 1520-1530 และกรอบล่าง 1480-1470 จุด กลยุทธ์ เลือกซื้อหุ้นรายบริษัท สำหรับหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น INTUCH
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญานทางเทคนิคเป็นลบมากขึ้น แต่มีสิทธิเด้งแบบมีระยะทางจำกัดหลังอ่อนตัว กรอบแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1510-1520, 1530 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี ควรลดพอร์ตตามในกรณีที่มีเงินสดเหลืออยู่น้อย

 

Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงต่อ...วิตกเรื่องกรีซ โดยดัชนี DJIA ปิดลดลงอีก 107.67 จุด หรือ -0.60% ปัจจัยกดดัน คือ ความเสี่ยงเรื่องกรีซที่ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ และความกังวลเรื่องนี้บั่นทอนการฟื้นตัวของเศรษฐกิจยูโรโซน
กรีซ & กลุ่มเจ้าหนี้ยุโรป : จับตาการประชุมผู้นำรมว.คลังยูโรกรุ๊ปวันที่ 18 มิ.ย.นี้ ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าน่าจะมีความคืบหน้าในประเด็นเรื่องกรีซมากขึ้น ก่อนที่ความช่วยเหลือรอบนี้จะสิ้นสุดลงในสิ้นเดือนมิ.ย.58 และกรีซมีหนี้ครบกำหนดชำระ IMF มูลค่า 1.5 พันล้านยูโรภายใน 30 มิ.ย.58 ทั้งนี้กลุ่มเจ้าหนี้ยืนยันให้กรีซลดยอดขาดดุลงบประมาณด้วยการลดเงินบำเหน็จบำนาญลงสู่ระดับ 1% ของจีดีพี และปรับภาษีมูลค่าเพิ่มขึ้นอีก 1% ของจีดีพี ซึ่งเป็นเงื่อนไขที่กรีซยังไม่สามารถยอมรับได้
- สหรัฐ : การผลิตภาคอุตสาหกรรมลดลง 0.2%MoM ในเดือนพ.ค. ซึ่งเป็นการลดลงต่อเนื่องเดือนที่ 6 สวนทางกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 0.2%MoM ปัจจัยที่ทำให้แย่กว่าคาด คือ กำลังซื้อฟื้นตัวล่าช้า และการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นผู้สร้างบ้านปรับขึ้นสู่ 59 จุด ในเดือนมิ.ย.ซึ่งสูงสุดในรอบ 9 เดือน และดีกว่าที่ตลาดคาดไว้ที่ 56 จุด

อัตราการเติบโตการผลิตภาคอุตสาหกรรม (MoM)
สัญญาน้ำมันดิบอ่อนตัวลง โดยสัญญาส่งมอบก.ค.ของ WTI ลดลง 44 เซนต์ และ BRENT ลดลง 1.26 ดอลลาร์ ปิดที่ 59.52 และ 62.61 ดอลลาร์/บาร์เรล ตามลำดับ ทั้งนี้นักลงทุนจับตาดูการเจรจานิวเคลียร์อิหร่าน ซึ่งกลุ่ม P5+1 (สหรัฐ อังกฤษ ฝรั่งเศส จีน รัสเซีย และเยอรมนี) จะใช้ความพยายามในการบรรลุข้อตกลงขั้นสุดท้ายเพื่อควบคุมโครงการนิวเคลียร์ของอิหร่านให้ได้ภายในกำหนดเส้นตายวันที่ 30 มิ.ย.นี้
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX รีบาวด์ โดยสัญญาส่งมอบส.ค.เพิ่มขึ้น 6.6 ดอลลาร์ หรือ +0.56% ปิดที่ระดับ 1,185.80 ดอลลาร์/ออนซ์

ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
-/+ DTAC : คาดผลประกอบการ 2Q58 จะหดตัวแรง YoY และ QoQ…แนะนำ Switch ออกจาก DTACT เข้าซื้อ INTUCH เนื่องจากลูกค้าใหม่สุทธิลดลง (ราว 1.4 ล้านราย) เพราะยอดยกเลิกมากกว่าลูกค้าใหม่ โดยเฉพาะในระบบเติมเงิน รวมทั้งรายได้จากการขายโทรศัพท์ก็ลดลงด้วย ด้านต้นทุนยังสูง หลักๆ เป็นเรื่องของโครงข่ายและค่าเสื่อมราคาและค่าใช้จ่ายด้านการตลาดที่สูงขึ้นหลังการแข่งขันในธุรกิจรุนแรง นักวิเคราะห์ในตลาดประเมินกำไร 2Q58 หดตัว 40-43%YoY และ 21-26%QoQ เป็น 1.7-1.8 พันล้านบาท ส่วนแนวโน้ม 3Q58 คาดว่าจะดีขึ้นเมื่อเทียบ QoQ จากการที่บริษัทพยายามลดต้นทุนดำเนินงานและเรียกคืนลูกค้ากลับมา แต่เชื่อว่าจะฟื้นตัวได้ไม่มากนัก โดยค่าเสื่อมราคาใน 2H58 จะยังสูงจากการที่บริษัทต้องลงทุนในโครงข่ายเพิ่มอีกราว 1 หมื่นล้านบาท โดยรวมทั้งปี 58 ตลาดคาดการณ์กำไรสุทธิจะลดลง 20% เป็น EPS-58F ที่ 3.8 บาท/หุ้น คาดการณ์ Dividend Yield ปีนี้ 4.5% ซึ่งต่ำกว่า ADVANC และ INTUCH ที่ประมาณ 5.5-6.0% ในเชิงกลยุทธ์แนะนำให้ Switch ออกจาก DTAC เข้าซื้อ INTUCH ซึ่งให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลสูงกว่า และคาด EPS-58F เติบโตได้ 7-10%
/+ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง : ลุ้นโครงการภาครัฐเปิดประมูลมากขึ้นใน 2H58 หลังจากล่าช้ามาหลายเดือน ส่วนการลงทุนในโครงการที่ประมูลจบไปแล้วก็น่าจะคืบหน้ามากขึ้น ล่าสุดรมว.คมนาคมมีคำสั่งให้ต่อรองราคาก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีแดงสัญญาที่ 3 ให้แล้วเสร็จภายในเดือนมิ.ย.นี้ โดยคาดว่ามูลค่าเงินลงทุนจะอยู่ที่ 3.16 หมื่นล้านบาท (กลุ่ม MHSC ซึ่งชนะประมูลโดยเสนอราคา 32,850 ล้านบาท ส่วนราคากลางอยู่ที่ 30,500 ล้านบาท)


โดยรวมเรายังมีมุมมองที่ดีต่อหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และวัสดุก่อสร้างในระยะกลาง-ยาว เนื่องจากโครงการลงทุนขนาดใหญ่ที่รอเปิดประมูลนั้นมีอีกมากในช่วง 5 ปีข้างหน้า ทำให้อุตสาหกรรมมีโอกาสที่จะเติบโตได้อย่างต่อเนื่อง อย่างไรก็ตาม ในระยะสั้นมากราคาหุ้นอาจจะค่อนข้างนิ่งเพราะรอ Catalyst แต่เมื่อมีโครงการใหญ่เปิดประมูลเป็นการจุดพลุ ก็คาดว่าจะทำให้หุ้นกลุ่มเหล่านี้คึกคักขึ้น กลยุทธ์ ซื้อสะสมเพื่อลงทุน หุ้นเด่น คือ CK, SEAFCO, PYLON, SCC เป็นต้น


TCAP ปรับลดเป้าหมายการเติบโตของสินเชื่อปีนี้ลงเหลือ 0-2% (เดิม 2-4%) เนื่องจากเศรษฐกิจที่ซบเซาและการธุรกิจเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ยังฟื้นตัวช้า ส่วน NPL คาดว่าถึงสิ้นมิ.ย.58 จะอยู่ในระดับไม่เกิน 3% และถึงสิ้นปี 58 มีโอกาสที่จะลดลงเพราะมีการประนอมหนี้และปรับโครงสร้างอย่างต่อเนื่อง ขณะที่ปล่อยสินเชื่อใหม่น้อยลง ธนาคารเน้นการหารายได้ค่าธรรมเนียมอื่นเข้ามาช่วยหนุน เช่น รายได้จากประกัน, จากวาณิชธนกิจ เป็นต้น เรามีมุมมองที่เป็น Neutral กับ TCAP แม้ว่า ณ ราคาหุ้นปัจจุบันจะซื้อขายที่ P/BV ปี 58 ต่ำเพียง 0.8 เท่า แต่การเติบโตของกำไรปี 58-59 ค่อนข้างจำกัดที่ 2-6% ต่อปี และธนาคารมี ROE ต่ำที่ 10.4% ขณะที่เฉลี่ยของอุตสาหกรรมเท่ากับ 17% จึงแนะนำเพียงถือเพื่อรับเงินปันผล ซึ่งคาดว่า Dividend Yield ปี 58-59 จะอยู่ที่ 5% ต่อปี
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!