- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 12 June 2015 17:41
- Hits: 1925
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
เลือกซื้อ/ถือเมื่อ SET ยังเหนือ 1500
Top Picks-Fund Jan-12 : Fundamental : CK, GL, KBANK, PLANB, TTCL Dark Horse: BJCHI, MCS
Top Picks -Fund Today: IVL
Top Picks-High Div Yield : ADVANC, INTUCH, BTS, DCC, DELTA, DTAC, AP, QH, SPALI, SRICHA, MODERN, TISCO, TMT, BTSGIF, JASIF, CPNRF, TRUEIF
Shot Sell-Prev : ITD 13%
Technical View ภาพเป็นบวกแต่ต้องระวังแกว่ง
Support Resistance Stop loss
SET ซื้อค่าบวก 1520-1530 ค่าลบ
SET50 ซื้อค่าบวก 1010,1020 ค่าลบ
Top Picks-Tech Today : TCAP, SEAFCO, SAMART, SCN, BH, STAR, IVL
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้: ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index เมื่อวานนี้ปิดเพิ่มขึ้น 10.77 จุด เนื่องจากความกังวลเรื่องกรีซผ่อนคลายลง หลังมีกระแสข่าวว่าเยอรมนียอมรับบางข้อของแผนปฎิรูปของกรีซ รวมถึงการที่กนง.คงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 1.50% ทำให้ความวิตกเรื่อง NIM ของกลุ่มธนาคารพาณิชย์ลดลงไปด้วย อย่างไรก็ตาม ตลาดยังมีความระมัดระวังกับการลงทุน เห็นได้จากแรงขายที่สลับออกมาจนทำให้ดัชนีไม่สามารถปิดในระดับสูงของวันนี้ (ดัชนีสูงสุดของวันอยู่ที่ 1518.34 ส่วนระดับปิดเท่ากับ 1514.81) เมื่อวานนี้มี Big Lot ของ KTIS มูลค่า 10.9 พันล้านบาท (878.8 ล้านหุ้น @ 12.44 บาท/หุ้น) นักลงทุนต่างชาติและรายย่อยขายสุทธิกลุ่มละ 2 พันกว่าล้านบาท สถาบันในประเทศและพอร์ตบล.ซื้อสุทธิ
สำหรับวันนี้ คาดว่าดัชนีจะเคลื่อนไหวกรอบแคบโดยอาจมีการอ่อนตัวสลับในวัน เนื่องจากกลับมากังวลกับปัญหาหนี้กรีซอีกระลอกหลัง IMF ไม่ยอมรับเงื่อนไขการปฎิรูปของกรีซ และยังไม่มีปัจจัยบวกใหม่ที่มีนัยสำคัญเข้ามา การลงทุนจึงเป็นการเลือกซื้อรายบริษัทต่อไป เรามีมุมมองที่ดีขึ้นกับกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีหลังจากราคาน้ำมันดิบ WTI และ BRT ขยับขึ้นต่อใน 2Q58 และมีเสถียรภาพมากขึ้น รวมถึงมีโอกาสขยับขึ้นในระยะต่อไปหลังจากที่การผลิตน้ำมันดิบสหรัฐชะลอตัวลง ทำให้หุ้นกลุ่มดังกล่าวจะมีโอกาสเกิดกำไรจากสต็อกใน 2Q58 และในระยะต่อไปได้ ขณะที่ Core Profit ยังไปได้ดีจากค่าการกลั่นที่เพิ่มขึ้น และ Spread ปิโตรเคมีที่ดีขึ้น หุ้นเด่นเป็น PTT, TOP, IVL, PTTGC ส่วนกลุ่มที่เป็น Domestic Play เรามีมุมมองที่เป็น Neutral หุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น IVL
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : สัญญานทางเทคนิคพลิกกลับเป็นบวก แต่ยังต้องระวังการแกว่งและอ่อนตัวในระยะถัดไป กรอบแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่ 1520-1530, 1540 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดี ต่ำกว่า 1500 จุด ลดพอร์ตตาม
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นแต่ลดช่วงบวกลงมากจากในวัน โดยดัชนี DJIA +38.97 จุด (จากที่บวกสูงสุดในวันที่ +109.73 จุด) ดัชนี S&P 500 +3.66 จุด หรือ +0.17% ปัจจัยหนุน คือ ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.ที่เพิ่มขึ้นดีและเป็นไปตามคาดของนักวิเคราะห์ แต่มีแรงกดดันเข้ามาก่อนปิดตลาดว่ากรีซไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับเจ้าหนี้ IMF
+ สหรัฐ : ยอดค้าปลีกเดือน +1.2% ในเดือนพ.ค. สู่ระดับ 4.449 แสนล้านดอลลาร์ ใกล้เคียงกับการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ และบ่งชี้ว่าผู้บริโภคเพิ่มการใช้จ่ายหลังมีท่าทีระมัดระวังในช่วงต้นปี
- กรีซ : มีกระแสข่าวว่าการเจรจาแก้ไขวิกฤติหนี้ระหว่างกรีซและฝ่ายเจ้าหนี้ล้มเหลว หลัง IMF ประกาศว่าตัวแทนของ IMF ได้ยุติการเจรจาในกรุงบรัสเซลส์และเดินทางกลับประเทศโดยทันที เนื่องจากมีความเห็นที่แตกต่างกันอย่างมากกับทางกรีซ
- กรีซ : S&P ประกาศลดความน่าเชื่อถือกรีซลงเป็น CCC (ต่ำกว่าระดับลงทุนได้) สะท้อนความเสี่ยงว่ารัฐบาลกรีซอาจผิดนัดชำระหนี้ภายใน 12 เดือนข้างหน้านี้
กลุ่มโอเปกผลิตทะลุเพดานในเดือนพ.ค.58 กลุ่มโอเปกรายงานปริมาณการผลิตน้ำมันดิบเดือนพ.ค.ว่าเพิ่มขึ้น 5 หมื่นบาร์เรลเป็น 31.33 ล้านบาร์เรล/วัน ซึ่งสูงสุดนับตั้งแต่ส.ค.2555 เนื่องจากซาอุฯ, อิรัก และสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพิ่มปริมาณการผลิตสู่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ทำให้ปริมาณการผลิตของกลุ่มโอเปกเดือนพ.ค.สูงกว่าเพดานเฉลี่ยที่ตั้งไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรล/วัน
+ แต่...EIA ปรับเพิ่มตัวเลขอุปสงค์น้ำมัน โดยของ 1Q58 เป็นส่วนเพิ่ม 1.7 ล้านบาร์เรล/วัน และปรับเพิ่มคาดการณ์ส่วนเพิ่มของอุปสงค์เฉลี่ยในปี 58 เพิ่มเป็น 1.4 ล้านบาร์เรล/วัน
ราคาน้ำมันดิบอ่อนลงแต่ยังอยู่ในระดับค่าเฉลี่ยของประมาณการ โดยสัญญา WTI และ BRENT ส่งมอบก.ค.ลดลง 66 เซนต์ และ 59 เซนต์ ปิดที่ 60.77 และ 65.11 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งอยู่เกณฑ์ค่าเฉลี่ยของราคาน้ำมันดิบที่ IEA ประมาณการไว้สำหรับปี 58-59
เรามีมุมมองที่ดีขึ้นเป็น Slightly Positive ต่อกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมี โดยเห็นว่าน่าสนใจเก็บสะสมหุ้นในกลุ่มนี้เพื่อลงทุนระยะกลาง-ยาว เนื่องจากแนวโน้มผลประกอบการมีแนวโน้มที่จะดีขึ้นจากราคาน้ำมันดิบที่ค่อยๆ ขยับขึ้นตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก หลังจากดิ่งมาราวครึ่งหนึ่งในช่วง 2H57 ทาง EIA คาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ WTI เฉลี่ยปี 58-59 ไว้ที่ 61 และ 67 ดอลลาร์/บาร์เรล (ระดับปิด WTI สิ้นปี 57 เท่ากับ 53.55 ดอลลาร์/บาร์เรล และปิดสิ้น 1Q58 เท่ากับ 47.60 ดอลลาร์/บาร์เรล) โดยราคาน้ำมันดิบ BRENT สูงกว่า WTI ประมาณ 5 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มพลังงานและปิโตรเคมีนี้เป็น PTT, TOP ส่วนหุ้นเด่นในกลุ่มปิโตรเคมี คือ IVL และ PTTGC - สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบส.ค.ลดลง 6.2 ดอลลาร์ หรือ 0.52% ปิดที่ 1,180.40 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งขึ้นเมื่อเทียบกับ 6 สกุลหลักในตะกร้าเงิน (ล่าสุด ดัชนี US Dollar Cash Index อยู่ที่ 95.105 และระดับต่ำสุดของ YTD อยู่ที่ 93.276 ส่วนสูงสุดใน YTD เป็น 100.42)
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
/+ ปัญหาโรคระบาดเมอร์สเป็นบวกเล็กๆ ต่อการท่องเที่ยวของไทย โดยนักท่องเที่ยวบางส่วนได้เปลี่ยนเป้าหมายประเทศท่องเที่ยวเป็นไทย, ญี่ปุ่น หรือประเทศอื่นๆ ในเอเชียแทน ขณะที่ภาคท่องเที่ยของไทยยังคงฟื้นตัวแข็งแกร่งต่อเนื่อง โดยคาดว่าจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เข้ามาไทยใน 2Q58 จะเติบโตมากกว่า 20%YoY ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่ช่วง Low season แล้วก็ตาม สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มท่องเที่ยวของเราเป็น AOT, CENTEL, MINT
+ GL คาดการณ์ว่าผลประกอบการ 2Q58 เติบโตก้าวกระโดดมาก เนื่องจากธุรกิจในประเทศยังไปได้ดี ขณะที่ธุรกิจในกัมพูชาเติบโตก้าวกระโดดต่อเนื่อง และฐานกำไรที่ต่ำเพียง 7 ล้านบาทใน 2Q58 ทั้งนี้บริษัทรายงานกำไรสุทธิ 1Q58 เท่ากับ 110 ล้านบาท เราคาดกว่าใน 2Q58 จะอยู่ที่ 115+/- ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นอย่างมากเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน บริษัทได้รับใบอนุญาตทำธุรกิจเช่าซื้อรถจักรยานยนต์ในลาวแล้วเมื่อพ.ค.58 คาดว่าจะทำกำไรได้ชัดเจนตั้งแต่ปี 60 เป็นต้นไป สำหรับ Key growth ในปี 58-59 คือ ธุรกิจในกัมพูชาที่เติบโตก้าวกระโดด สัดส่วนกำไรของกัมพูชาจะเพิ่มเป็น 40% ของกำไรรวมในปี 58 (จาก 15% ในปี 57) เราแนะนำซื้อ GL สำหรับราคาเป้าหมาย 13 บาท ยังไม่รวมธุรกิจในลาว และประเทศอื่นๆที่กำลังจะเข้าไปลงทุน เช่น เวียดนาม, อินโดนีเซีย เป็นต้น แต่หากรวม ราคาเป้าหมายก็จะปรับขึ้นได้อีก ซี่งอยู่ระหว่างพิจารณา
+ SUPER : บริษัทมั่นใจว่าจะ COD โรงไฟฟ้าโซลาร์ได้ครบ 500 MW ในสิ้นปี 58 นี้...กำไรปี 59 เติบโตก้าวกระโดด ปัจจุบันบริษัทมีกำลังการผลิตไฟฟ้าและจ่ายไฟฟ้าเข้าระบบแล้ว 145 MW และคาดว่าในสิ้น 3Q58 จะเพิ่มเป็น 396 MW แล้วเป็น 500 MW ในสิ้นปี 58 นอกจากนั้นบริษัทยังมีการลงทุนในพลังงานลมและในต่างประเทศ (เช่น โซลาร์ในญี่ปุ่น คาดว่าจะสรุปผลการร่วมทุนกับพันธมิตรได้ใน 2H58 ซึ่งตั้งเป้าหมายในญี่ปุ่นไว้ที่ 300 MW) ด้วย บริษัทมีเป้าหมายว่าใน 3 ปีข้างหน้า (สิ้นสุดปี 60) จะมีกำลังการผลิตไฟฟ้าทางเลือก (โซลาร์, ลม, ชีวมวล) ทั้งหมด 2,000 MW
บริษัทคาดว่าผลประกอบการ 2H58 จะพลิกฟื้นดีขึ้นจากที่ขาดทุนใน 1H58 (บริษัทรายงานผลขาดทุนสุทธิ 34 ล้านบาทใน 1Q58) และคาดว่ากำไรจะเติบโตก้าวกระโดดในปี 59
อย่างไรก็ตาม EPS Growth จะเติบโตน้อยกว่ามากเพราะมี Dilution Effect จำนวนมากจากการเพิ่มทุนและแปลงสภาพวอร์แรนต์ ในเชิงกลยุทธ์ ณ ราคาปัจจุบันของ SUPER ที่ 1.86 บาท ควรรอซื้อเมื่อราคาอ่อนตัว
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]