- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 08 June 2015 17:46
- Hits: 1156
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ซื้อ/ถือค่าบวกและ SET ยืนเหนือ 1500 จุด”
หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : SET Index ปรับขึ้นและเหนือแนวจิตวิทยา 1500 จุดได้ โดยปิดที่ 1507.37 (+16.47 จุด) นักลงทุนกลับมาเลือกซื้อหุ้นพื้นฐานขนาดกลาง-ใหญ่ เช่น KBANK, SCB, PTT, PTTGC, SCC, TPIPL, TASCO, BDMS, LPN, QH เป็นต้นนอกจากนั้นมีการซื้อหุ้นเล็กช่วยหนุนด้วย ได้แก่ TRC, IFEC, SCN, SAMCO เป็นต้น นักลงทุนสถาบันในประเทศเข้าซื้อสุทธิต่ออีก 3.4พันล้านบาทในวันศุกร์ ส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือขายสุทธิ
สัปดาห์นี้ติดตามผลประชุมกนง.วันที่ 10 มิ.ย.58 ว่าจะมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 0.25% หรือทรงไว้ที่ 1.50% โดยทาง DBSประเมินว่าโอกาสที่จะปรับลดมีมากขึ้นแต่ยังไม่ชัดเจนว่าจะเป็นการประชุมรอบนี้หรือรอบต่อไป ซึ่งจากการวิเคราะห์ของ Quant Team พบว่าถ้าอัตราดอกเบี้ยลดลง 0.25% ค่า Mean ของ Fair SET Index ในช่วงที่เหลือของปีนี้จะเพิ่มขึ้น 4.7% ส่วนปัจจัยต่างประเทศมีข่าวบวกจากตัวเลขภาคแรงงานของสหรัฐที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง และการเติบโตของ GDP ประจำ 1Q58 ของญี่ปุ่นเพิ่มขึ้นจากประมาณการครั้งแรก อย่างไรก็ตาม ความวิตกปัญหาหนี้กรีซยังกดดัน รวมถึงการออกหุ้น IPO จำนวนมากในจีนก็อาจกระทบราคาหุ้นในตลาดด้วย (ขายหุ้นในตลาดเพื่อจองซื้อ IPO) ส่วนหุ้นพื้นฐานแนะนำซื้อวันนี้เป็น CPN
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นบวกเล็กๆ แต่ยังไม่ทิ้งความเสี่ยงที่จะลงต่ำอีกรอบ กรอบแนวต้านระยะสั้นอยู่ที่1520, 1530-1540 จุด แนะนำซื้อเก็งกำไรตามด้วยค่าบวก ค่าลบดูไม่ดีควร Wait & See, หลุด 1500 จุดแนะนำให้ลดพอร์ตตามสำหรับการ SCAN หาหุ้นมีสัญญาณบวกทางเทคนิคหรือมีโอกาสทำ New high พบว่าหุ้นที่เข้ามาใหม่ คือ CPN, S11, SENA, TRUE, BLAส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List เป็น STPI, BH, STAR สำหรับหุ้นที่อยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take Profit คือ UNIQ, BRR
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+ สหรัฐ : ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเพิ่มขึ้น 280,000ตำแหน่งในเดือนพ.ค. จากระดับ 221,000 ตำแหน่งในเดือนเม.ย.ขณะที่อัตราการว่างงานเพิ่มขึ้นสู่ระดับ 5.5% จาก 5.4% ในเดือนเม.ย. ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบเกือบ 7 ปี
+ ญี่ปุ่น : ปรับเพิ่ม GDP ประจำ 1Q58 เป็น +3.9%YoY(+1.0%QoQ) จากเดิม +2.4% (+0.6%QoQ) ซึ่งดีกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ที่ 2.7% (Median) ปัจจัยหนุน คือ การลงทุนและสินค้าคงคลังของภาคเอกชนที่เพิ่มขึ้น
-ตลาดหุ้นยุโรปร่วงกว่า 1% เพราะกังวลปัญหาหนี้กรีซ โดยล่าสุดกรีซได้เลื่อนชำระคืนหนี้ IMF งวดวันที่ 5 มิ.ย.ออกไปรวมกับหนี้อีก 3 ก้อนที่ครบกำหนดชำระวันที่ 12, 16 และ 19 มิ.ย.58 เป็นก้อนเดียวมูลหนี้ประมาณ 1.5 พันล้านยูโรเพื่อชำระภายใน 30 มิ.ย.58 ซึ่งทาง IMF ก็ตอบรับคำร้องไปแล้ว
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : ร่วงต่อ โดยดัชนี DJIA ลดลง 0.3% ปัจจัยกดดันหลักยังเป็นเรื่องปัญหาหนี้กรีซ รวมทั้งตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ที่ออกมาดีเกินคาดก็ทำให้กระแสคาดการณ์ว่าเฟดจะไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยในปีนี้อ่อนลงไป
+ ราคาน้ำมันรีบาวด์...จำนวนแท่นขุดเจาะน้ำมันสหรัฐลดลงต่อเนื่อง โดยสัญญา WTI และ BRENT ปรับขึ้น 1.13 และ 1.28ดอลลาร์ ปิดที่ 59.13 และ 63.31 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยกลุ่มโอเปกมีมติตรึงปริมาณการผลิตไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรล/วันไปอีก 6 เดือน ซึ่งเป็นไปตามคาดการณ์ของตลาด เบเกอร์ ฮิวจ์รายงานแท่นขุดเจาะน้ำมันรอบสัปดาห์สิ้นสุด 29 พ.ค.ลดลงอีก 13 แห่งเป็น 646 แห่ง
- สัญญาทองคำ COMEX ร่วงต่อ 7.10 ดอลลาร์ ปิดที่ 1168.10ดอลลาร์/ออนซ์ กดดันโดยการแข็งค่าของเงินดอลลาร์สหรัฐ
ปัจจัยในประเทศและหุ้นเด่น
•/+ JMART และพันธมิตรซื้อ Big Lot หุ้น SINGER 40% (108ล้านหุ้น) ราคาหุ้นละ 14 บาท ในเบื้องต้นเชื่อว่า SINGER จะช่วยต่อยอดธุรกิจของบริษัท JMT ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ JMART ได้จากการที่มีฐานลูกค้าครอบคลุมทั่วประเทศได้ สำหรับผู้ถือหุ้นที่ขายออก40% คือ Singer (Thailand) B.V. ด้านผู้ซื้อเป็น JMART 24.9% (ซื้อไม่เกิน 25% ไม่ต้องทำเทนเดอร์ฯ) และพันธมิตรอีก 15.1%สำหรับ SINGER ใน 1Q58 มีกำไรสุทธิ 49 ล้านบาท (EPS : 0.18บาท/หุ้น) และมี BVS สิ้นมี.ค.58 เท่ากับ 6.02 บาท/หุ้น ส่วนประมาณการ EPS ปี 58-59 ใน Consensus อยู่ที่ 1.01 และ 1.20บาท/หุ้น ราคาที่ซื้อขาย 14 บาท คิดเป็น P/E ปี 58-59 เท่ากับ 13.9และ 11.7 เท่า ตามลำดับ ถือว่าไม่สูงเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรปีละ 15+/-% ของบริษัท นักวิเคราะห์ใน Consensus ให้ราคาพื้นฐาน SINGER ปี 58 ไว้ที่ 14.30 บาท
• ประชุมกนง.วันที่ 10 มิ.ย.นี้...ทาง DBS Group Research เห็นว่าโอกาสที่อัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงอีกรอบมีมากขึ้น แต่ไม่แน่ชัดว่าคณะกรรมการกนง.จะลดอัตราดอกเบี้ยลงต่อในรอบนี้เลยหรือไม่ ทั้งนี้กนง.มีมติลดดอกเบี้ยมาต่อเนื่องแล้ว 2 รอบ ล่าสุดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.50% และเงินบาท Spot อ่อนค่าลงมาแล้ว 3.6%QTD (อ่อนลง 1.18 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ) ซึ่งก็ช่วยหนุนภาคส่งออกใน 2Q58 ได้พอควร (รายได้ & มาร์จิ้นที่แปลงกลับมาในรูปเงินบาทดีขึ้น) เราเห็นว่าหุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ลิสซิ่ง และเช่าซื้อจะ Sensitive ต่ออัตราดอกเบี้ยในช่วงนี้มากกว่ากลุ่มที่พักอาศัยและค้าปลีก หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายลดลงอีก 0.25% คาดว่าจะมีการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มลิสซิ่งและเช่าซื้อ (หุ้นเด่น GL, S11, AEONTS)แต่หุ้นกลุ่มธนาคารพาณิชย์มีสิทธิแผ่วลง เพราะกังวลว่า NIM จะแคบลงไปอีก ด้านกลุ่มที่พักอาศัย&ค้าปลีกจะทรงถึงบวกเล็กน้อยจากประเด็นนี้เพราะปัจจัยที่มีน้ำหนักต่อกลุ่มเหล่านี้คือความเชื่อมั่นผู้บริโภค ซึ่งยังไม่ดีในช่วงเศรษฐกิจซบเซา อย่างไรก็ตาม มีบางบริษัทที่มี Catalyst จากการเปิดขายโครงการใหม่ใน 2Q58 และคาดว่าตัวเลข Presales จะเพิ่มขึ้นมาก คือ AP (ราคาพื้นฐาน 8.8 บาท)
• วิเคราะห์ระดับของ SET Index ในช่วงที่เหลือของปี 58 ทางQuant Team ของ DBSV Thailand ได้ทำการวิเคราะห์โอกาสความเป็นไปได้ของ SET Index ระดับต่างๆ เมื่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ที่ 1.25% และ 1.50% เป็นดังตารางด้านล่างนี้
• กลุ่มสื่อสาร : กสท.จะคุยกับกสทช.เรื่องเปิดประมูล 4G ที่อาจต้องเลื่อนออกไป 1-2 เดือน หลัง DTAC ทำหนังสือคืนคลื่น1800 MHz จำนวน 5 เมกที่จะสิ้นสุดสัมปทานปี 2561 โดยหากนำไปรวมกับที่จะเปิดประมูล 25 เมก จะเป็น 30 เมก ทำให้ 2 สัญญาที่เปิดประมูลจะเพิ่มเป็นสัญญาละ 15 เมก (เดิม 12.5 เมก) ซึ่งกสท.มองว่าประเทศจะได้ประโยชน์มากกว่า...เป็นปัจจัยลบเล็กๆ กับกลุ่มสื่อสาร แต่ถ้าเลื่อนประมูลออกไปเพียง 1-2 เดือนก็กระทบไม่มากและคาดว่า 4G จะช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับอุตสาหกรรมได้แม้ว่าส่วนเพิ่มจะไม่มากเท่ากับการเปลี่ยนจาก 2G เป็น 3G แนะนำถือADVANC (ราคาพื้นฐาน 225 บาท), DTAC (ราคาพื้นฐาน 88 บาท)ซื้อลงทุนรับปันผลใน INTUCH (ราคาพื้นฐาน 90 บาท) และซื้อเก็งกำไร TRUE (ราคาพื้นฐาน Consensus 12.80 บาท)