- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 05 June 2015 16:51
- Hits: 1235
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(-) ตลาดหุ้นต่างประเทศ : DJIA -170.69, NASDAQ -40.11, S&P -18.23, FTSE -91.22, CAC -47.04 และ DAX -79.02 ภายใต้ปัจจัยกดดัน (1) ความกังวลว่ากรีซจะไม่สามารถชำระคืนหนี้งวดแรกให้กับกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) ประมาณ 300 ล้านยูโร ได้ทันกำหนดในวันนี้ หลังยังไม่สามารถตกลงกันได้กับกลุ่มเจ้าหนี้ในบางประเด็น และ (2) IMF ลดคาดการณ์เศรษฐกิจสหรัฐฯ ในปี’58 จากคาดการณ์เดิมเมื่อเมย. ที่ 3.1% เป็น 2.5% และแนะนำให้เฟด ชะลอการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยออกไปเป็นปีหน้า ขณะที่จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน ล่าสุดลดลง 8,000 ราย อยู่ที่ 276,000 ราย และตัวเลขดังกล่าวยังคงต่ำกว่าระดับ 300,000 ราย เป็นสัปดาห์ที่ 13 ติดต่อกัน ซึ่งเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่าตลาดแรงงานยังคงมีความแข็งแกร่ง
…..ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ก.ค. -US$1.64 อยู่ที่ US$58.00 ต่อบาร์เรล ภายใต้ปัจจัยกดดันจากคาดการณ์การประชุมโอเปก (5/6/58) จะยังคงโควต้าการผลิตน้ำมันที่ 30 ล้านบาร์เรลต่อวัน นับแต่การประชุมพ.ย. ’57 และการปรับลดการขยายตัวทางเศรษฐกิจในปี’58 ของสหรัฐฯ ข้างต้น
......ราคาทองคำ (COMEX) ส่งมอบเดือน ส.ค. -US$9.7 อยู่ที่ US$1,175.2 ต่อออนซ์ ภายใต้ปัจจัยกดดันจากเงินสหรัฐฯ ที่แข็งค่าขึ้น หลังข้อมูลแรงงานล่าสุดยังแข็งแกร่ง และกระตุ้นให้ขายสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย
(-) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ –1,688 ล้านบาท สะสมตั้งแต่ต้นปีสุทธิ -9,379 ล้านบาท (ปี’57 มียอดขายสุทธิสะสม 36,584 ล้านบาท)
ทิศทางตลาด
ทิศทางตลาด : คาดยังผันผวน? คาดมีโอกาสปรับลงตามตลาดต่างประเทศ ภายใต้ปัจจัยเดิมที่กดดันภาพรวมตลาดเพิ่มขึ้น จากสถานการณ์ในกรีซที่ล่าสุดยังไม่สามารถตกลงกันได้ ขณะที่กรีซมีหนี้ที่ครบกำหนดชำระให้กับ IMF งวดแรกในวันนี้ จำนวน 300 ล้านยูโร จากทั้งหมดที่ครบชำระในเดือนมิย. รวม 1,600 ล้านยูโร ซึ่งในกรณีเลวร้ายสุดอาจทำให้กรีซต้องออกจากยูโร และอาจส่งผลกระทบต่อประเทศสมาชิกอื่นๆ
....นอกจากนี้ยังมีประเด็นความไม่แน่นอนเกี่ยวกับระยะเวลาของเฟดที่จะขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฟดจะมีการประชุมในวันที่ 16 – 17/6/58 ขณะที่ล่าสุดประธานเฟดระบุอาจพิจารณาขึ้นอัตราดอกเบี้ยในปีนี้ หากการขยายตัวทางเศรษฐกิจอยู่ในความคาดหมาย และการปรับขึ้นเป็นในลักษณะค่อยเป็นค่อยไป
.....ทางด้านปัจจัยในประเทศ คาดยังได้รับปัจจัยลบจาก Fund Flow หลังมีแรงขายสุทธิของต่างชาติต่อเนื่อง และคาดยังได้รับปัจจัยกดดันจากประเด็นเดิม เช่น (1) ความกังวลต่อทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจไทย ล่าสุด ธปท. คาด GDP ปี’58 ต่ำกว่า 3.8% และคาดจะมีการปรับลดเป้าหมายในการประชุม กนง. (10/6/58) อย่างไรก็ตามเริ่มมีการคาดการณ์ว่า กนง. อาจจะมีการพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีก 0.25% เป็น 1.25% หลังปรับลดลงติดต่อ 2 ครั้งที่ผ่านมา ซึ่งคาดน่าจะเป็นปัจจัยบวกต่อตลาดฯ แนะเก็งกำไรกลุ่มที่อยู่อาศัย เช่น SIRI เป็นต้น และ (2) ประเด็นที่กระทรวงการคลังจะขายหุ้น ที่คาดเป็น Sentiment ลบ ต่อหุ้นที่กระทรวงการคลังถืออยู่ เช่น PDI, MFC, TMB, NEP, MCOT, THAI, PTT, BCP, AOT และ THL แต่ล่าสุดกระทรวงการคลังออกมาให้ข่าวว่าจะไม่ขายหุ้น PTT ซึ่งเป็นรัฐวิสาหกิจหลัก
.....รวมถึงแนะติดตามหุ้นกลุ่มโรงกลั่น เช่น TOP, PTTGC, IRPC และ BCP จากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูง ประมาณ 8 – 9 USD/bll และ (1) กลุ่มรับเหมาก่อสร้างที่คาดยังคงได้รับประโยชน์จากโครงการภาครัฐ เช่น CK, ITD, SEAFCO และ UNIQ (2) ค่าเงินบาทที่มีทิศทางอ่อนค่า ล่าสุดเคลื่อนไหวบริเวณ 33.75 – 33.77 คาดส่งผลดีต่อส่งออก และหุ้นในกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ เช่น DELTA, HANA, SMT (3) กลุ่มวัสดุก่อสร้างที่คาดได้รับประโยชน์ต่อเนื่องจากโครงการก่อสร้างของภาครัฐ เช่น SCC และ TASCO เป็นต้น
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี -0.06 อยู่ที่ 2.31% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54) และดัชนีความเสี่ยง (VIX) +1.05 อยู่ที่ 14.71
หุ้นแนะนำ : SEAFCO
ประเด็นที่ต้องติดตาม (5 - 10 มิย. ’58)
5/6/58 : สหรัฐฯ เปิดเผย (1) ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตร - พค.
10/6/58 : ประชุม กนง.
หุ้นแนะนำ
SEAFCO : ราคาเป้าหมาย (ปี’58) 15.50 บาท
(ทันหุ้น 5 – 7/6/58) SEAFCO มีงานที่เข้าร่วมประมูลงานฐานรากทั้งภาคเอกชนและรัฐ มูลค่ารวม ประมาณ 2,000 ล้านบาท คาดได้รับงานไม่ต่ำกว่า 30 - 40% เพื่อรองรับรายได้ในอนาคต ขณะที่ Backlog ล่าสุด ประมาณ 980 ล้านบาท ที่คาดสามารถรับรู้ใน 2Q/58 ประมาณ 500 ล้านบาท
SEAFCO เป็น 1 ในกลุ่มผู้ประกอบการงานฐานราก ที่นอกจากจะได้รับประโยชน์จากแผนงานลงทุนโครงสร้างพื้นฐานของภาครัฐ แล้ว ยังมีงานก่อสร้างจากภาคเอกชน โดยเฉพาะงานอาคารสูงที่มีแนวโน้มขยายตัวตามแนวเส้นทางรถไฟฟ้า
มีระยะเวลาก่อสร้างที่ค่อนข้างสั้น เฉลี่ยประมาณ 3 – 5 เดือน ทำให้มีโอกาสรับงานใหม่เข้ามาชดเชย Backlog ที่ลดลงต่อเนื่อง คาดงานที่ได้รับเพิ่มในปี’58 โดยเฉพาะใน 1H/58 ส่วนใหญ่สามารถทยอยก่อสร้างและรับรู้ได้ในปี’58 ซึ่งเป็นจุดเด่นเมื่อเทียบกับกลุ่มผู้รับเหมาก่อสร้างทั่วไป ที่ใช้ระยะเวลาก่อสร้างแต่ละโครงการนานกว่า
สามารถจัดการความเสี่ยงจากต้นทุนได้ดี แม้ในช่วงที่ราคาวัสดุก่อสร้าง (ต้นทุนหลักๆ เช่น คอนกรีตผสมเสร็จ ซีเมนต์ เหล็กเส้น และน้ำมันดีเซล) สูงขึ้น ยังสามารถยังรักษาความสามารถในการทำกำไรที่ดีไว้ได้ เฉลี่ย Gross Profit Margin และ Net Profit Margin อยู่ที่ 20% และ 17% ตามลำดับ คาดผลการดำเนินงานในปี’58 ที่คาดทำ New High ต่อเนื่องจากปีทีผ่านมา โดยคาดรายได้และกำไรสุทธิ 2,204 ล้านบาท และ 278 ล้านบาท ตามลำดับ เติบโตประมาณ 17% และ 32% ตามลำดับ
ประเมินราคาเป้าหมายที่ 15.50 บาท (หลังจ่ายปันผลเป็นหุ้น สัดส่วน 20 หุ้นเดิม : 1 หุ้นปันผล)
นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ 02-684-8788