WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

ASP copyบล.เอเซีย พลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

 

กลยุทธ์การลงทุน
       SET Index ยังมีแนวโน้มแกว่งตัวลงจากความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวล่าช้า และมีความเสี่ยงต่อการปรับลด EPS ตลาด สอดคล้องกับผลสำรวจนักวิเคราะห์โดย IAA คาด SET ยังมีแนวโน้มทรงกับลง กลยุทธ์ยังเน้นหุ้นที่มีกำไรฟื้นตัวในช่วงที่เหลือปีนี้ โดยเลือก VNG ([email protected]) และ RCL(FV@B 14.7) เป็น Top Picks

SET Index 1,508.16
เปลี่ยนแปลง (จุด) -15.70
มูลค่าซื้อขาย (ล้านบาท) 27,732.68

ยอดซื้อ-ขายสุทธิ นักลงทุนแต่ละประเภท (ล้านบาท)
นักลงทุนต่างชาติ 965.74
บัญชีบริษัทหลักทรัพย์ -1,028.93
นักลงทุนสถาบันในประเทศ -1,002.01
นักลงทุนรายย่อย 1,065.20

 

ความเชื่อมั่นภาคธุรกิจยังไม่ฟื้น ในลักษณะเดียวกับภาคครัวเรือน
       รายงานความเชื่อมั่นภาคอุตสาหกรรม ในเดือน เม.ย. จากการสำรวจผู้ประกอบการ 1,202 รายครอบคลุม 43 กลุ่มอุตสาหกรรมพบว่าปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 86.2 จาก 87.7 ในเดือน มี.ค. โดยลดลงต่อเนื่องนับตั้งแต่เดือน ต.ค. และต่ำสุดในรอบ 7 เดือน โดยปัจจัยลบที่ส่งผลต่อความเชื่อมั่นของผู้ประกอบการเกิดจากภาวะเศรษฐกิจในประเทศที่ชะลอตัวลง และภาคส่งออกที่ชะลอตัวตามเศรษฐกิจโลก รวมถึงภัยแล้งที่กระทบต่อผลผลิตภาคการเกษตรในช่วงที่ผ่านมา ที่กดดันกำลังซื้อของประชาชน โดยเฉพาะกลุ่มเกษตรกรซึ่งเป็นประชากรส่วนใหญ่ของประเทศ ทั้งนี้นับว่าสอดคล้องกับตัวเลขดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคเดือน เม.ย. ที่ลดลงจาก 77.7 ในเดือนก่อนหน้ามาอยู่ที่ 76.6 (ลดลงต่อเนื่อง 4 เดือน และต่ำสุดในรอบ 10 เดือน) และดัชนีความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจโดยรวมลดลงต่อเนื่องเช่นกันเป็นเดือนที่ 3 มาอยู่ที่ 66 จากระดับ 67.1 ในเดือน มี.ค.
จะเห็นว่าดัชนีชี้นำเศรษฐกิจยังมีแนวโน้มอ่อนตัวลง สวนทางกลับตัวเลข GDP growth 1Q58 ที่ออกมาขยายตัว 3% yoy (0.3% qoq) ซึ่งการเติบโตของ GDP อาจเกิดจากฐานที่หดตัว 0.4% yoy ในงวด 1Q57 ซึ่งสภาพแวดล้อมดังกล่าวยังคงไม่เปลี่ยนแปลงคาดว่าใน 2Q58 GDP น่าจะขยายตัวได้ในระดับใกล้เคียงกับ 1Q58 เนื่องจากมีฐานที่ต่ำเช่นกัน (0.9% yoy) อย่างไรก็ตามดัชนีชี้นำเศรษฐกิจทางภาคอุตสาหรรมและภาคการบริโภคที่ยังปรับลดลงดังกล่าวข้างต้นจะยังเป็นปัจจัยที่กดดัน SET Index อยู่ต่อไปอีกระยะหนึ่ง

ผลสำรวจ IAA นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาด SET ทรงกับลง
       ผลการสำรวจของสมาคมนักวิเคราะห์การลงทุน (IAA) เกี่ยวกับทิศทางตลาดหุ้น ทองคำ น้ำมัน และตราสารหนี้ สรุปได้ดังนี้
      ตลาดหุ้น พบว่ามุมมองส่วนใหญ่แตกต่างกัน โดยในช่วง 3 เดือนข้างหน้า (พ.ค.-ก.ค.) กลุ่มแรกส่วนใหญ่ราว 54.17% ของผู้ตอบทั้งหมด คาดดัชนีจะมีทิศทางทรงตัวถึงปรับตัวลง ที่เหลือ 45.84% มองว่ามีแนวโน้มขึ้น ถึงแกว่งตัวขึ้น โดยคาดการณ์ว่าดัชนีในช่วงพฤษภาคม - กรกฎาคม 2558 จะอยู่ที่เฉลี่ย 1,519 จุด (vs ล่าสุดอยู่ที่ 1,523 จุด) และจะปรับขึ้นไปเป็นเฉลี่ย 1,612 จุดในช่วงสิ้นปี 2558 ซึ่งนับว่าต่ำกว่าการสำรวจครั้งล่าสุดเมื่อ ม.ค. ที่ผ่านมา ซึ่งคาดว่าสิ้นปี 2558 จะอยู่ที่ 1,670 จุด หรือลดลง 58 จุด คิดเป็น 3.5% จากคาดการณ์ครั้งก่อน ทั้งนี้ปัจจัยที่มีอิทธิพลต่อตลาดพบว่าผู้ตอบแบบสอบถามส่วนใหญ่ เห็นตรงกันว่าเหตุผลสนับสนุนสำคัญคือ โครงการลงทุนขนาดใหญ่ของภาครัฐ รองลงมาคือทิศทางอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย สภาพคล่องในตลาดเงิน และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรป ขณะที่ปัจจัยลบส่วนใหญ่ให้น้ำหนักกับปัจจัยการเมืองในประเทศ รองลงมาคือผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน และภาวะเศรษฐกิจโดยรวมของไทย ตามลำดับ ทั้งนี้อยู่ภายใต้สมมติฐานหลักคือ 1) GDP Growth ปี 2558 เฉลี่ย 3.2% ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์ครั้งก่อนที่ 3.8% แต่จะเพิ่มเป็นเฉลี่ย 3.8% ในปี 2559 และ 2) กำไรต่อหุ้นของตลาด (EPS)ในปี 2558 และปี 2559 อยู่ที่ 96.8 บาท (ลดลงจากประมาณการครั้งก่อนที่ 107.0 บาท) และ 109.5 บาท ตามลำดับ เติบโตเฉลี่ย 22.1% ในปี 2558 และ 13.0% ในปี 2559 และอัตราดอกเบี้ยนโยบายจะลดลงจากปัจจุบัน 1.5% เหลือเฉลี่ย 1.1-1.75% ในปี 2558 แต่จะเพิ่มเป็น 1.25-2.25% ปี 2559


ตลาดทองคำ นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ 81.82% มองว่าตลาดทองคำมีแนวโน้มทรงตัว ถึงปรับตัวลดลง ที่เหลือส่วนน้อย มองว่าจะแกว่งตัวขึ้น โดยคาดว่า ณ สิ้นปี 2558 ราคาทองคำจะอยู่ที่เฉลี่ย 19,506 บาทต่อบาททองคำ ซึ่งสูงกว่าคาดการณ์ครั้งที่ผ่านมาเล็กน้อยหรือ 3% (คาดการณ์เดิมอยู่ที่ 18,884 บาทต่อบาททองคำ) และ ณ สิ้นปี 59 ราคาจะอยู่ที่เฉลี่ย 20,454 บาทต่อบาททองคำซึ่งสูงกว่าคาดการณ์เดิม 2.9% โดยมีปัจจัยที่คาดว่าจะมีอิทธิต่อราคาทองคำมากที่สุด คือ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ รองลงมา คือ มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของธนาคารกลางยุโรป
ตลาดน้ำมัน นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่มีความเห็นสอดคล้องไปในทางเดียวกัน คือ คาดว่าราคาน้ำมันน่าจะผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว และจากนี้น่าจะขึ้นมากกว่าลง กล่าวคือผู้ตอบ 42.86% ประเมินว่าตลาดน้ำมันจะมีแนวโน้มขึ้นถึงแกว่งตัวขึ้น และอัตราใกล้เคียงกันคือ 42.86% คาดว่าทรงตัว และมีเพียงส่วนน้อย 9.52% ที่มองว่าแกว่งตัวลง ทั้งนี้ปัจจัยที่มีอิทธิพลมากสุดคือ แนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ทั้งนี้ ผู้ตอบคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบ Brent ปี 2558 จะอยู่ที่เฉลี่ย 61.6 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ลดลงจากคาดการณ์เดิมที่ 66.1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล และปี 2559 คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 70.1 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งต่ำกว่าคาดการณ์เดิมที่ 71.9 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลเล็กน้อย

 

ต่างชาติซื้อหุ้นไทยเพียงตลาดเดียวในภูมิภาค
วานนี้นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นภูมิภาคราว 68 ล้านเหรียญ โดยขายสุทธิอยู่ 3 ประเทศ นำโดยตลาดหุ้นอินโดนีเซียถูกขายสุทธิราว 11 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 2) ตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ที่ถูกขายสุทธิ 6 ล้านเหรียญ (ขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 12) และตลาดหุ้นไต้หวันสลับมาขายสุทธิอีกครั้งราว 81 ล้านเหรียญ ส่วนตลาดหุ้นไทยวานนี้เป็นตลาดหุ้นเดียวในภูมิภาคที่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิราว 29 ล้านเหรียญ หรือ 966 ล้านบาท ตรงข้ามกับสถาบันในประเทศที่ขายสุทธิราว 1,002 ล้านบาท (ตลาดหุ้นเกาหลีใต้ปิดทำการเนื่องจากเป็นวันหยุด) ทางด้านตราสารหนี้ นักลงทุนสถาบันในประเทศซื้อสุทธิ 9,227 ล้านบาท ต่างกับกับนักลงทุนต่างชาติที่ขายสุทธิ 1,044 ล้านบาท ล่าสุดค่าเงินบาทอยู่ที่ 33.58 บาท/ดอลลาร์ ซึ่งอ่อนค่าลงจากวันก่อนหน้า

กลยุทธ์ในช่วง SET ปรับฐาน เน้นหุ้นพื้นฐาน + เงินปันผลเด่น
ในภาวะตลาดหุ้นไทยปรับฐาน ยังคงเน้นกลยุทธ์การลงทุน ในหุ้นมีผลกำไรโดดเด่นต่อเนื่องในช่วงที่เหลือของปีนี้ และ กำไรทั้งปีจะเติบโตได้มากกว่าตลาด เช่น หุ้นที่ได้ประโยชน์จากน้ำมันขาลง (RCL), หุ้นส่งออก ที่ได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (VNG, TUF, HANA) พลังงานและปิโตรเคมีที่ผ่านจุดต่ำสุด (IRPC, PTTGC, PTT) รับเหมาก่อสร้าง ที่มีประเด็นบวกรองรับในครึ่งปีหลัง (STPI, SYNTEC, TTCL, SEAFCO) สื่อสาร จากนโยบายรัฐฯ ที่เริ่มชัดเจนขึ้น (THCOM) และ บันเทิง ที่มีแนวโน้มฟื้นตัวหลังผ่านจุดต่ำสุด(RS, WORK) เป็นต้น ตามมาด้วยหุ้นปันผลที่มีคุณสมบัติ Expected P/E ต่ำ หรือ EPS Growth สูง โดยการคัดกรองจะใช้ ASP Smart ซึ่งเป็น application เรื่องหุ้น และ warrant บนมือถือ เป็นเครื่องมือในการค้นหา รายละเอียดดังนี้ คือ
1) หุ้นที่มีค่า Expected P/E ต่ำกว่า 12 เท่า และ EPS Growth มากกว่า 27% คือ
- VNG ([email protected]) Expected P/E 9.9 เท่า, EPS Growth 42.4%, Upside 26.5%
- PTT ([email protected]) Expected P/E 10.2 เท่า, EPS Growth 86.1%, Upside 11.5%
- PTTGC ([email protected]) Expected P/E 9.7 เท่า, EPS Growth 97.8%, Upside 5.1%
2) หุ้นที่มีค่า Expected P/E ต่ำกว่า 12 เท่า และ มี Dividend Yield สูงเกิน 4%
- SPALI ([email protected]) Expected P/E 5.7 เท่า, Div.Yield 7.1%, Upside 76.6%
- THANI ([email protected]) Expected P/E 7.6 เท่า, Div.Yield 7.9%, Upside 57.4%
- AIT (FV@B53) Expected P/E 9.1 เท่า, Div.Yield 5.9%, Upside 53.6%
- STPI ([email protected]) Expected P/E 8.3 เท่า, Div.Yield 4.6%, Upside 44.1%
- ASK ([email protected]) Expected P/E 8.5 เท่า, Div.Yield 8.2%, Upside 47.5%
- TVO (FV@B30) Expected P/E 10.6 เท่า, Div.Yield 7.9%, Upside 35.1%
- BJCHI ([email protected]) Expected P/E 9.3 เท่า, Div.Yield 6.2%, Upside 21.3%
- SITHAI([email protected]) Expected P/E 10.6 เท่า, Div.Yield 5.2%, Upside 28%
- TISCO([email protected]) Expected P/E 7.6 เท่า, Div.Yield 6.6%, Upside 14.4%
- TMT(FV@B10) Expected P/E 10. เท่า, Div.Yield 7.7%, Upside 15.7%
3) มี Dividend Yield สูงเกิน 5% และมี Expected P/E ระหว่าง 12-17 เท่า
- INTUCH (FV@B113) Expected P/E 14.6 เท่า, Div.Yield 6.8%, Upside 45.8%
- TTW ([email protected]) Expected P/E 14.8 เท่า, Div.Yield 5.9%, Upside 18.8%
- ADVANC (FV@B285) Expected P/E 16.9 เท่า, Div.Yield 5.9%, Upside 21.3%

นักวิเคราะห์: ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์ : กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล

 

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!