- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 19 May 2015 16:36
- Hits: 1584
บล.เคเคเทรด : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ติดตามสถานการณ์ทางการเมือง
SET View
แนวโน้ม SET แกว่งตัวลงทดสอบแนวรับที่เส้นค่าเฉลี่ย 10 วันหรือบริเวณ 1505 จุด วานนี้ และมีการฟื้นตัวได้จนมาปิดติดลบเพียงเล็กน้อย 1.78 จุด เราคาดวันนี้ SET แกว่งตัวออกข้างต่อในกรอบ 1505-1520 จุด
วานนี้ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์ (Brent) ลดลง 0.8% มาปิดที่ 66.27 เหรียญฯ/บาร์เรล หลังจาก Goldman Sachs ออกมาปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในระยะยาวเหลือเพียง 60-65 เหรียญฯในช่วงปี 2559-2562 และจะลดลงเหลือ 55 เหรียญฯในปี 2563 เนื่องจากการผลิตน้ำมันจากหินดินดาน (Shale oil) ในฝั่งสหรัฐฯมีประสิทธิภาพมากขึ้น และการเพิ่มกำลังการผลิตของฝั่ง OPEC นอกจากนี้ การดีดตัวของ Dollar index กว่า 1.2% วานนี้ เป็นปัจจัยที่ทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงเช่นกัน เป็นผลกระทบเชิงลบต่อ sentiment การลงทุนในหุ้นพลังงานวันนี้
วันนี้ มี 2 เหตุการณ์ทางการเมืองที่สำคัญ คือ 1) ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง นัดพิจารณาคดี น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ในข้อหาทุจริตโครงการรับจำนำข้าว 2) การประชุมร่วมระหว่าง นายกรัฐมนตรี, คสช. และ ครม. เพื่อพิจารณาข้อเสนอของคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญในการจำทำประชามติร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ หากมีมติเห็นชอบ เราประเมินว่า การเลือกตั้งครั้งใหม่ ต้องเลื่อนออกไปจากกำหนดการเดิมในเดือน ก.พ.59 อย่างน้อย 3 เดือน
กลยุทธ์การลงทุน : ค่าเงินดอลล่าร์สหรัฐฯแข็งค่าขึ้นมากวานนี้ ทำให้เงินบาทมีโอกาสอ่อน
ค่าในวันนี้ แนะนำเก็งกำไรหุ้นส่งออกที่ได้รับอานิสงส์จากการอ่อนค่าของเงินบาท
Top Daily Pick : SAPPE (มูลค่าเหมาะสม 36.90 บาท) สัดส่วนการส่งออกกว่า 60% ได้รับประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า, คาดผลประกอบการฟื้นตัวใน 2Q58-3Q58 ตามปัจจัยฤดูกาล, คาดกำไรสุทธิปีนี้เติบโตสูง 19%YoY
Technical Pick : BA CBG TLUXE DTAC AP (โปรดอ่านบทวิเคราะห์ Technical เพื่อประกอบการตัดสินใจลงทุน)
Theme Plays : หุ้นที่ได้รับคัดเลือกเข้า MSCI Global Small Cap รอบ พ.ค.58 (BEAUTY, WORK)/ หุ้นได้ประโยชน์จากเงินบาทอ่อนค่า (SVI)/ กลุ่มโรงแรม (MINT ERW) จำนวนนักท่องเที่ยวเดือนเมษายนทำสถิติสูงสุดในประวัติการณ์
แนวโน้มผลประกอบการอ่อนตัว
คาดกำไรสุทธิ 2Q58 อ่อนตัว
ค่าการกลั่นที่เริ่มอ่อนตัว จะเป็นปัจจัยกดดันกำไรสุทธิ 2Q58 โดยปัจจุบันกลุ่มผลิตภัณฑ์น้ำมันดีเซลและน้ำมันเตาเริ่มลดลง เนื่องจากผ่านช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว และสภาพอากาศที่หนาวเย็น ขณะที่โรงกลั่นในภูมิภาคซึ่งเริ่มหยุดซ่อมบำรุงตามแผนในเดือน มี.ค. เริ่มกลับเดินเครื่องในเดือน เม.ย. นี้ ทั้งนี้แนวโน้มค่าการกลั่นยังมีความเสี่ยงที่จะอ่อนตัวต่อเนื่องจากกำลังกลั่นใหม่ในภูมิภาคที่จะเริ่มทยอยเดินเครื่องใน 2Q58 เป็นปัจจัยกดดัน แม้จะมีปัจจัยบวกจากธุรกิจปิโตรเคมีจะเริ่มมีสัญญาณของการฟื้นตัว และความเสี่ยงต่อการรับรู้ Stock Loss ที่ลดลง แต่เราเชื่อว่าปัจจัยบวกดังกล่าวจะถูกลดทอดด้วย Crude Premium ที่มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น และต้นทุนกลั่นที่เพิ่มขึ้นตามทิศทางราคาน้ำมัน
โครงการ UHV เดินหน้าตามแผน
ผู้บริหารมั่นใจ โครงการ UHV จะสามารถเริ่มผลิตเชิงพาณิชย์ 4Q58 ตามกำหนด โดยปัจจุบันโครงการก่อสร้างไปแล้วกว่า 93% (ณ สิ้นเดือน เม.ย.) โครงการดังกล่าวนอกจากจะความสามารถในการเลือกน้ำมันดิบเข้ากลั่นได้หลากหลายขึ้น ยังทำให้หน่วยกลั่นสามารถเพิ่มกำลังการกลั่นจากปัจจุบันได้ และสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับผลิตภัณฑ์ ด้วยการลดสัดส่วนน้ำมันเตาที่มีมูลค่าต่ำกว่าทุนจาก 23% เหลือ 8% มาเปลี่ยนเป็นผลิตภัณฑ์ Propylene โดยภายหลังโครงการเริ่มดำเนินการผลิต บริษัทจะมีกำลังผลิต Propylene เพิ่ม 78% จาก 412KTA เป็น 732KTA ขณะที่โครงการ Poly Propylene (PP) และ PP Compounding กำลังผลิตรวม 300KTA จะสามารถเริ่มผลิตในปี 2560
เร่งโครงการ PP เพื่อลดความเสี่ยง
จากการเข้าฟัง Knowledge sharing เกี่ยวกับธุรกิจ Propylene Market พบว่าปัจจุบันยังคงมีปัญหา Over supply ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการพัฒนา Shale Oil และ Shale Gas ในช่วงที่ผ่านมา รวมไปการเพิ่มกำลังผลิต Propylene จากจีน ด้วยวิธีการผลิตใหม่ๆ (CTO MTO และ PDH) แม้การพัฒนาวิธีการใหม่จะมีข้อจำกัดเนื่องจากใช้น้ำในกระบวนการผลิตมาก แต่คาดว่าจีนจะยังคงมีกำลังผลิต Propylene เพิ่มเฉลี่ย 5 ล้านตันต่อปี ระหว่างปี 2558 – 2559 ภาพรวมของธุรกิจดังกล่าว ทำให้ IRPC จำเป็นต้องต่อยอดโครงการ UHV ด้วยการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับ Propylene เป็น PP และ PP Compounding เพื่อเป็นการลดความเสี่ยงต่อความผันผวนของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์
ยังคงแนะนำ “ขาย”
เราคาดว่ากำไรสุทธิปี 2558จะอยู่ที่ 8.6 พันล้านบาท พลิกจากผลขาดทุนในปี 2557 ทั้งนี้เราได้รวมกำไรพิเศษจากเงินประกัน และการชำระคืนหนี้ของลูกหนี้ (TPI Aromatic) ไว้ในประมาณการแล้ว ผลประกอบการที่ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในช่วง 1Q58 ที่ผ่านมา เราเชื่อว่าสะท้อนไปในมูลค่าหุ้น จนทำให้ปัจจุบันราคาหุ้นอยู่สูงกว่ามูลค่าเหมาะสมที่เราประเมินไว้ที่ 3.8 บาท ทำให้เรายังคงแนะนำ “ขาย” เช่นเดิม
Strategy Talk
GDP ไทยออกมาต่ำกว่าคาด แต่ตลาดไม่ได้กังวลมากนัก
GDP 1Q58 ของไทย ขยายตัว 3%YoY ต่ำกว่าที่ Bank of America Merrill Lynch (BoAML) คาดการณ์ไว้ที่ระดับ 3.3%YoY ขณะที่ Bloomberg consensus ประเมินไว้ที่ 3.4%YoY แม้ GDP 1Q58 ออกมาต่ำกว่าคาด แต่อยู่ในระดับที่ตลาดไม่ได้กังวลมากนัก สะท้อนจาก SET ที่ปรับตัวลดลงเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ขณะที่เงินบาท กลับแข็งค่าขึ้น 0.24% วานนี้
แรงขับเคลื่อนสำคัญใน 1Q58 คือการลงทุน (ขยายตัว 10.7%YoY) โดยเฉพาะการลงทุนภาครัฐ เพิ่มขึ้นถึง 37.8%YoY มาจากการเบิกจ่ายงบลงทุนในหมวดที่ดินและสิ่งก่อสร้างของภาครัฐ (+74.1%YoY) และโครงการก่อสร้างของรัฐวิสาหกิจ (+30.4%YoY) ฟื้นตัวจากฐานต่ำใน 1Q57 ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ทางการเมือง
ขณะที่การส่งออก หดตัวมากถึง 4.3%YoY เนื่องจาก 1) ประเทศคู่ค้าหลักอย่างจีนและญี่ปุ่น เผชิญภาวะเศรษฐกิจชะลอตัว 2) เงินบาทแข็งค่า 3) ราคาสินค้าเกษตรและน้ำมันสำเร็จรูป ตกต่ำ 4) การตัดสิทธิพิเศษทางการค้าหรือ GSP ของสินค้าไทยที่ส่งไปยังยุโรป
สำหรับแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในปีนี้ สศช. คาดว่า GDP จะเติบโตได้ในระดับ 3-4%YoY (ลดลงจากเดิมที่ 3.5-4.5%YoY) โดยมีปัจจัยสนับสนุนจาก 1) การใช้จ่ายและการลงทุนภาครัฐเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งจะเหนี่ยวนำให้ภาคเอกชนใช้จ่ายและลงทุนตาม (Crowding-in effect) 2) การท่องเที่ยวยังเติบโตได้ดี 3) การผลิตภาคอุตสาหกรรมปรับตัวดีขึ้นและสนบัสนุนการขยายตัวทางเศรษฐกิจ 4) ผู้บริโภคมีกำลังซื้อมากขึ้นจากราคาน้ำมันเชื้อเพลิงที่อยู่ในระดับต่ำ
ปิยะภัทร์ ภัทรภูวดล นักกลยุทธ์การลงทุน