WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

'อาจมีแกว่ง...แต่ยืนเหนือ 1450 จุดได้ยังคงให้เลือกซื้อ/ถือต่อ'
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
     • ภาพตลาดวันก่อน : SET Index ปรับลดลงต่อ 6.69 จุด มาปิดที่ 1457.02 จุด มูลค่าซื้อขาย 4 หมื่นล้านบาทปลาย โดยนักลงทุนมีการขายทำกำไรหุ้นกลุ่มหลัก หลังไม่มีปัจจัยใหม่ที่มีนัยสำคัญ นักลงทุนต่างชาติ, สถาบันในประเทศ และพอร์ตบล.ขายสุทธิแต่กลุ่มละไม่มาก ส่วนรายย่อยเป็นกลุ่มเดียวที่ซื้อสุทธิ
      • ปัจจัยและกลยุทธ์ : ในวันนี้ Sentiment ตลาดหุ้นค่อนไปทางลบ โดยเฉพาะจากปัจจัยต่างประเทศที่มีความกังวลกับ Valuation ที่สูงของหุ้นในตลาดสหรัฐ และความตึงเครียดในอิรัก ทำให้นักลงทุนโยกย้ายเม็ดเงินบางส่วนออกจากตลาดหุ้น แล้วเข้าไปลงทุนในสัญญาน้ำมันดิบและสัญญาทองคำเพิ่มขึ้น ซึ่งราคาน้ำมันดิบที่พุ่งขึ้นแรงเป็นบวกกับ PTTEP (แนะนำซื้อเก็งกำไร, ราคาพื้นฐาน 164 บาท) ส่วนในประเทศมีการพิจารณาแผนยุทธศาสตร์การลงทุนโครงการคมนาคม & ระบบโลจิสติกส์ทั้งหมด (รวมทางอากาศ) มูลค่า 3 ล้านล้านบาทภายใน 8 ปี (ปี 58-65) หรือคิดเป็นมูลค่าลงทุนประมาณ4 แสนล้านบาท/ปี ใกล้เคียงกับงบลงทุนในงบประมาณรายจ่ายประจำปี ซึ่งเป็นบวกระยะยาวกับกลุ่มรับเหมาฯ (หุ้นเด่น CK, STEC) & วัสดุก่อสร้าง(หุ้นเด่น SCC, SCCC, TASCO, TMT) และธนาคารพาณิชย์ (หุ้นเด่น BBL, KBANK, KTB) เราแนะนำเลือกซื้อลงทุนในกลุ่มดังกล่าว สำหรับปัจจัยที่จับตาในสัปดาห์หน้า คือ การประชุมกนง. ซึ่งจะมีในวันพุธที่ 18 มิ.ย.57 เราคาดการณ์ว่ากนง.จะคงอัตราดอกเบี้ย R/P 1 วันไว้ที่ 2.00% ก่อน แต่ไม่น่าจะมีผลต่อหุ้นที่อ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยในกลุ่มที่พักอาศัย, ธนาคารพาณิชย์, เช่าซื้อ, พาณิชย์ มากนัก ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะกลาง-ยาว ยังคงแนะนำให้ทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดีในจังหวะราคาอ่อนตัว สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิควันนี้ ยังคงแนะนำเลือกซื้อ/ถือหุ้นต่อเมื่อ SET Index สามารถยืนเหนือแนวฟิวเตอร์ที่ 1450 จุด โดยมีแนวต้านระยะสั้น 1470-1480 จุด หุ้นพื้นฐานแนะนำของวันนี้เป็น CK

 

Fundamental Pick
CK แนะนำซื้อปิด 22.20 บาท ราคาพื้นฐาน 22.1 บาท(อยู่ระหว่างปรับปรุง)
       • กำไรหลัก 1Q57 ดีกว่าที่เราคาดไว้ก่อนหน้า สาเหตุจากอัตรากำไรขั้นต้นที่ทำได้มาก แม้ว่ากำไรสุทธิ 1Q57 ที่ 365 ล้านบาท จะลดต่ำลงถึง 93% y-o-y แต่เป็นเพราะฐาน 1Q56 มีการบันทึกกำไรพิเศษเป็นจำนวนมาก สำหรับอัตรากำไรขั้นต้น 1Q57 เป็น 11.4% เพิ่มขึ้น 1% y-o-yตามความคืบหน้าในการก่อสร้างโครงการขนาดใหญ่ๆ เช่น เขื่อนไซยะบุรี วงแหวนศรีรัช และโรงงานยาสูบ แนวโน้มธุรกิจสดใส เนื่องจากมีงานก่อสร้างในมือสูงมากถึง 112.5 พันล้านบาทและการลงนามในสัญญาก่อสร้างใหม่ๆที่จะลงนามเพิ่ม 21.8 พันล้านบาท ส่วนการเปิดประมูลงานใหม่ๆของภาครัฐและภาคเอกชนในระยะต่อไปเป็นโอกาสใหม่ๆของบริษัท รวมทั้งบริษัทเองก็พยายามปรับปรุงการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพดีขึ้น ทำกำไรได้มากขึ้น แนะนำซื้อลงทุนระยะยาว ราคาพื้นฐาน 22.10 บาท ซึ่งประเมินด้วยวิธี SOTP (อยู่ระหว่างปรับปรุง)

 

ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+ ยูโรโซน : การผลิตฟื้นตัวต่อเนื่อง
       + สำนักงานสถิติแห่งสหภาพยุโรปหรือยูโรสแตทเปิดเผยว่า ผลผลิตภาคอุตสาหกรรมของยูโรโซนเพิ่มขึ้น 0.8%MoM ในเดือนเม.ย.57

      • สหรัฐ : ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.เพิ่มขึ้นน้อยกว่าคาด และจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์เพิ่มเล็กน้อย
       • ยอดค้าปลีกเดือนพ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 0.3% แต่น้อยกว่าที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะ
เพิ่มขึ้น 0.6% ส่วนยอดค้าปลีกพื้นฐาน ซึ่งไม่นับรวมยอดขายยานยนต์ น้ำมันเบนซิน วัสดุ
ก่อสร้าง และการบริการด้านอาหาร ทรงตัวที่ระดับเดิมในเดือนพ.ค.
      • จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 7 มิ.ย.ปรับตัวเพิ่มขึ้น4,000 ราย แตะที่ 317,000 ราย ตรงข้ามกับที่นักวิเคราะห์ส่วนใหญ่คาดว่าจะลดลงมาอยู่ที่ระดับ 310,000 ราย แต่ก็ถือว่าภาคแรงงานยังอยู่ในช่วงฟื้นตัว

- ตลาดหุ้นสหรัฐปรับฐานลงต่อ
      - ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 16,734.19 จุด ร่วงลง 109.69 จุด หรือ -0.65% ดัชนีNASDAQ ปิดที่ 4,297.63 จุด ลดลง 34.30 จุด หรือ -0.79% ดัชนี S&P500 ปิดที่ 1,930.11 จุดลดลง 13.78 จุด หรือ -0.71% ปัจจัยกดดัน คือ การขายทำกำไรหลังจากที่ดัชนีปรับขึ้นตอบรับข่าวบวกไปมากแล้ว ขณะที่ธนาคารโลกปรับลดคาดการณ์อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐลงเป็น 2.1% จากเดิม 2.8%

       + สัญญาน้ำมันดิบเพิ่มขึ้น เพราะเหตุการณ์ตึงเครียดในอิรัก...หนุนหุ้นในกลุ่มน้ำมันเช่น PTTEP
       + สถานการณ์ตึงเครียดในพื้นที่ทางตอนเหนือและตอนกลางของอิรัก ผลักดันราคาน้ำมันดิบให้ปรับขึ้นแรง ปิดตลาด สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.พุ่งขึ้น 2.13 ดอลลาร์ ปิดที่106.53 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 18 ก.ย.56 ส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดลอนดอน พุ่งขึ้น 3.07 ดอลลาร์ ปิดที่113.02 ดอลลาร์/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับปิดสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 9 ก.ย.56 ทั้งนี้อิรักเป็นผู้ผลิตน้ำมันรายใหญ่เป็นอันดับ 2 ในกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปค) รองจากซาอุดิอาระเบียโดยมีปริมาณการผลิตคิดเป็นประมาณ 12% ของกลุ่มโอเปก และคิดเป็นราว 4% ของปริมาณการใช้น้ำมันดิบของโลก

 

+ สัญญาทองคำพุ่งขึ้นแรง...ความรุนแรงในอิรักหนุนอุปสงค์
      + สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.พุ่งขึ้น 12.8ดอลลาร์ หรือ 1.01% ปิดที่ 1,274 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนกลับเข้าซื้อสัญญาทองคำซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากเกิดสถานการณ์รุนแรงในอิรัก

ปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์
      • เปิดเผยแผนยุทธ์ศาสตร์การลงทุนในระบบคมนาคม & โลจิสติกส์ช่วงปี 58-65มูลค่า 3 ล้านล้านบาท...เป็นบวกกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง (หุ้นเด่น CK, STEC), วัสดุก่อสร้าง (หุ้นเด่น SCC, SCCC, TASCO,TMT) และธนาคารพาณิชย์ (หุ้นเด่น BBL,KBANK, KTB)
       • นายสมชัย ศิริวัฒนโชค ปลัดกระทรวงคมนาคม เปิดเผยโครงการตามแผนยุทธศาสตร์ของกระทรวงคมนาคมเดิมที่เน้นโครงสร้างพื้นฐานที่จำเป็นด้านคมนาคมขนส่งและโลจิสติกส์ ซึ่งแผนลงทุนดังกล่าวมีระยะเวลาดำเนินการในปี 2558-2565 (8 ปี) กรอบวงเงินลงทุนรวมประมาณ 3 ล้านล้านบาท เพิ่มจากแผนเดิมที่รัฐบาลชุดที่แล้วจะดำเนินการในพ.ร.บ.เงินกู้ 2ล้านล้านบาท เนื่องจากเป็นแผนแม่บทที่มีโครงการรวม ทั้งทางราง ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศจากเดิมที่ไม่ได้ใส่โครงการทางอากาศไว้

• ยุทธศาสตร์หลักของกระทรวงคมนาคม ได้แบ่งออกเป็น 5 ยุทธศาสตร์ คือ
      1. ขนส่งทางรถไฟ จะมีโครงการรถไฟระหว่างเมือง
      2. ขนส่งสาธารณะในกรุงเทพฯ และปริมณฑล เช่น รถไฟฟ้า 10 สาย ถนนรอบท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ถนนเลียบแม่น้ำเจ้าพระยา เป็นต้น
      3. ขนส่งถนน เช่น โครงการถนนเชื่อมภูมิภาค เชื่อมระหว่างจังหวัด
      4. ขนส่งทางน้ำ โครงการก่อสร้างท่าเทียบเรือ และเขื่อนป้องกันตลิ่ง โครงการขุดลอกร่องน้ำการบำรุงรักษาร่องน้ำ
      5. ขนส่งทางอากาศ เช่น โครงการก่อสร้างท่าอากาศยานสุวรรณภูมิระยะที่ 2 โครงการขยายท่าอากาศยานดอนเมือง โครงการจัดจราจรทางอากาศ และการจัดซื้อเครื่องบินของ THAI เป็นต้น

       • ความเห็น Retail Research : โครงการลงทุนมูลค่า 3 ล้านล้านบาทดังกล่าวข้างต้น คาดว่าจะทยอยลงทุนปีละประมาณ 4 แสนล้านบาท ซึ่งใกล้เคียงกับงบประมาณลงทุนในงบประมาณรายจ่ายของภาครัฐในแต่ละปี แต่ในบางโครงการน่าจะเปิดให้เอกชนเข้าร่วมลงทุนด้วย (PPP)ซึ่งจะทำให้ภาระการลงทุนภาครัฐน้อยลง

      • เราเห็นว่า สิ่งสำคัญที่ต้องพิจารณาในการลงทุน คือ 1. การจัดโครงสร้างการลงทุนว่าโครงการไหนต้องทำก่อน/ทำหลัง ซึ่งส่วนนี้มีผลต่อการสร้างมูลค่าเพิ่มในระบบเศรษฐกิจ โดยหากโครงการที่จำเป็น มีความเชื่อมโยงต่อภาคส่วนต่างๆ มากก็ต้องรีบทำก่อน เพื่อไม่ให้สูญเสียโอกาสการเติบโตของเศรษฐกิจ โดยเฉพาะเมื่อเปิด AEC และ 2. การใช้เงินลงทุนอย่างโปร่งใสและเหมาะสม รวมทั้งกำหนดราคาโครงการให้มีความเป็นธรรมกับทั้งผู้ประกอบการและประชาชนผู้เสียภาษี
      • นับเป็นบวกกับกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์ ที่จะมีการลงทุนขนาดใหญ่ภาครัฐต่อเนื่องในช่วง 8 ปีข้างหน้า นอกจากนั้นยังมีงานภาคเอกชนที่จะเข้ามาเพิ่มอีกมากเช่นกัน ดังนั้นเรามองว่าอุตสาหกรรมดังกล่าวมีความน่าสนใจสำหรับการลงทุนระยะกลาง-ยาวมาก

• หุ้นเด่นในแต่ละอุตสาหกรรม มีดังนี้
     # กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง – หุ้นเด่นเป็น CK, STEC เนื่องจากเป็นผู้รับเหมาขนาดใหญ่ที่มีมีโอกาสได้รับงานใหม่ๆ เข้ามาต่อเนื่องเพราะมี Track Record ที่ดี รวมทั้งฐานะการเงินแข็งแกร่ง
     # กลุ่มวัสดุก่อสร้าง – หุ้นเด่นเป็น SCC, SCCC, TASCO, TMT โดยวัสดุก่อสร้างประเภทซีเมนต์ เหล็ก และยางมะตอย เป็นวัสดุขั้นพื้นฐานสำหรับโครงการคมนาคม จึงคาดว่ายอดขายในระยะยาวจะไปได้ดี นอกจากนั้นยังมีโอกาสที่จะขยายตลาดไปในภูมิภาคด้วย
      # กลุ่มธนาคารพาณิชย์ – หุ้นเด่นเป็น BBL, KBANK, KTB โดย BBL และ KBANK มีฐานลูกค้าที่เป็น Corporate, SME ที่จะมีการลงทุนขยายธุรกิจเป็นสัดส่วนที่สูง ขณะที่ KTB มีการปล่อยสินเชื่อโครงการภาครัฐเป็นสัดส่วนที่มากกว่าธนาคารอื่นอย่างมีนัยสำคัญ เนื่องจากเป็นธนาคารพาณิชย์ที่รัฐบาลถือหุ้นเกิน 50%

     + จ่อยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วประเทศในเร็วๆนี้ ...บวกกับกลุ่มท่องเที่ยว โรงแรม การบิน หุ้นเด่น คือ AOT, CENTEL, MINT
     + "แม่ทัพภาค 3" แย้มข่าวดีว่าคสช.อาจจะยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วประเทศในเร็วๆนี้ (ตามการคาดกาณณ์ของตลาด คือ วันที่ 14 มิ.ย.57)
      • ความเห็น Retail Research : การยกเลิกเคอร์ฟิวจะช่วยให้ความกังวลของผู้ประกอบการและนักลงทุนคลี่คลายลง โดยเฉพาะนักลงทุนต่างประเทศ รวมทั้งจะช่วยกระตุ้นให้ภาคท่องเที่ยว โรงแรม การบิน ฟื้นตัวดีขึ้นด้วย หุ้น Top Picks ในกลุ่มดังกล่าว คือ AOT (ราคาพื้นฐาน 237 บาท), CENTEL (ราคาพื้นฐาน 38 บาท) และ MINT (ราคาพื้นฐาน 30 บาท)

• กนง.จะประชุมวันพุธที่ 18 มิ.ย.57 คาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2% ก่อน
     • คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จะประชุมวันพุธที่ 18 มิ.ย.57 ซึ่งเราคาดการณ์ว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย R/P 1 วันไว้ที่ 2.00% ก่อน เนื่องจากความเสี่ยงด้านอัตราเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น, หนี้สินภาคครัวเรือนสูง และอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันยังเอื้อต่อการเติบโตของเศรษฐกิจเมื่อความเชื่อมั่นผู้ประกอบการและผู้บริโภคฟื้นตัว ซึ่งในขณะนี้เริ่มดีขึ้นหลังเห็นทิศทางของประเทศว่าจะเป็นไปอย่างไร (ตามแผน 3 ระยะของคสช.) รวมทั้งทางคสช.เร่งกระตุ้นการบริโภค & การลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชน ด้านการส่งออกค่อยๆ เติบโตดีขึ้นตามทิศทางเศรษฐกิจโลก

    • ความเห็น Retail Research : การคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายและของระบบไม่กระทบกับตลาด เพราะไม่ได้คาดหวังในเรื่องนี้มากนัก โดยหุ้นที่เกี่ยวข้องและอ่อนไหวกับอัตราดอกเบี้ยเช่น ที่พักอาศัย, ธนาคารพาณิชย์, เช่าซื้อ และพาณิชย์ ในช่วงนี้มีประเด็น (Theme) การลงทุนเป็นของตัวเอง กล่าวคือ
     # กลุ่มที่พักอาศัย คาดว่าจะได้รับผลดีจากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ฟื้นตัว ทำให้ยอดขายPresales จะดีขึ้น และผู้ประกอบการทยอยเปิดขายโครงการใหม่มากขึ้น ด้าน Valuation ก็จูงใจโดยซื้อขายที่ P/E ต่ำกว่า 10 เท่าสำหรับปี 57-58 แต่ขณะเดียวกันก็มีข้อจำกัดเรื่องธนาคารพาณิชย์ระมัดระวังการปล่อยสินเชื่อรายย่อย หุ้นเด่น คือ AP, QH, SPALI
     # ธนาคารพาณิชย์ คาดว่าสินเชื่อจะเริ่มพลิกฟื้นดีขึ้นใน 2H57 โดยเฉพาะสินเชื่อเพื่อการลงทุนในโครงการที่อยู่ในแผนและโครงการต่อเนื่อง ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาชะลอการลงทุนไปก่อนเพราะกังวลปัญหาการเมือง แต่เมื่อการเมืองคลี่คลายก็กลับมาลงทุนได้โดยรวม เพราะส่วนนี้ได้รับอนุมัติสินเชื่อแล้ว เพียงแต่รอเบิกจ่ายเท่านั้น ธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อลงทุนทั้งที่เป็นCorporate และ SME มาก คือ BBL, KBANK ส่วน KTB มีการปล่อยกู้ในโครงการภาครัฐเป็นสัดส่วนที่สูง ดังนั้นหุ้นเด่นในกลุ่มนี้จึงเป็น BBL, KBANK และ KTB
       # ส่วนกลุ่มเช่าซื้อ ยังฟื้นตัวช้าเพราะยอดขายรถยนต์ในประเทศยังซบเซา แต่ด้วย Valuationของหุ้นที่ต่ำ และจ่ายปันผลดี ดังนั้นจึงเป็นลักษณะของการทยอยซื้อลงทุนระยะยาว หุ้นเด่น คือTCAP (P/E 8 เท่า, PBV 1 เท่า และ Dividend Yield ประมาณ 4-4.5%)
      # สำหรับพาณิชย์ เป็นกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้นโดยตรง และยอดขายฟื้นตัวเร็วโดยเฉพาะบริษัทที่จำหน่ายสินค้าอุปโภคบริโภคในชีวิตประจำวันนอกจากนั้นยังได้รับผลดีจากการจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้างด้วย หุ้นเด่นใน Coverageของเรา คือ CPALL, GLOBAL, MC
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!