WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

 

ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
  (+/-) ตลาดหุ้นต่างประเทศ : DJIA +27.09, NASDAQ +40.59 และ S&P +5.57 หลังรายงานการประชุมเฟด (17-18/3/58) ไม่มีความชัดเจนในเรื่องการส่งสัญญาณปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยโดยยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ ทำให้คลายความกังวลเกี่ยวกับแผนการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด อย่างไรก็ตามการปรับขึ้นเป็นไปอย่างจำกัด เนื่องจากได้รับปัจจัยกดดันจากหุ้นกลุ่มพลังงาน หลังราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลง
  .....ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรป FTSE -24.36, CAC -14.33 และ DAX -87.66 แม้ได้รับปัจจัยบวกจากประเด็นการควบรวมกิจการครั้งใหญ่ในอุตสาหกรรมพลังงาน โดย รอยัล ดัทช์ เชลล์ เสนอซื้อกิจการบริษัทบีจี กรุ๊ป มูลค่าสูงถึง 6.96 หมื่นล้านดอลลาร์ ทั้งในรูปของหุ้นและเงินสด แต่ยังไม่สามารถชดเชยปัจจัยลบจากตัวเลขยอดค้าปลีก - กพ. ของกลุ่มยูโรโซน ลดลง 0.2%MoM หลังเพิ่มขึ้นติดต่อกันถึงสี่เดือน คาดเป็นสัญญาณที่อาจบ่งชี้ว่ากำลังซื้อของภาคครัวเรือนที่ก่อนหน้านี้ได้แรงหนุนจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงนั้น เริ่มชะลอตัวลง
  …..ราคาน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน พ.ค. -US$3.56 อยู่ที่ US$50.42 ต่อบาร์เรล หลัง EIA เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบล่าสุด เพิ่มขึ้น 10.9 ล้านบาร์เรล (สูงกว่าที่คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 3.4 ล้านบาร์เรล) สู่ระดับ 482.4 ล้านบาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ และยังคงได้รับปัจจัยกดดันจากปริมาณผลิตน้ำมันของซาอุดิอาระเบีย – มีค. ที่สูงถึง 10.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน
......ราคาทองคำส่งมอบเดือน มิ.ย. -US$7.5 อยู่ที่ US$1,203.1 ต่อออนซ์ โดยมีการชะลอการซื้อขายก่อนที่จะรับทราบรายงานการประชุมเฟด ซึ่งเผยแพร่หลังจากตลาดทองคำปิดทำการแล้ว
  (+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ +2,015 ล้านบาท สะสมตั้งแต่ต้นปีสุทธิ -7,316 ล้านบาท (ปี’57 มียอดขายสุทธิสะสม 36,584 ล้านบาท)

ทิศทางตลาด
  ทิศทางตลาด : แกว่งตัว? โดยคาดยังอยู่ในกรอบแคบ หลังเริ่มเข้าสู่ช่วงวันหยุดยาว ที่คาดมูลค่าซื้อขายอาจเบาบางลง ภายใต้ (+) Fund Flow หลังล่าสุดต่างชาติซื้อสุทธิกว่า 2,000 ล้านบาท แต่ (-) กลุ่มพลังงาน ที่คาดได้รับปัจจัยลบจากราคาน้ำมันที่ลดลง อย่างไรก็ตามคาดอาจเริ่มมีแรงเก็งกำไรผลประกอบการโดยเฉพาะกลุ่มธนาคาร คาดทยอยประกาศผลการดำเนินงานในสัปดาห์หน้า และหลังจากนั้นตามด้วยกลุ่ม Real Sector ที่มีไปจนถึงกลางเดือนพค.
  .....ส่วนทางด้านประเด็นต่างประเทศ คาดได้รับปัจจัยกดดันอยู่บ้างจากประเด็นความไม่แน่นอนระยะเวลาการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด ที่หลังเปิดเผยรายงานการประชุมยังมีความเห็นที่แตกต่างกันอยู่ และยังคงแนะติดตามสถานการณ์ในกรีซที่คาดส่งสัญญาณดีขึ้น โดยเฉพาะต่อประเด็นเงินกู้ จำนวน 450 ล้านยูโร หรือ 489 ล้านUSD ที่กรีซคาดจะสามารถชำระคืนให้กับ IMF ได้ในวันที่ 9/4/58 ขณะที่คาดหลังจากนี้ยังมีการเจรจาต่อรองเพิ่มเติมก่อนหนี้จะครบกำหนดอีกครั้งประมาณมิ.ย.’58 ต่อมาตรการรัดเข็มขัดซึ่งเป็นเงื่อนไขในการให้ความช่วยเหลือทางการเงินต่อกรีซ รวมถึงแผนปฏิรูปเศรษฐกิจ
  ....ขณะที่ยังแนะเก็งกำไร (1) TASCO ที่คาดได้รับประโยชน์จากงบประมาณโครงการซ่อมสร้างถนน ของกระทรวงคมนาคม ประมาณ 34,000 ล้านบาท และ (2) การประมูล 4G เริ่มมีความชัดเจน คาดส่งผลดีต่อผู้ประกอบการโดยเฉพาะ ADVANC รวมถึงกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการวางโครงข่ายเสา เช่น CSS เป็นต้น

ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทรงตัวอยู่ที่ 1.90% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54) และดัชนีความเสี่ยง (VIX) -0.80 อยู่ที่ 13.98

หุ้นแนะนำ : ITD
ประเด็นที่ต้องติดตาม (9 - 10 เมย.’58)
  9/4/58 : สหรัฐฯ เปิดเผย (1) ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงาน (2) สต็อกสินค้าและยอดค้าส่ง - กพ.
  10/4/58 : สหรัฐฯ เปิดเผย (1) ราคานำเข้าและส่งออก - มีค. (2) งบประมาณของรัฐบาลกลาง - มีค.

หุ้นแนะนำ
ITD : ราคาเป้าหมาย (ปี’58) 8.40 บาท
  (ข่าวหุ้น 9/4/58) ITD เปิดเผยใน 2Q/58 มีการลงนามสัญญางานที่ชนะประมูล มูลค่ารวมกว่า 170,000 ล้านบาท โดยในจำนวนนี้ประมาณ 100,000 ล้านบาท มาจากเหมืองโปแตชและเหมืองบอกไซต์ ซึ่งคาดทำให้ Backlog สิ้น 2Q/58 สูงถึง 350,000 ล้านบาท ขณะที่ ITD มีแผนเข้าร่วมประมูลงานจากภาครัฐ มูลค่ารวม 400,000 – 500,000 ล้านบาท ทั้งโครงการรถไฟรางคู่ โครงการมอเตอร์เวย์ โครงการรถไฟฟ้าสายสีส้ม สีเหลือง และสีชมพู เป็นต้น รวมถึงโครงการรถไฟฟ้าไทย – จีน มูลค่ารวมอีก 400,000 ล้านบาท
  โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ITD คาดลงนามสิทธิสัมปทานเพื่อเริ่มดำเนินโครงการพัฒนานิคมอุตสาหกรรม เฟสแรก 45 ตารางกม. ในช่วงเดือนเมย. – พค. ซึ่งมีพื้นที่ขายรวม 18,000 ไร่ โดย ITD เปิดเผยมีลูกค้ารายใหญ่ 1 ราย เข้าจองแล้วประมาณ 10,000 ไร่ โดยโครงการดังกล่าวเป็นการร่วมทุนกับ ROJNA
  ITD เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง ที่มีความสามารถ มีศักยภาพในการรับงานก่อสร้างทุกประเภท ทั้งในและต่างประเทศ มี Backlog อยู่ในระดับที่สูงกว่า 200,000 ล้านบาท มาโดยตลอดในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมา ซึ่งคาดเพียงพอต่อการเติบโตไม่ต่ำกว่า 3 ปีข้างหน้า โดยไม่ได้รับผลกระทบจากความล่าช้า / ชะลอ / ความไม่แน่นอนในการเปิดประมูลโครงการต่างๆ ของภาครัฐ
  อย่างไรก็ตามเมื่อเทียบปัจจัยทางด้านพื้นฐานกับ STEC และ CK พบว่ามีความสามารถในการทำกำไรค่อนข้างต่ำ คาดเป็นผลมาจาก Gross Profit Margin ที่ยังมีความผันผวนสูง เช่นเดียวกับสัดส่วนค่าใช้จ่ายและบริหาร และดอกเบี้ยที่ยังทรงตัวในระดับสูง ทำให้ Net Profit Margin เฉลี่ยอยู่ในระดับต่ำเพียง 1 – 3%
  ภายใต้ปัจจัยเชิงพื้นฐาน แนะนำ “เก็งกำไร” ประเมินราคาเป้าหมายที่ 8.40 บาท

นักวิเคราะห์ : จิตรลดา เลขาพันธ์ 02-684-8788

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!