- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 13 June 2014 14:08
- Hits: 2594
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ราคาน้ำมันดิบโลกพุ่ง 3% กังวลต่อ Supply น้ำมันดิบโลก (ปัญหาในอิรัก และเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัว) จะหนุนหุ้นน้ำมัน (PTT/PTTEP) ที่ถูกกดดันมานาน เลือก PTTEP(FV@B195) และ GUNKUL(FV@B20) ในฐานะพลังงานทดแทน เป็น Top picks โดยยังแนะนำถือ RS กระแสบอลโลก
นโยบายการเงินตึงตัวมีความชัดเจนมากขึ้น กดดันตลาดหุ้นโลก
สหรัฐ และอังกฤษ เตรียมใช้มาตรการเงินตึงตัว เชื่อว่าแรงกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านการใช้นโยบายการเงินเริ่มลดน้อยลง หลังจากที่สหรัฐ ได้ตัดลด QE ต่อเนื่องเป็นเวลา 5 เดือน (ตั้งแต่ ม.ค. 2557) และน่าจะสิ้นสุดประมาณเดือน ส.ค.-ก.ย. 2557 ส่วนการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายจะเกิดขึ้นในช่วง 6 เดือนแรกตามที่ตลาดคาดไว้หรือไม่ ขึ้นกับดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐในระยะถัดไป ซึ่งล่าสุดมีความขัดแย้งกันบ้าง เริ่มจากผู้ขอรับสวัสดิการการว่างงานสิ้นสุดวันที่ 7 มิ.ย. เพิ่มขึ้น 4000 ราย จากสัปดาห์ที่แล้ว (wow) สวนทางกับตลาดคาดว่าจะลดลง 3,000 ราย
ขณะที่ความเชื่อมั่นต่อเศรษฐกิจดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค สหรัฐล่าสุด เพิ่มขึ้น 12%yoy แต่อย่างไรก็ตามพบว่าตัวเลขยอดค้าปลีก (คิดเป็น 1 ใน 3 ของการใช้จ่ายด้านการบริโภค) เดือน พ.ค. ขยายตัว 0.3%mom ต่ำกว่าที่คาดว่าจะขยายตัว 0.6%mom (การชะลอตัวของอุปสงค์ในประเทศ) ด้านความชัดเจนของนโยบายการเงินของ Fed ต้องติดตามผลการประชุมในวันที่ 17-18 มิ.ย. นี้
เช่นเดียวกับธนาคารกลางอังกฤษ (BOE) อาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายเร็วกกว่าที่ตลาดคาดว่าจะปรับขึ้นราว เม.ย. 2558 (อยู่ที่ระดับ 0.5% ตั้งแต่ มี.ค. 2552) เนื่องจากเศรษฐกิจฟื้นตัวต่อเนื่อง และอัตราเงินเฟ้อล่าสุดอยู่ที่ 1.8% และเพื่อกดดันตลาดสินเชื่อบ้าน (Mortgage Debt) ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว
ขณะที่ การประชุมธนาคารกลางอินโดนีเซีย
วานนี้ มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 7.5% สอดคล้องกับที่คาด (เป็นระดับคงที่ตั้งแต่ พ.ย. 2556 หลังจากปี 2556 ขึ้นดอกเบี้ยมา 5 ครั้ง 1.75% มาอยู่ 7.5% เป็นแรงกดดันต่อการขยายตัวของการลงทุน ทั้งนี้อินโดนีเซียยังมีปัญหาการส่งออกสินแร่ และการขาดดุลการค้า จากการนำเข้าน้ำมัน ซึ่ง IMF ได้คาดว่าการขยายตัวทางเศรษฐกิจจะอยู่ที่ 5.4% (ต่ำกว่าปีที่แล้วที่ระดับ 5.8% และจะกลับมาฟื้นตัวที่ระดับ 5.8% อีกครั้งในปี 2558) ส่วนการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันที่ 18 มิ.ย. นี้ ฝ่ายวิจัย ASP คาดว่าน่าจะ ยืนดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่เดิม 2% (ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 4 ) เนื่องจากหากเปรียบเทียบกับอัตราเงินเฟ้อในเดือน พ.ค. แล้ว พบว่าเพิ่มขึ้นที่ระดับ 2.62% (เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 5 ซึ่งส่งผลให้อัตราดอกเบี้ยสุทธิติดลบ) ภายใต้เงื่อนไขการอุดหนุนราคาพลังงาน ซึ่งหากมีการยกเลิกก็จะทำให้อัตราเงินเฟ้อ เพิ่มขึ้นได้อีก ดังนั้น การคงดอกเบี้ยในเวลานี้น่าจะเป็นการช่วยรักษาเสถียรภาพทางราคาต่อไป
ต่างชาติชะลอการซื้อสุทธิในเอเซีย และขายใน TIP
แม้ว่าวานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 9 แต่ยอดซื้อกลับเบาบางลงอย่างมาก เหลือเพียงราว 11 ล้านเหรียญฯ โดยลดลงจากวันก่อนหน้า 96% และเป็นการซื้อสลับขายเบาบางในทุกประเทศ เริ่มจากไต้หวัน ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 5 ราว 53 ล้านเหรียญฯ ลดลง 50% จากวันก่อนหน้า ตามมาด้วย เกาหลีใต้ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 21 แต่เบาบางเพียง 2.5 แสนเหรียญฯเท่านั้น (เทียบกับวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 115 ล้านเหรียญฯ) สวนทางกับประเทศในกลุ่ม TIP ที่ขายสุทธิทุกแห่ง กล่าวคือ อินโดนีเซียสลับมาขายสุทธิราว 37 ล้านเหรียญฯ และไทยขายสุทธิเป็นวันที่ 3 ใกล้เคียงกับวันก่อนหน้าราว 5 ล้านเหรียญฯ (152 ล้านบาท) ส่วนตลาดในฟิลิปปินส์ปิดทำการเนื่องจากเป็นวันประกาศอิสรภาพ
เป็นที่น่าสังเกตว่า ในระยะหลัง กลุ่มนักลงทุนสถาบันเป็นผู้ขายสุทธิต่อเนื่องกันถึง 7 วัน รวม 4.3 พันล้านบาท หลังจากที่เป็นผู้ซื้อพยุงตลาดหุ้นไทยมาตั้งแต่ต้นปี โดยมียอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีราว 3.6 หมื่นล้านบาท และเชื่อว่าในระยะสั้นนักลงทุนกลุ่มนี้จะเป็นผู้ขายสุทธิกดดันดัชนีต่อไป ขณะที่กลุ่มนักลงทุนต่างชาติเริ่มสลับมาขายเบาบางในช่วง 3 วันหลังสุด รวม 1.1 พันล้านบาท
ราคาน้ำมันดิบโลกขึ้นเกือบ 3% ดีต่อ PTT/PTTEP
ราคาน้ำมันโลกพุ่งขึ้นทำระดับสูงสุดในรอบกว่า 9 เดือน ราคาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน ก.ค. เพิ่มขึ้นกว่า 2.7% ในรอบ 2 วัน อยู่ที่ 107.28 เหรียญฯ/บาร์เรล ซึ่งเป็นระดับสูงสุดนับตั้งแต่ 18 ก.ย. 2556 และ เช่นเดียวกับราคาน้ำมันดิบดูไบอยู่ที่ 109.20 เหรียญฯ/บาร์เรล ทั้งนี้ผลกระทบระยะสั้นมาจาก เหตุการณ์สู้รบในอิรักที่รุนแรงมากขึ้น และ อาจจะดึงประเทศมหาอำนาจอย่างสหรัฐ เข้ามาร่วมสงครามในที่สุด ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคต่อการส่งออกน้ำมันในตลาดโลก เนื่องจากอิรักเป็นผู้ผลิตน้ำมันดิบรายใหญ่อันดับ 2 ในกลุ่ม OPEC รองจากซาอุดิอาระเบีย (อิรักสามารถผลิตน้ำมันดิบได้ราว 3.5 ล้านบาร์เรล/วัน หลังจากที่การประชุมกลุ่ม OPEC เมื่อ 2 วันที่ผ่านมา มีมติคงเพดานการผลิตน้ำมันดิบไว้ที่ 30 ล้านบาร์เรล/วัน) นอกจากนี้ยังมีคาดการณ์ว่า Demand น้ำมันดิบช่วง 6 เดือนหน้าอยู่ที่ 30.4 ล้านบาร์เรลต่อวัน ซึ่งต่ำกว่าที่ OPEC ผลิตน้ำมันดิบได้ 29.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน (เดือน เม.ย.)
การที่ราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวขึ้นดังกล่าว เป็นสัญญานบอกว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูป หน้าโรงงานน่าจะมีแนวโน้มขยับเพิ่มขึ้นตามมา ซึ่งหมายถึงราคาน้ำมันสำเร็จรูปน่าจะปรับตัวขึ้นต่อมาในลักษณะเดียวกัน ดังนั้นการที่ตลาดมีความหวังว่าราคาน้ำมันสำเร็จรูปบ้านเราจะลดลงได้ลิตรละ 10 บาท นั่นคงเป็นเรื่องใหญ่ เพราะต้องไปจัดการเกี่ยวกับโครงสร้างราคาพลังงาน ซึ่งปัจจุบันราคาน้ำมันสำเร็จรูปที่ระดับปัจจุบันนั้น ได้รวมการเก็บภาษีราว 15-40% ของราคาขายปลีก เพื่อนำเงินบางส่วนไปชดเชย กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ภาครัฐเคยตรึงราคาขายไว้ในราคาต่ำกว่าราคาตลาดโลก (เช่น น้ำมันดีเซลลิตรละ 30 บาท) เพื่อลดภาระผู้บริโภค อุตสาหกรรม และ ขนส่ง เป็นต้น และเพื่อส่งเสริมธุรกิจพลังงานในประเทศในปัจจุบัน เช่น แก๊สโซฮอล์ E85 และ E20 เป็นต้น
อย่างไรก็ตามราคาน้ำมันดิบโลกปัจจุบันยังสูงกว่าสมมติฐานของ ASP ที่ 100 เหรียญฯต่อบาร์เรล จึงน่าจะเป็นปัจจัยหนุนต่อหุ้นกลุ่มพลังงานทั้ง PTT, PTTEP ที่ถูกกดดันมานาน แนะนำทยอยสะสม PTT(FV@B 360) และ PTTEP (FV@B 195)
แนะนำ GUNKUL เป็นหุ้นพลังงานทดแทนที่ Expected P/E ต่ำสุด
วันนี้นักวิเคราะห์กลุ่มพลังงานได้ปรับเพิ่มประมาณกำไรระยะยาวขึ้น พร้อมกับ Fair value ปี 2557 ขึ้นจากเดิม 54% เป็น 20 บาท โดยรวมโครงการโรงไฟฟ้าพลังงานลมอีก 1 แห่ง 60 เมกกะวัตต์ พร้อมกับปรับคำแนะนำจากเดิม ถือเป็น ซื้อ โดยมีจุดเด่นคือ มีค่า Expected P/E 23.6 เท่า ต่ำสุดในกลุ่มพลังงานทดแทนที่เฉลี่ย 40 เท่า คือ EA ราว 49.6 เท่า และ SPCG 29.8 เท่า อ่านรายละเอียด Equity Talk วันนี้
RS มีโอกาสทำกำไรดีกว่าคาด แนะนำถือต่อ
วานนี้ (12 มิ.ย.) บอร์ดกสทช. ได้ข้อสรุปเงินชดเชย ให้แก่ RS เป็นจำนวนเงิน 427 ล้านบาท จากการเสียโอกาสจากการขายกล่องบอลโลก ที่ไม่สามารถจำหน่ายได้ เพื่อให้ RS ให้สิทธิ์ถ่ายทอดสดบอลโลกทางฟรีทีวีทุกนัด ประกอบด้วย ถ่ายทอดสดทางช่อง 7 สี 22 นัด ช่อง 5 จำนวน 38 นัด และช่อง 8 ทีวิดิจิตอล 56 นัด รวมทั้งช่อง 11 ที่จะแจ้งจำนวนนัดในภายหลัง ซึ่งเริ่มออกอากาศ 12 มิ.ย. – 13 ก.ค. นี้
ทั้งนี้ เงินที่ได้รับจาก กสทช. RS จะต้องนำมาเยียวยาลูกค้าซื้อกล่องรับสัญญาณบอลโลกจำนวน 3 แสนกล่องที่ราคา 1,590 บาท และสมาชิกรับช่องบอลโลกราคา 299 บาท โดย RS เตรียมแถลงมาตรการเยียวยาช่วงบ่ายวันนี้ โดยเบื้องต้น ผู้ที่ซื้อกล่องบอลโลก จะสามารถเรียกร้องค่าเสียหายได้ 2 แบบ คือ 1) หากไม่ต้องการรับชมเฉพาะช่องบอลโลก จะได้รับเงินคืน 299 บาท 2) หากต้องการคืนกล่องรับสัญญาณบอลโลก ซึ่งจ่ายไปในราคา 1,590 บาท จะต้องปฏิบัติการเงื่อนไขที่ RS วางไว้ และได้รับเงินคืนตามที่ RS ระบุ ขณะที่ในส่วนของสมาชิกช่องบอลโลก หากต้องการเลิกการเป็นสมาชิกจะได้รับเงินคืน 299 บาท .
ฝ่ายวิจัยประเมินเงินชดเชยความเสี่ยหายแบบอนุรักษ์นิยม กำหนดให้ 65% ของผู้ซื้อกล่องบอลโลก ขอเลิกการรับชมช่องบอล และ 35% ของผู้ซื้อกล่องขอคืนกล่อง รวมทั้งกำหนดให้สมาชิกช่องบอลโลกทั้งหมดยกเลิกรับชม พบว่าค่าชดเชยความเสียหายจะอยู่ที่ราว 234 ล้านบาท ขณะที่กำหนดการตั้งด้อยค่าสต็อกกล่องบอลโลกที่ยังเหลือทั้งหมด 3 แสนกล่อง เป็นจำนวนเงิน 180 บาทเงินชดเชยความเสียหายและการตั้งด้อยค่ากล่องรวมกันอยู่ที่ 414 ล้านบาท ใกล้เคียงกับเงินที่ได้รับจาก กสทช. ครั้งนี้ กอปรกับ RS ยังคงเป้าหมายรายได้และกำไรจากลิขสิทธิ์บอลโลกที่ 650 บาท และ 85 ล้านบาทตามลำดับ เพราะรายได้ 80% มาจากสปอนเซอร์ซึ่งมีการทำสัญญาล่วงหน้าไว้ก่อนหน้านี้แล้ว และไม่มีการยกเลิกเลย ส่วนที่เหลือ 20% ซึ่งบางส่วนมาจากรายได้จากการซับไลเซ่นส์ได้แก่ PSI และ True Vision โดยให้สิทธิ์รับชมช่อง World Cup ของ RS ทั้ง PSI และ True Vision ยังยืนยันที่จะเป็นซับไลเซ่นส์ต่อ ส่งผลให้ฝ่ายวิจัยคงประมาณการและมูลค่าพื้นฐานเดิมที่ 10 บาท และคงคำแนะนำ “ซื้อ” โดยเชื่อว่าโอกาสที่ RS จะสร้างกำไรจากลิขสิทธิ์ฟุตบอลโลกมากกว่า 85 ล้านบาทมีสูงมาก
หุ้นรับเหมาฯ – ท่องเที่ยว อาจกลับมาโดดเด่นอีกครั้ง
ความคืบหน้าการดำเนินงานของ คสช. ในวันนี้มี 2 ประเด็นหลักที่น่าสนใจ ซึ่งน่าจะเป็นการสร้างกระแสเก็งกำไรให้กับหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง และ กลุ่มท่องเที่ยว คือ
แผนการลงทุน 3 ล้านล้านบาท : กระทรวงคมนาคมเสนอแผนยุทธศาสตร์โครงสร้างพื้นฐานคมนาคมขนส่งของไทย กรอบวงเงิน 3 ล้านล้านบาท ต่อ พล.อ.อ ประจิน จั่นตอง ในฐานะหัวหน้าฝ่ายเศรษฐกิจ โดยมีระยะเวลาดำเนินงานในปี 2558-2565 ซึ่งเพิ่มเติมจากแผนเดิมของรัฐบาลชุดที่แล้วที่จะดำเนินการภายใต้ พรบ. เงินกู้ 2 ล้านล้านบาท เนื่องจากแผนใหม่นี้ถือเป็นแผนแม่บทที่มีโครงการรวมทั้งทางราง ทางบก ทางน้ำ ทางอากาศ จากเดิมที่ไม่ได้ใส่โครงการทางอากาศไว้ แม้ยังไม่มีรายละเอียดชัดเจนออกมามากนัก แต่เชื่อว่า กลุ่มรับเหมาฯ จะกลับมาได้รับความสนใจจากนักลงทุนอีกครั้ง โดยเฉพาะบริษัทรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ที่รับงานจากภาครัฐ ได้แก่ ITD,CK,STEC,UNIQ และ NWR อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นส่วนใหญ่ที่ปรับตัวขึ้น จนปัจจุบันซื้อขายกันที่ PER สูงกว่า 20 เท่า ทำให้เหลือตัวเลือกอีกไม่มากหุ้นเด่นได้แก่ UNIQ (FV@B 9.05) และ SEAFCO (FV@B 6.03)
ประกาศเคอร์ฟิว : มีความเป็นไปได้ค่อนข้างมาก ที่ คสช. จะตัดสินใจประกาศยกเลิกเคอร์ฟิว ทั่วประเทศ หลังจากที่ก่อนหน้านี้ได้มีการประกาศยกเลิกใน 10 พื้นที่การท่องเที่ยวสำคัญของประเทศไปแล้ว อีกทั้งเหตุการณ์ต่างๆ ถือว่าอยู่ในความควบคุมกล่าวคือไม่เกิดเหตุรุนแรงใดๆ ขึ้นมา หากมีการยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วประเทศตามที่คาด ก็เชื่อว่าน่าจะส่งผลบวกต่อธุรกิจการท่องเที่ยวในประเทศอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นผลดีต่อหุ้นในกลุ่มดังกล่าวทำให้กลับมาโดเด่นอีกครั้ง สำหรับหุ้นเด่นในกลุ่มมี 3 บริษัทได้แก่ MINT (FV@B 32) , CENTEL (FV@B 40) และ ERW (FV@B 5) โดยที่ระดับราคาดังกล่าวแต่ละบริษัทมี Upside ไม่น้อยกว่า 15%
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
พบชัย ภัทราวิชญ์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล