- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 12 June 2014 16:21
- Hits: 3014
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
คาด SET กำลังจะเริ่มแกว่งลงสักพัก แนะนำให้เน้นเป็นทยอยซื้อช่วงลบ
กลยุทธ์ : คาดว่า SET กำลังเข้าสู่ช่วงของการแกว่งพักตัวลง เพื่อเป็นจังหวะในการเลือกหุ้นเข้าทยอยซื้อแล้ว แต่ยังมีสิทธิใช้เวลาในการแกว่งลงเป็นสัปดาห์ ด้วยระยะทางลงกว่า 30 จุดได้ ดังนั้นรูปแบบของการเลือกหุ้นเข้าซื้อจึงควรใช้วิธีทยอยตั้งรับ โดยหลังจากซื้อแล้วให้เน้นเป็นถือลงทุน หรือเทรดดิ้งกรอบกว้างได้ แต่ยังไม่เหมาะกับการเทรดดิ้งช่วงสั้นมากนัก
หุ้นเด่นทางเทคนิค : EVER, SVI, GLOBAL(buy back)
แนวโน้ม : เมื่อวานนี้ SET ขยับบวกขึ้นต่อเนื่องได้อีกเพียงเล็กน้อยในช่วงเปิดทำการ จากนั้นก็ถูกแรงขายทำกำไรระยะสั้นกดดันให้ปรับตัวลงและมาเคลื่อนไหวเป็นลบในช่วงครึ่งวันหลัง คาดว่าเนื่องจากการขยับขึ้นมาค่อนข้างสูงมากแล้วของตลาดทั้งๆ ที่ยังไม่มีปัจจัยสนับสนุนใหม่ๆ เพิ่มเติม ซึ่งตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ก็เริ่มเคลื่อนไหวในลักษณะเดียวกันกับบ้านเรา
ขณะที่เช้านี้ยังถูกกดดันจากความวิตกเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก หลังการปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลกจาก World Bank รวมทั้งบริษัทเอกชนบางแห่งในยุโรปก็เริ่มมีการปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการลงด้วย ส่งผลให้ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนนี้กลับมาร่วงลงกว่า 100 จุดและตลาดหุ้นยุโรปส่วนใหญ่ก็ปรับตัวลง กดดันให้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศเช้านี้ไม่สดใสนัก ทำให้ FSS ยังคาดว่า SET มีโอกาสที่จะอยู่ในช่วงแกว่งพักตัวลงต่อเนื่องอีกสักพัก อย่างไรก็ตามเราคาดว่าแนวโน้มเศรษฐกิจไทยครึ่งปีหลังน่าจะฟื้นตัวได้บ้างหลังการเมืองผ่อนคลาย ดังนั้นตลาดอ่อนตัวจึงน่าสนใจทยอยซื้อได้
แนวรับ 1456-1454 , 1450-1445 จุด แนวต้าน 1465-1468 , 1470-1474 จุด
Fund Flow วานนี้ยังไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 8 ในปริมาณที่ค่อนข้างเบาบาง นักลงทุนซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ US$115.4 ล้าน ไต้หวัน US$105.5 ล้าน ฟิลิปปินส์ US$20.6 ล้าน อินโดนีเซีย US$5.5 ล้าน และเวียดนาม US$1.2 ล้าน แต่ยังขายตลาดหุ้นไทย US$5.3 ล้าน ค่าเงินภูมิภาคเช้านี้อ่อนค่าเล็กน้อย Flow น่าจะเบาบางต่อ
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(+) TISCO สินเชื่อเดือน พ.ค. ยังลงต่ออีก 0.97% M-M ลดลงเพิ่มขึ้นจากเดือนเม.ย. สะท้อนการชะลอตัวต่อเนื่องของการให้สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และความเข้มงวดของแบงก์ และการปรับลงของสินเชื่อ SMEs (เต็นท์รถ) ส่วนลูกค้าเอกชนก็จ่ายชำระคืน สถานการณ์ตั้งแต่ต้น มิ.ย. (หลังมีคสช.) เริ่มเห็นการฟื้นตัวของสินเชื่อ SMEs มากขึ้น ขณะที่สินเชื่อรายย่อยยังทรง สะท้อนไปที่ราคาหุ้นที่ปรับขึ้นนำปัจจัยพื้นฐานซึ่งจะค่อยๆดีขึ้นใน 2H14 เรายังคงเป้าหมาย 47 บาท แนะนำซื้อ ปัจจุบันมี PE เพียง 8.2 เท่า PBV 1.4 เท่าและคาด Dividend yield 5.5%
(+) QH เราปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 4.30 บาทจาก 3.60 บาท (Sum of the parts) และปรับคำแนะนำขึ้นเป็นซื้อ จากเดิมถือ จากการปรับ PE ของธุรกิจที่อยู่อาศัยของบริษัทขึ้นเป็น 11 เท่าจากเดิม 8 เท่า จากการขายโครงการโดยเฉพาะบ้านแนวราบที่ฟื้นตัวได้เร็วกว่าที่คาดหลังสถานการณ์การเมืองนิ่ง ในระยะกลาง ยังมี upside จากการขายเซ็นเตอร์พอยท์สีลม เข้ากองทุน QHHR น่าจะอยู่ใน 2H14 เบื้องต้นคาดกำไรหลังภาษี (หลังหักการถือหุ้นในกองทุน 33%) ประมาณ 12-58 ล้านบาท ซึ่งเราไม่ได้รวมในประมาณการ
(0) ADVANC และ DTAC ยังมีเงินปันผลที่ดี ราคา ADVANC และ DTAC ที่ปรับลง 5.4% และ 9.4% ตามลำดับ ใน 2 วันที่ผ่านมา จน PE ของ ADVANC ลดลงเหลือ 16.6 เท่า ส่วน DTAC ลดลงเหลือ 19.8 เท่า แม้จะยังไม่ถูกมากนักโดยเฉพาะ DTAC ที่ PE เฉลี่ยย้อนหลัง 3 ปีอยู่ที่ 17 เท่า ส่วน ADVANC ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยแล้วที่ 16.9 เท่า แต่ถือว่าสะท้อนข่าวร้ายไประดับหนึ่งแล้ว เราเชื่อว่าราคาหุ้นน่าจะปรับตัวดีขึ้นในระยะกลาง จากเงินปันผลที่รองรับ ราคาหุ้นปัจจุบันของ ADVANC คิดเป็น Dividend yield 6% ส่วน DTAC มี yield 5% แต่ราคาหุ้นในระยะสั้นยังถูกดดันจากแรงขายของนักลงทุนต่างชาติที่ก่อนหน้านี้ขายหุ้นกลุ่มหลักแล้วซื้อกลุ่ม 3G อย่างโดดเด่น โดยเฉพาะ DTAC ที่สัดส่วนการถือครองของต่างชาติในปัจจุบัน (54.12%) ไม่ต่างไปจากจุด All time high เมื่อต้นปีนี้ที่ 54.24% แต่สัดส่วนของ ADVANC ได้ปรับลงมาแล้วจาก 44.22% กลางเดือนก่อนเป็น 43.62% ในปัจจุบัน แนะนำรอซื้อ DTAC ประมาณ 100 บาทซึ่งเท่ากับ PE 17 เท่าและใกล้เคียงต้นทุนเฉลี่ยของต่างชาติ ส่วน ADVANC ราคาหุ้นต่ำกว่า PE 16.9 เท่าและต้นทุนเฉลี่ยของต่างชาติที่ 230 บาทไปแล้ว น่าสนใจมากกว่า DTAC แต่ควรรอให้แรงขายบรรเทาก่อนอยู่ดี
(0) TRUE Moody’s อยู่ระระหว่างพิจารณาปรับเพิ่มอันดับความน่าเชื่อถือจากปัจจุบันที่ Caa1 และระบุว่าการลงทุนใน TRUE ของ China Mobile เป็นปัจจัยลบต่ออันดับความน่าเชื่อถือ แม้ว่าจะยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่ออันดับในทันทีก็ตาม
(0) รายชื่อหุ้นที่จะนำเข้า-เอาออก SET50 และ SET100 เริ่มใช้ 2 ก.ค. - 31 ธ.ค. 2014 สำหรับ SET50 คาดว่าจะนำเข้ามาคำนวณใหม่ ได้แก่ KKP และ M ส่วนหุ้นเอาออกได้แก่ CK และ THAI สำหรับ SET100 หุ้นที่คาดว่าจะนำเข้ามาคำนวณใหม่ ได้แก่ ANAN, BJCHI, DEMCO, M, MC, MEGA, NOK, NYT, SUPER, THREL และ UMI ส่วนหุ้นเอาออกได้แก่ CHG, DCC, JMART, MBK, N-PARK, SC, SF, SSI, SVI, TASCO และ THRE ทั้งนี้ ตลาดฯจะประกาศรายชื่อกลางเดือน มิ.ย. นี้
ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวลดลง 102.04 จุด หลังจากในช่วงที่ผ่านพุ่งทำ New High ต่อเนื่อง โดยได้รับแรงกดดันหลังธนาคารโลกได้ออกมาปรับลดคาดการณ์การเติบโตของเศรษฐกิจ
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดในแดนลบโดยขาดปัจจัยบวกกระตุ้นตลาด โดยตลาดถูกกดดันหลัง World Bank ปรับลดคาดการณ์การขยายตัวของเศรษฐกิจโลก รวมถึงการดิ่งลงของหุ้นลุฟฮันซาหลังมีการปรับลดคาดการณ์ผลประกอบการปีนี้ลง
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดเช้านี้ปรับตัวในแดนลบตามตลาดหุ้นภูมิภาคอื่นหลังบรรยากาศการลงทุนส่งไปในทางลบจากทิศทางการเติบโตของเศรษฐกิจโลก รวมถึงความตึงเครียดในอิรัก
ค่าเงินบาทยังแกว่งตัวออกทางข้างต่อเนื่อง คาดวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.40-32.56 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ค. ขยับขึ้น 0.05 ดอลลาร์/บาร์เรล มาปิดที่ 104.40 ดอลลาร์/บาร์เรล หลัง EIA เปิดเผยตัวเลขสต๊อกน้ำมันดิบออกมาลดลงกว่าที่ตลาดคาด
ราคาทองคำในตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. เพิ่มขึ้น 1.10 ดอลลาร์/ออนซ์ มาปิดที่ 1,261.20 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยนักลงทุนกังวลต่อแนวโน้มการเติบโตของเศรษฐกิจโลกมากขึ้นหลังจากที่ธนาคารโลกออกมาปรับลดประมาณการ
Contact person : Somchai Anektaweepon
Research Dept. Tel: 02-646-9967, 02-646-9852