- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 10 March 2015 18:56
- Hits: 1112
บล.เคเคเทรด : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
SET รีบาวน์เพื่อลงต่อ
SET View
แนวโน้มวันนี้เป็นกลาง มองกรอบเคลื่อนไหว 1,550 – 1570 จุด
SET การปรับฐานของตลาดเมื่อวานเป็นไปตามทิศทางของตลาดภูมิภาคที่ปรับลดลงราว (0.5-2%) จากความวิตกว่าเฟดอาจปรับขึ้นดอกเบี้ยนโยบายเร็วกว่าคาดหลังตัวเลขอัตราว่างงานเดือนก.พ.ของสหรัฐปรับลดลงสู่ระดับ 5.5% ต่ำสุดในรอบเกือบ 7 ปี ซึ่งเราเชื่อว่าตลาดย่อยข่าวดังกล่าวไปแล้วเมื่อวานนี้ ขณะที่มูลค่าซื้อขายลดเหลือเพียง 3.9 หมื่นล้านบาท ต่ำกว่าระดับปกติที่ 5 หมื่นล้านบาท SET จึงมีโอกาสรีบาวน์ระยะสั้น โดยเฉพาะหุ้นในกลุ่มธนาคารและอสังหาริมทรัพย์อาจมีแรงเก็งกำไรจากความคาดหวังต่อผลการประชุมกนง.ในวันพรุ่งนี้ที่อาจมีการปรับลดดอกเบี้ยนโยบาย (เราคาดว่าจะมีการปรับลดในการประชุมเดือนเม.ย.)
อย่างไรก็ตาม การรีบาวน์ของ SET จะอยู่ในกรอบจำกัดและมีโอกาสจบรอบทุกเมื่อเนื่องจากยังมีปัจจัยกดดันจิตวิทยาการลงทุนจาก (1) ราคาน้ำมันดิบ Brent ที่ยังคงเคลื่อนไหวต่ำกว่าระดับ US$60 ต่อบาร์เรลหลัง OPEC ยังคงยืนยันไม่ลดกำลังการผลิตในช่วงนี้ และจะกดดันการรีบาวน์ของหุ้นกลุ่มพลังงาน (2) นักลงทุนสถาบันที่กลับมาขายสุทธิกว่า 1.9 พันล้านบาท (3) BAY ที่ปรับขึ้น 8% เมื่อวานมีผลต่อ SET Index ถึง 3 จุด มีโอกาสเคลื่อนไหวผันผวน เนื่องจากซื้อขายที่ 2.9xP/BV ค่อนข้างแพงเทียบกลุ่ม และจะถูกนำออกจากการคำนวณดัชนี FTSE วันที่ 20 มี.ค.นี้ (4) การขึ้น XD ของหุ้นราว 24 ตัวรวมถึงการทบทวนประมาณการกำไรปี 58 ของนักวิเคราะห์หลังการประกาศงบปี 57 เสร็จสิ้น ทางเทคนิค SET อยู่ระหว่างการปรับฐานโดยมีแนวรับถัดไปบริเวณ 1540 จุดเว้นแต่จะกลับมาปิดเหนือ 1560 จุดอีกครั้งจะเป็นสัญญาณที่ดี
กลยุทธ์การลงทุน ระยะ 1-2 วัน ชะลอการลงทุน หรือเน้นขึ้นขาย-ลงแรงซื้อ หาก SET ปิดต่ำกว่า 1560 จุด กลับมาถือครองเงินสด
Top Daily Pick: TCAP (จะได้ประโยชน์มากกว่ากลุ่มหากอัตราดอกเบี้ยมีโอกาสปรับลงเนื่องจากฐานลูกค้าเป็นเช่าซื้อที่อัตราดอกเบี้ยคงที่ อีกทั้งมีแผนเติบโตปีนี้จากการซื้อหนี้ NPL มาบริหารและรุกธุรกิจ SME) /M (คาดผลประกอบการปี 58 จะฟื้นตัวจากแผนขยายสาขาและกำลังซื้อฟื้นตัว)
Technical Pick : CKP WIIK PPP MINT CITY
Theme Play: กลุ่มธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) และพัฒนาที่อยู่อาศัย (AP LH LPN PS QH SIRI SPALI) ได้ประโยชน์หากมีการปรับลดดอกเบี้ย /กลุ่มสื่อสาร (ADVANC DTAC INTUCH THCOM) ราคาหุ้นสะท้อนข่าวเลื่อนประมูล 4 G ไปแล้ว /หุ้นแนะนำเดือนมี.ค. (AP BANPU ICHI SNC THCOM) /กลุ่มเครื่องดื่ม-เครือข่ายร้านอาหาร (CBG ICHI SAPPE M) ได้ประโยชน์จากกำลังซื้อเริ่มฟื้นตัว
รายงานวันนี้
Update : KAMART (ซื้อ / มูลค่าเหมาะสม 9.20 บาท) ปรับประมาณการขึ้นจากผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุด
Comment : AP (เก็งกำไร / มูลค่าเหมาะสม 7.80 บาท) ยอดขายเดือน ก.พ. เติบโต 27% MoM
นัยของ QE จาก ECB ต่อตลาดหุ้นไทยจะยังไม่มาก
•การที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เริ่มดำเนินโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.ในวงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนไปจนเดือนเดือนก.ย. 59 รวมวงเงิน 1.1 ล้านล้านยูโร อาจไม่มีนัยต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นเนื่องจากเม็ดเงินจากการทำ QE เกือบทั้งหมดจะเข้าซื้อตราสารหนี้ยุโรปที่ออกโดยรัฐบาลกลางและสถาบันการเงินที่ ECB กำหนด และจะเข้าซื้อในตลาดรอง (Secondary market) ซึ่งเป็นตราสารหนี้อายุ 2-30 ปีเท่านั้น เม็ดเงินที่ออกมาทั้งหมดจะหมุนเวียนในตลาดยุโรป และไม่ได้มีเม็ดเงินจากการทำ QE โดยตรงที่ออกมาซื้อสินทรัพย์เสี่ยงนอกยุโรป
•อย่างไรก็ตามเรามองว่าสภาพคล่องส่วนเกินที่จะเกิดขึ้นในตลาดการเงินยุโรปในระยะต่อไป รวมถึงความคาดหวังเชิงบวกต่อการออก QE ที่จะกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยุโรปปรับลดลง รวมถึงกดดันให้ค่าเงินเงินยุโรปอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับพันบัตรและค่าเงินในสกุลอื่น อาจจะทำให้มีเม็ดเงินจากตลาดการเงินในยุโรปไหลออกมาเข้าสินทรัพย์เสี่ยงสกุลอื่น โดยเฉพาะในรูปของการกู้ยืมเงินสกุลยูโร (EURO Carry Trade) พิจารณาเฉพาะประเทศไทย หากมีเม็ดเงินเข้ามา เชื่อว่าระยะแรกจะเข้ามาในตลาดตราสารหนี้มากกว่าตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก SET Index ณ ระดับปัจจุบันยังคงมีราคาแพง (22x Trailing P/E ระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี) ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับลดได้อีก จนระยะหนึ่งที่ตลาดตราสารหนี้เริ่มมีราคาแพง เราเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
•นอกจากนี้ตลาดการเงินอาจตอบสนองเชิงบวกต่อการทำ QE ของ ECB ไปบ้างแล้ว สังเกตจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ยุโรปที่มีทิศทางปรับลดลง และค่าเงินยูโรที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และเมื่อเทียบกับไทย ค่าเงินยูโรเทียบค่าเงินบาทล่าสุด อ่อนค่าสุดในรอบ 15 ปี และอ่อนค่าแล้วกว่า11% จากต้นปี รวมถึงอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้รัฐบาลไทยอายุ 2 ปีปรับลดลงแล้วกว่า 50bps จากระดับสูงสุดกลางปีที่แล้วบ่งบอกว่า มีการเข้ามาเก็งกำไรประเด็นนี้กันไปบ้างแล้ว แต่เมื่อพิจารณาการทำ QE อย่างต่อเนื่องโดยมีเม็ดเงินสูงถึง 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน เราเชื่อว่าในที่สุดประเด็นนี้จะสนับสนุนสภาพคล่องทางการเงินและเงินไหลเข้าในภูมิภาคในระยะต่อไป การปรับลดลงของ SET Index ในช่วงนี้ที่เราจึงยังมองว่าเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นเพื่อรอการปรับขึ้นของ SET Index ในระยะถัดไปเมื่อผลของการทำ QE สำแดงผล (Earning Yield Gap ระหว่าง SET Index กับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปีปัจจุบันอยู่ที่ 3.1% ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง 30 bps เทียบกับดัชนีราว 70 จุดจากระดับปัจจุบัน หรือที่ราว 1630 จุด จึงเชื่อว่ามีโอกาสที่ SET Index มีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบระดับดังกล่าวได้จากกระแสการทำ QE ของ ECB)
•ในเชิงกลยุทธ์สำหรับการลงทุนไม่เกิน 1 เดือน เราแนะนำ หาก SET อ่อนตัวลงมาบริเวณแนวรับ 1540 จุดหรือต่ำกว่า ควรเป็นโอกาสสะสม หุ้นกลุ่มนำตลาดที่เป็นเป้าหมายการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างชาติ อาทิกลุ่มพลังงาน (BANPU PTT PTTEP PTTGC) กลุ่มธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) และสื่อสาร (ADVANC DTAC INTUCH THCOM) เพื่อรอขายช่วงที่ SET รีบาวน์ขึ้นไปแถว 1600 จุดหรือสูงกว่า
สิทธิเดช ประเสริฐรุ่งเรือง นักกลยุทธ์การลงทุน
Smart Port Note
Beta ของพอร์ตลงทุนแสดงถึงความเสี่ยงของหุ้นในพอร์ตเทียบกับ ตลาด SET หากค่า Beta สูงกว่าหนึ่งเท่า แสดงถึงความเสี่ยงของ พอร์ตลงทุนที่สูงกว่า SET
Growth Port มีค่า Beta เท่ากับ 1.21
Trading Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.75
Dividend Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.85
Quant Port มีค่า Beta เท่ากับ 0.42
หุ้นใน Smart Port ที่จะจ่ายปันผลได้แก่
11/03/2015 PS 1.00 Baht per share
26/03/2015 ADVANC 5.96 Baht per share
09/04/2015 MAJOR 0.55 Baht per share
10/04/2015 BANPU 0.70 Baht per share
17/04/2015 BBL 4.50 Baht per share
17/04/2015 BIGC 2.62 Baht per share
28/04/2015 AMATA 0.50 Baht per share
30/04/2015 M 1.00 Baht per share
30/04/2015 MODERN 0.30 Baht per share
30/04/2015 IVL 0.19 Baht per share
07/05/2015 ICHI 0.50 Baht per share
08/05/2015 NBC 0.02 Baht per share
08/05/2015 CK 0.35 Baht per share
Strategy Talk
นัยของ QE จาก ECB ต่อตลาดหุ้นไทยจะยังไม่มาก
การที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) เริ่มดำเนินโครงการซื้อพันธบัตรตามมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการเงินแบบผ่อนคลายเชิงปริมาณ (QE) ตั้งแต่วันที่ 9 มี.ค.ในวงเงิน 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือนไปจนเดือนเดือนก.ย. 59 รวมวงเงิน 1.1 ล้านล้านยูโร อาจไม่มีนัยต่อตลาดหุ้นไทยในระยะสั้นเนื่องจากเม็ดเงินจากการทำ QE เกือบทั้งหมดจะเข้าซื้อตราสารหนี้ยุโรปที่ออกโดยรัฐบาลกลางและสถาบันการเงินที่ ECB กำหนด และจะเข้าซื้อในตลาดรอง (Secondary market) ซึ่งเป็นตราสารหนี้อายุ 2-30 ปีเท่านั้น เม็ดเงินที่ออกมาทั้งหมดจะหมุนเวียนในตลาดยุโรป และไม่ได้มีเม็ดเงินจากการทำ QE โดยตรงที่ออกมาซื้อสินทรัพย์เสี่ยงนอกยุโรป
อย่างไรก็ตามเรามองว่าสภาพคล่องส่วนเกินที่จะเกิดขึ้นในตลาดการเงินยุโรปในระยะต่อไป รวมถึงความคาดหวังเชิงบวกต่อการออก QE ที่จะกดดันให้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรยุโรปปรับลดลง รวมถึงกดดันให้ค่าเงินเงินยุโรปอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับพันบัตรและค่าเงินในสกุลอื่น อาจจะทำให้มีเม็ดเงินจากตลาดการเงินในยุโรปไหลออกมาเข้าสินทรัพย์เสี่ยงสกุลอื่น โดยเฉพาะในรูปของการกู้ยืมเงินสกุลยูโร (EURO Carry Trade) พิจารณาเฉพาะประเทศไทย หากมีเม็ดเงินเข้ามา เชื่อว่าระยะแรกจะเข้ามาในตลาดตราสารหนี้มากกว่าตลาดหุ้นไทย เนื่องจาก SET Index ณ ระดับปัจจุบันยังคงมีราคาแพง (22x Trailing P/E ระดับสูงสุดในรอบ 5 ปี) ขณะที่ผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนมีแนวโน้มถูกปรับลดได้อีก จนระยะหนึ่งที่ตลาดตราสารหนี้เริ่มมีราคาแพง เราเชื่อว่าตลาดหุ้นไทยจะกลับมาน่าสนใจอีกครั้ง
นอกจากนี้ตลาดการเงินอาจตอบสนองเชิงบวกต่อการทำ QE ของ ECB ไปบ้างแล้ว สังเกตจากอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้ยุโรปที่มีทิศทางปรับลดลง และค่าเงินยูโรที่อ่อนค่าลงต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปี และเมื่อเทียบกับไทย ค่าเงินยูโรเทียบค่าเงินบาทล่าสุด อ่อนค่าสุดในรอบ 15 ปี และอ่อนค่าแล้วกว่า11% จากต้นปี รวมถึงอัตราผลตอบแทนตราสารหนี้รัฐบาลไทยอายุ 2 ปีปรับลดลงแล้วกว่า 50bps จากระดับสูงสุดกลางปีที่แล้วบ่งบอกว่า มีการเข้ามาเก็งกำไรประเด็นนี้กันไปบ้างแล้ว แต่เมื่อพิจารณาการทำ QE อย่างต่อเนื่องโดยมีเม็ดเงินสูงถึง 6 หมื่นล้านยูโรต่อเดือน เราเชื่อว่าในที่สุดประเด็นนี้จะสนับสนุนสภาพคล่องทางการเงินและเงินไหลเข้าในภูมิภาคในระยะต่อไป การปรับลดลงของ SET Index ในช่วงนี้ที่เราจึงยังมองว่าเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นเพื่อรอการปรับขึ้นของ SET Index ในระยะถัดไปเมื่อผลของการทำ QE สำแดงผล (Earning Yield Gap ระหว่าง SET Index กับอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาลไทยอายุ 2 ปีปัจจุบันอยู่ที่ 3.1% ยังต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง 30 bps เทียบกับดัชนีราว 70 จุดจากระดับปัจจุบัน หรือที่ราว 1630 จุด จึงเชื่อว่ามีโอกาสที่ SET Index มีโอกาสปรับขึ้นไปทดสอบระดับดังกล่าวได้จากกระแสการทำ QE ของ ECB)
ในเชิงกลยุทธ์สำหรับการลงทุนไม่เกิน 1 เดือน เราแนะนำ หาก SET อ่อนตัวลงมาบริเวณแนวรับ 1540 จุดหรือต่ำกว่า ควรเป็นโอกาสสะสม หุ้นกลุ่มนำตลาดที่เป็นเป้าหมายการเข้าซื้อของนักลงทุนต่างชาติ อาทิกลุ่มพลังงาน (BANPU PTT PTTEP PTTGC) กลุ่มธนาคาร (BBL KBANK KTB SCB) และสื่อสาร (ADVANC DTAC INTUCH THCOM) เพื่อรอขายช่วงที่ SET รีบาวน์ขึ้นไปแถว 1600 จุดหรือสูงกว่า