- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 09 June 2014 18:42
- Hits: 3105
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“Laggard & Growth Play”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ROJNA (จากถือเป็น ซื้อ)
• ภาพตลาดวันก่อน : SET Index วันศุกร์ปรับขึ้นอีก 4.86 จุด ปิดที่ 1458.02 มูลค่าซื้อขายเกือบ 5 หมื่นล้านบาท โดยนักลงทุนมีการเลือกซื้อหุ้นปัจจัยพื้นฐานดีต่อ รวมทั้งเข้าไปลงทุนในหุ้นขนาดกลาง-เล็กเพิ่มขึ้น แต่ยังกังวลเรื่องการปรับโครงสร้าง & ปฏิรูปพลังงาน ซึ่งต้องรอความชัดเจนในสัปดาห์นี้ นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิลดลงเป็น 271 ล้านบาท พอร์ตบล. & รายย่อยซื้อก็สุทธิไม่มาก ส่วนสถาบันในประเทศขายสุทธิ 704 ล้านบาท
• ปัจจัยและกลยุทธ์ : สัปดาห์นี้จับตาการปรับปรุงโครงสร้างด้านพลังงานของไทยว่าจะเป็นอย่างไร และมีผลกระทบกับหุ้นในเครือ PTT อย่างที่กังวลกันหรือไม่ ส่วนประเด็นที่เกี่ยวกับการบริโภค & ลงทุน...เริ่มเห็นการฟื้นตัวของการบริโภคในชีวิตประจำวันและยอดการเยี่ยมชมเพื่อซื้อที่พักอาศัย แต่ในส่วนยอดขายยานยนต์ยังไม่ดีนัก เนื่องจากเป็นสินค้าคงทนที่มีการบริโภคล่วงหน้าไปเยอะมากในโครงการรถคันแรก ผู้ประกอบการกลับมา Review การลงทุนหลังชะลอไปในช่วงที่ผ่านมา และกำลังจะกลับมาเบิกจ่ายเงินกู้จากธนาคารพาณิชย์ ซึ่งคาดว่าจะเห็นตัวเลขสินเชื่อเพื่อการลงทุนที่ดีขึ้นในอีก 2-3เดือนข้างหน้า กลุ่มท่องเที่ยวและสายการบินดีขึ้น หลังจากคสช.ทยอยยกเลิกเคอร์ฟิวในพื้นที่ท่องเที่ยว อย่างไรก็ตาม ราคาหุ้นในกลุ่มที่ได้รับประโยชน์จากการฟื้นตัวของอุปสงค์ในประเทศ & การท่องเที่ยวหลายตัวก็ได้ปรับขึ้นมารับข่าวไปแล้วพอสมควร ทำให้การเข้าซื้อใหม่ต้องใช้ระมัดระวังเพิ่มขึ้น และหวัง Gap กำไรน้อยลง สัปดาห์นี้ เราได้ทำการวิเคราะห์เพื่อเลือกหุ้นที่ Price & Valuation Laggard และ Growth / Turnaround ใน DBSV Coverageซึ่งพบว่าหุ้น Laggard ที่น่าสนใจ คือ BBL, TCAP, AP, RML, IRPC และ LHK ส่วนหุ้นที่เป็น Growth Picks ได้แก่ CPF, MINT, IVL, CK และGLOBAL (ดูรายละเอียดเพิ่มเติมได้ใน Trading Strategy วันนี้) หุ้นพื้นฐานแนะนำของวันนี้ เป็น INTUCH, TCAP สำหรับวิเคราะห์ทางเทคนิค กลยุทธ์โดยหลักเป็นการซื้อตามค่าบวก แนวต้านระยะสั้น 1470-1480 จุด โดยแนวฟิวเตอร์ที่ไม่ควรหลุดในระยะสั้นมาก อยู่ที่ 1425 จุด
Thailand Daily Trading Focus : 9 June 2014
Fundamental Pick
INTUCH แนะนำซื้อ
ปิด 76.75 บาท ราคาพื้นฐาน 91 บาท
• INTUCH เป็น Holding Company ที่ถือหุ้นใน ADVANC และ THCOM โดยมีสัดส่วน NAVจาก ADVANC ประมาณ 90% และที่เหลือเป็น THCOM แต่ช่วงที่ผ่านมาราคาหุ้น INTUCHปรับขึ้นช้ากว่า ADVANC และ THCOM จึงมี Discount จาก NAV และราคาตามพื้นฐานที่เราประเมินไว้ที่ 91 บาท นอกจากนั้น บริษัทยังจ่ายปันผลดีมาก และสม่ำเสมอ โดยคาดการณ์อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล (Dividend Yield) ปี 57-58 ไว้ประมาณ 5.5-6% ต่อปี แนะนำซื้อลงทุน
TCAP แนะนำถือ
ปิด 35.75 บาท ราคาพื้นฐาน (Under Review)
• หุ้นได้ปรับลดลงจากระดับสูงสุดที่ประมาณ 50 บาทลงมาแล้ว 40% (ลงไปต่ำสุดที่ 29.75บาท) และราคาปัจจุบันที่ 35.75 บาท ยังต่ำกว่าระดับสูงสุด 29% ซึ่งประเมินว่าได้สะท้อนข่าวลบเรื่องกำลังซื้อในประเทศที่ซบเซา ความเสี่ยงจาก NPL โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้ารายย่อยในส่วนเช่าซื้อรถยนต์ไปพอสมควรแล้ว ขณะที่แนวโน้มการบริโภคค่อยๆ ดีขึ้น ความเชื่อมั่นผู้บริโภคเริ่มปรับเพิ่ม อย่างไรก็ตาม ธนาคารยังคงระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อในปี 57 ทำให้การเติบโตของสินเชื่อจะยังไม่มาก แต่เมื่อมองไปข้างหน้าในปี 58 ก็มีโอกาสที่สินเชื่อจะขยายตัวได้มากขึ้นและทำกำไรได้ดีขึ้น ทาง DBSV คาดการณ์ EPS Growth ปี 58 ไว้ที่ 25% ทั้งนี้เราเริ่มเห็นบางสำนักวิจัยหลักทรัพย์ ได้ปรับเพิ่มคำแนะนำการลงทุนใน TCAP ขึ้นบ้างแล้ว นอกจากนั้นหุ้นยังมีจุดที่น่าสนใจอีก 2 ประการ คือ 1) Valuation ต่ำมาก ที่ราคาปัจจุบัน ซื้อขายที่ P/BV ปี 57 และ58 ต่ำเพียง 0.9 และ 0.8 เท่า ตามลำดับ และ 2) ให้ Dividend Yield ประมาณ 4% ต่อปี
ปัจจัยต่างประเทศและโภคภัณฑ์
+/• สหรัฐ : ตัวเลขภาคแรงงาน & การบริโภคออกมาดี แต่ระยะกลางยังมีความเสี่ยงจากปัญหาการเมือง, หนี้สูง และการขาดดุลงบประมาณ
+ กระทรวงแรงงานสหรัฐเปิดเผยว่าตัวเลขจ้างงานนอกภาคการเกษตรของสหรัฐในเดือนพ.ค.ปรับตัวเพิ่มขึ้น 217,000 ตำแหน่ง ใกล้เคียงกับที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ไว้ว่าจะขยายตัวได้215,000 ตำแหน่ง สำหรับอัตราว่างงานในเดือนพ.ค.ทรงตัวในระดับเดิมที่ 6.3% เทียบกับที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นแตะ 6.4%
+ ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) เปิดเผยว่า สินเชื่อผู้บริโภคของสหรัฐในเดือนเม.ย.พุ่งขึ้น 10.2%ซึ่งเป็นอัตราสูงสุดนับแต่เดือนก.ค.2554 หรือในรอบเกือบ 3 ปี ทั้งนี้การใช้จ่ายผู้บริโภคคิดเป็นประมาณ 70% ของกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั้งหมดในสหรัฐ
• สแตนดาร์ดแอนด์พัวร์ (S&P) คงระดับความน่าเชื่อถือตราสารหนี้ของสหรัฐอเมริกาไว้ที่ระดับAA+ ตามเดิม หลังจากปรับลดครั้งแรกในประวัติศาสตร์เมื่อปี 54 โดย S&P มองความน่าเชื่อถือในอนาคตของสหรัฐในระดับปานกลางเท่านั้น โดยระบุว่าการแบ่งข้างของฝ่ายนิติบัญญัติ และหนี้สาธารณะที่สูงของรัฐบาล รวมถึงการขาดดุลงบประมาณ ทำให้เครดิตของสหรัฐยังไม่สามารถกลับสู่ระดับ AAA
+ วันศุกร์ตลาดหุ้นสหรัฐปรับขึ้นราว 0.5% + ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์เพิ่มขึ้น 88.17 จุด หรือ 0.52% ปิดที่ 16,924.28 จุด ดัชนีS&P 500 ปรับขึ้น 8.98 จุด หรือ 0.46% ปิดที่ 1,949.44 จุด และดัชนี Nasdaq ดีดขึ้น 25.17จุด หรือ 0.59% ปิดที่ 4,321.40 จุด หนุนโดยตัวเลขภาคแรงงานที่ออกมาดี และการฟื้นตัวของภาคบริโภค
• สัญญาน้ำมันดิบเคลื่อนไหวกรอบแคบ • สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนก.ค.ปิดเพิ่มขึ้น 18 เซนต์ แตะที่ 102.66 ดอลลาร์/บาร์เรลส่วนสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือนก.ค.ที่ตลาดลอนดอน ปิดลดลง 18 เซนต์ ที่108.61 ดอลลาร์/บาร์เรล
Thailand Daily Trading Focus : 9 June 2014
• สัญญาทองคำลดลงเล็กน้อย • สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กอ่อนลงเล็กน้อยเมื่อวันศุกร์ที่ 6 มิ.ย. หลังจากสหรัฐเปิดเผยข้อมูลจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือนพ.ค.ที่สอดคล้องกับคาดการณ์ของตลาด ทั้งนี้สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนส.ค.ปิดลดลง 80 เซนต์ หรือ 0.06% ที่1,252.5 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศและหลักทรัพย์
• เลือกหุ้น Price & Valuation Laggard และGrowth / Turnaround : Laggard Picks คือBBL, TCAP, AP, RML, IRPC และ LHK ส่วนGrowth Picks เป็น CPF, MINT, IVL, CK และGLOBAL
• ราคาหุ้นหลายบริษัทปรับขึ้นมากในช่วง 1-2 สัปดาห์ที่ผ่านมา จนปาเป้าซื้อไม่ได้แล้ว ทางRetail Research จึงมีการวิเคราะห์เพื่อเฟ้นหาหุ้นปัจจัยพื้นฐานดี ที่ยัง Laggard ในด้านราคาหรือ Valuation รวมถึงหุ้น Growth Play ที่น่าสนใจลงทุนใน DBSV Coverage ซึ่งผลออกมาเป็นดังนี้ :
• Laggard Play ที่โดดเด่น ประกอบด้วย BBL, TCAP, AP, RML, IRPC และ LHK
• Growth / Turnaround Play ที่น่าสนใจ ได้แก่ CPF, MINT, IVL, CK และ GLOBAL
• ส่วนภาพรวมกลยุทธ์การลงทุน แนะนำถือ/เลือกซื้อเมื่อ SET Index ยืนเหนือแนวฟิวเตอร์1430 จุด
• ปัจจัยกระตุ้นตลาด คือ 1) การเดินหน้ามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ ของคสช.และหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง, 2) การลดอัตราดอกเบี้ยของ ECB ทำให้มี Fund Flow บางส่วนโยกย้ายจากตลาดเงินเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น, 3) นักวิเคราะห์ทยอยปรับเพิ่มราคาเป้าหมายของหุ้นและปรับเป้า SET Index ไปยังปี 58
• ปัจจัยเสี่ยง ได้แก่ Valuation ของหุ้นและตลาดที่สูงขึ้น ทำให้มีความผันผวนเพิ่มตามไปด้วย,คาดหวังกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทั้งในส่วนของการบริโภคและการลงทุน ที่มากและเร็วเกินไป
• บอร์ด BOI ใหม่ที่แต่งตั้งเมื่อ 6 มิ.ย.57 จะเริ่มประชุมสัปดาห์นี้...เป็นบวกกับกลุ่มนิคมฯ, รับเหมา & วัสดุก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์ หุ้นเด่น คือ ROJNA, CK,STEC, SCC, BBL และ KBANK
• คณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บอร์ด BOI) ซึ่งมีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคสช.เป็นประธานบอร์ด จะมีประชุมนัดแรกสัปดาห์นี้ เพื่อเร่งพิจารณาโครงการที่ขอรับส่งเสริมการลงทุนที่คงค้างอยู่ประมาณ 7.6 แสนล้านบาท ทางประธานสอท.คาดว่าการเดินหน้าในส่วนนี้จะช่วยดึงความเชื่อมั่นของนักลงทุนต่างชาติกลับมาได้ในระดับหนึ่ง สำหรับกรอบการส่งเสริมการลงทุน ทางประธานบอร์ดให้แนวทางไว้ว่าจะเน้นส่งเสริมพลังงานทดแทน การใช้วัตถุดิบในประเทศ ใช้เทคโนโลยีขั้นสูง
ความเห็น Retail Research : การเดินหน้าส่งเสริมการลงทุนของ BOI จะช่วยกระตุ้นความเชื่อมั่นในการลงทุนของผู้ประกอบการทั้งในและต่างประเทศ ซึ่งเป็นผลดีกับกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เช่น นิคมอุตสาหกรรม, รับเหมาก่อสร้าง, วัสดุก่อสร้าง และธนาคารพาณิชย์
* หุ้นในกลุ่มนิคมฯ ที่น่าสนใจ คือ ROJNA เนื่องจากมียอดขายที่ดินรอรับรู้รายได้ราว 3 พันไร่ และมีโอกาสขายที่ดินใหม่ได้เพิ่มอีก หลังปัญหาการเมืองคลี่คลาย
* ส่วนกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง เราชอบ CK และ STEC เพราะฐานะการเงินแข็งแรง และเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ที่มีประสบการณ์อันยาวนาน มี Track record ที่ดี จึงมีโอกาสได้งานใหม่เข้ามา
* กลุ่มวัสดุก่อสร้างเป็น SCC ซึ่งคาดว่ายอดขายปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้างจะกระเตื้องขึ้นตั้งแต่ 2H57 เป็นต้นไป และเติบโตได้ดีขึ้นในปี 58 นอกจากนั้นธุกิจปิโตรเคมีสายโอเลฟินส์ยังมีมาร์จิ้นดีในระยะกลาง-ยาวด้วย
* กลุ่มธนาคารพาณิชย์ คาดว่าธนาคารที่มีฐานลูกค้าภาคเอกชนที่เป็น Corporate และSME ในสัดส่วนที่สูง คือ BBL และ KBANK จะได้ประโยชน์ เพราะคาดว่าการลงทุนของกลุ่มCorporate จะฟื้นตัวได้ก่อน แล้วตามมาด้วยกลุ่ม SME ซึ่งขณะนี้ภาครัฐอยู่ระหว่างออกมาตรการช่วยเหลือเสริมสภาพคล่องให้กับธุรกิจ SME
Thailand Daily Trading Focus : 9 June 2014
• กลุ่มพลังงาน : จับตาการปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานสัปดาห์นี้
• จับตาการปรับปรุงโครงสร้างราคาพลังงานในสัปดาห์นี้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา หัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ กล่าวในรายการ "คืนความสุขให้คนในชาติ" ออกอากาศทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทยเมื่อค่ำวันที่ 6 มิ.ย.57 ว่าเรื่องพลังงาน รัฐวิสาหกิจต้องมีการทบทวน เพราะซับซ้อนมีความเชื่อมโยง เช่น ถ้าไม่ทบทวนโครงสร้างพลังงานคงทำอย่างหนึ่งอย่างใดไม่ได้นอกจากชะลอราคาไว้ก่อน เพราะถ้ายังไม่ปรับโครงสร้างแล้วลดราคาปัญหาจะเกิดตามมาอีก ยืนยันไม่มีการทุจริต เอื้อผลประโยชน์ เพราะคสช.มาเพื่อแก้ปัญหาเหล่านั้น ไม่มีทางทำเอง
• Update เกี่ยวกับ PTT & PTTGC # เปลี่ยนแบรนด์ธุรกิจค้าปลีกน้ำมันนายไพรินทร์ ชูโชติถาวร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ของ PTT กล่าวว่าในเร็วๆนี้ PTT จะสรุปการตัดสินใจเรื่องเปลี่ยนแบรนด์ใหม่ มาใช้แทนแบรนด์ปตท.
# การถูกโจมตีว่า PTT เป็นผู้ผูกขาดตลาดน้ำมันในประเทศ
ผู้บริหารกล่าวว่า ในความเป็นจริงตลาดค้าน้ำมันมีการแข่งขันสูงและมีกำไรน้อย ส่วนราคาขายปลีกที่ปรับขี้นหรือลงก็เป็นไปตามกลไกตลาดที่อ้างอิงจากตลาดสิงคโปร์ ซึ่งบริษัทค้าน้ำมันต่างชาติหลายรายก็ได้ถอนตัวออกไป เช่น คิวเอท เจ็ท และล่าสุด คือ ปิโตรนัส ขณะที่ PTT มีกำไรจากธุรกิจคัปลีกน้ำมัน ซึ่งรวมธุรกิจ non-oil คือ ร้านอเมซอนและร้านค้าปลีกตามปั้มน้ำมันรวมประมาณปีละกว่า 1 พันล้านบาท จากกำไรโดยรวมของทั้งเครือปตท.ที่ประมาณปีละ1 แสนล้านบาท ทั้งนี้แม้ว่าธุรกิจค้าปลีกน้ำมันจะทำยอดขายถึง 3-4 แสนล้านบาทก็ตาม แต่กำไรที่ได้มาน้อยมาก ทั้งนี้ปัจจุบัน PTT มีส่วนแบ่งการตลาดค้าปลีกน้ำมันที่ 39% ของตลาดรวมที่มีผู้ค้าจำนวนถึง 41 ราย จึงเห็นว่า PTT ไม่ได้ผูกขาดตลาดน้ำมันค้าปลีกในประเทศ
# การแยกธุรกิจก๊าซ & ท่อส่งก๊าซ
บริษัทมีแนวคิดที่จะแยกธุรกิจก๊าซและท่อส่งก๊าซออกไป เพราะในอนาคตเมื่อก๊าซในอ่าวไทยหมด ท่อก๊าซก็จะได้สามารถให้บริการในด้านอื่นได้ โดยเมื่อแยกธุรกิจต่างๆ ออกไปแล้ว ทางPTT ก็จะเป็น Holding Company ที่ถือหุ้นในบริษัทย่อยต่างๆ
# การยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
ผู้บริหารระดับสูงของ PTT กล่าวว่า ไม่เห็นด้วยกับแนวคิดการยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเพราะการมีกองทุนน้ำมันจะช่วยรองรับความผันผวนราคาน้ำมัน และช่วยลดการขาดแคลนน้ำมัน หากยกเลิกกองทุนน้ำมันดังกล่าวแล้วมาจัดตั้งกองทุนสำรองทางยุทธศาสตร์ตามที่ IEAเสนอ ก็จะต้องมีคลังสำรองน้ำมัน และระยะเวลาสำรองนาน 90-200 วัน
นายมนูญ ศิริวรรณ นักวิชาการด้านพลังงาน เปิดเผยว่าหากมีการยุบกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ก็จะทำให้นโยบายการส่งเสริมพลังงานทดแทน ที่ทุกๆรัฐบาลดำเนินงานมาเกือบ 9 ปี ต้องยุติลงเช่นกัน ทั้งนี้การยุบกองทุนน้ำมันไม่ใช่วิธีการแก้ไขปัญหาการขาดทุนของกองทุนน้ำมัน หรือเป็นการเอาเปรียบผู้ใช้น้ำมันที่ถูกเรียกเก็บเงินไปสะสมไว้ในกองทุนน้ำมัน เพราะรายได้ส่วนหนึ่งก็ถูกนำมาอุดหนุนราคาพลังงานบางชนิด อาทิ ปัจจุบันกองทุนน้ำมันได้จ่ายเงินสนับให้กับผู้ที่ใช้น้ำมัน E20 ลิตรละ 1.05 บาท , E85 ลิตรละ 1.60 บาท
Thailand Daily Trading Focus : 9 June 2014
# การปฏิรูปพลังงาน
กรณีที่กลุ่มจับตาปฏิรูปพลังงานเสนอให้การขายก๊าซ LPG กับผู้ใช้ครัวเรือนก่อน และกำหนดราคาขายตามต้นทุนที่แท้จริงบวกกำไรที่ยุติธรรมต่อผู้ใช้ & ผู้ผลิต (ไม่ใช่อิงตามราคาตลาดโลก)และเมื่อเหลือจากภาคครัวเรือนแล้วจึงจัดสรรให้ภาคอื่นๆ หากไม่เพียงพอก็ให้ภาคอุตสาหกรรมนำเข้าจากภายนอกมาใช้เอง ทางผู้บริหารเห็นว่าอาจจะเป็นไปได้ยากที่จะจัดสรรแบบที่เสนอมาเพราะที่จริงแล้วอุตสาหกรมปิโตรเคมีก็นำก๊าซมาใช้เพื่อการผลิตในอุตสาหรรมที่ต่อเนื่องกับการอุปโภค & บริโภคในชีวิตประจำวันเช่นกัน เช่น ในอุตสาหกรรมสิ่งทอ อุตสาหกรรมรถยนต์ เป็นต้น และมีการเสียภาษีมูลค่าเพิ่มทุกขั้นตอน รวมทั้งในแผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติฉบับที่ 6 ได้กำหนดไว้ว่า ให้ใช้ก๊าซในอ่าวไทยมาใช้ในอุตสาหกรรมปิโตรเคมีเป็นหลัก
# เกี่ยวกับหุ้น PTT & PTTGC
ราคาหุ้น PTT & PTTGC ปรับลดลงในช่วงสัปดาห์ก่อนเพราะกังวลผลกระทบจากการปรับโครงสร้างและปฏิรูปพลังงาน ทั้งนี้ LPG เป็นหนึ่งในวัตถุดิบหลักของ PTTGC (คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 15-20% ของปริมาณวัตถุดิบทั้งหมด) ซึ่งโดยหลักเป็นการซื้อมาจากโรงแยกก๊าซของPTT โดยซื้อขายบนสูตรราคา Netback คือ คำนวณมาจาก ราคาปิโตรเคมีปลายทาง ลบด้วยต้นทุนของโรงแยกก๊าซและโรงงานปิโตรเคมีขั้นต่อเนื่อง-ขั้นปลาย แล้วมาแบ่งปันผลกำไรระหว่าง PTT และ PTTGC
เราคาดว่าประเด็นเรื่องการปฏิรูปพลังงานจะเป็น Overhang กับหุ้น PTT & PTTGC ต่อในช่วงที่ยังไม่มีความชัดเจนว่าบทสรุปจะเป็นอย่างไร และแม้ว่าการปรับโครงสร้างพลังงานจะต้องทำอย่างค่อยเป็นค่อยไป เพื่อให้ผู้ประกอบการภาคธุรกิจและผู้บริโภคมีระยะเวลาปรับตัว และควรต้องสามารถใช้พลังงานทดแทนหรือพลังงานทางเลือกได้ในสัดส่วนหนึ่งที่จะไม่ทำให้ราคาพลังงานในประเทศมีความผันผวนมากเกินไปอย่างไรก็ดี ราคาหุ้นจะปรับตัวรับการประเมินผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้นไปก่อน ในทางปัจจัยพื้นฐานแนะนำ Wait & See สำหรับการวิเคราะห์ทางเทคนิค PTTGC มีแนวรับ 66+/-, 60บาท ส่วน PTT มีแนวรับ 290+/- , 270-260 บาท
+ กลุ่มท่องเที่ยว & โรงแรม & สายการบิน :ได้รับผลดีจากการที่คสช.ยกเลิกพื้นที่เคอร์ฟิวเพิ่มเติม
+ เมื่อ 6 และ 8 มิ.ย.57 คสช.ประกาศยกเลิกการห้ามออกนอกเคหะสถาน (เคอร์ฟิว) เพิ่มเติมในพื้นที่อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี, อำเภอหัวหิน จังหวัดประจวบคีรีขันธ์, จังหวัดกระบี่,จังหวัดพังงา, เกาะช้าง, เกาะพงัน และหาดใหญ่ จากก่อนหน้านี้ได้ยกเลิกในพื้นที่พัทยา, เกาะสมุย และภูเก็ตไปแล้ว เนื่องจากเห็นว่าเหตุการณ์ในพื้นที่ดังกล่าว สงบ เรียบร้อยดีความเห็น Retail Research : นับว่าเป็นไปตามที่เราคาดการณ์ไว้ ว่าทางคสช.จะทยอยพิจารณายกเลิกเคอร์ฟิวในพื้นที่ท่องเที่ยวต่างๆ ที่ไม่มีปัญหาด้านความสงบและความรุนแรงเพื่อฟื้นฟูธุรกิจท่องเที่ยวและโรงแรม รวมถึงสายการบิน รวมถึงการจ้างงานและเศรษฐกิจในจังหวัดท่องเที่ยวต่างๆ ให้ดีขึ้น หุ้นที่เราชอบในกลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการฟื้นตัวของการท่องเที่ยว คือ AOT, CENTEL และ MINT