- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 29 January 2015 16:15
- Hits: 2262
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“กังวลดอกเบี้ย US กดดัน…เลือกซื้อ/ถือเหนือ 1560”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยแกว่งแคบ ปิดตลาดบวกขึ้น 3 จุดที่ 1592.81 ทั้งนี้ผลประชุมกนง.ที่มีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% ไม่ส่งผลกระทบต่อตลาด เนื่องจากเป็นที่คาดการณ์กันอยู่แล้ว ส่วนปัจจัยที่ยังหนุน คือ แรงซื้อของนักลงทุนต่างชาติ โดยเมื่อวานนี้ซื้อสุทธิต่ออีก 3.6 พันล้านบาท ส่วนอีก 3 กลุ่มที่เหลือเป็นขายสุทธิความกังวลสถานการณ์ว่าทรอยก้าอาจยกเลิกการให้เงินช่วยเหลือกรีซ และทำให้ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้และออกจากยูโรโซนมีมากขึ้นยังกดดันเป็นระยะ (โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดไม่มีข่าวบวกใหม่เข้ามา) นอกจากนั้นความเห็นของเฟดในทางบวกกับการเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐ (จากระดับปานกลางในปีก่อน เป็น ระดับแข็งแกร่งในปีนี้) ทำให้วิตกว่าเฟดอาจจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเร็ว รวมถึงค่า P/E ของตลาดหุ้นที่อยู่ใน Band สูงทั้งของสหรัฐและของไทย ซึ่งประเด็นดังกล่าวกดดันตลาดหุ้นช่วงนี้ อย่างไรก็ตาม สภาพคล่องในตลาดโลกที่สูง (แม้เชื่อว่า QE ยูโรโซนจะไม่ก่อให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายมากเท่ากับของสหรัฐก็ตาม) และการเก็งกำไรผลประกอบการ 4Q57 & แนวโน้มปี 58 ที่คาดว่าจะฟื้นตัวดีขึ้น ยังช่วยพยุงอยู่ กลยุทธ์การลงทุนในหุ้นพื้นฐาน คือการเลือกซื้อเป็นรายบริษัท โดยหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น AAV โดยคาดว่าผลประกอบการจะเริ่มฟื้นตัวตั้งแต่ 4Q57 และเติบโตแข็งแกร่งในปี 2558
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นบวกแต่ไม่มาก เพราะแม้ว่าจะปิดเหนือ SMA10 วันแต่ก็เพียงเล็กน้อย ขณะที่ปิดย่อจาก Highค่อนข้างมาก ความน่าจะเป็นคือ การแกว่งลงที่มีเด้งเป็นระยะ แนวต้าน 1600, 1610-1620 ค่าลบควรลดพอร์ตตาม หลุด 1560 Stop Loss การซื้อเก็งกำไรใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนี & ราคาหุ้นเป็นหลัก สำหรับการ Scan หาหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High ในทางเทคนิค พบว่าหุ้นที่น่าสนใจคือ NOK, THANI, PACE, IRCP ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน List คือ LHBANK, UNIQ หุ้นที่หลุด List คือ ROJNA สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้วและราคาปรับขึ้นมาอยู่ในพื้นที่น่าพิจารณา Take Profit ตามรอบ คือ SYNTEC, VGI
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
+/- สหรัฐ : มุมมองเฟดที่ประเมินเศรษฐกิจสหรัฐขยายตัวแข็งแกร่งทำให้ความวิตกว่าดอกเบี้ยอาจปรับขึ้นเร็วกลับมา ทั้งนี้คณะกรรมการFOMC ลงมติในการประชุม 27-28 ม.ค.58 ด้วยคะแนนเสียงเป็นเอกฉันท์10-0 ให้คงอัตราดอกเบี้ยระยะสั้นไว้ที่ 0-0.25% อย่างน้อยจนถึงกลางปี 58ซึ่งนักวิเคราะห์ประเมินถ้อยแถลงของเฟดแล้วตีความว่าเฟดอาจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยหลังกลางปีนี้ไปแล้ว เพราะเฟดประเมินภาวะว่ากิจกรรมทางเศรษฐกิจสหรัฐ “ขยายตัวในอัตราที่แข็งแกร่ง” ซึ่งดีขึ้นกว่าเดิมที่เฟดใช้คำว่า "ขยายตัวในอัตราปานกลาง" ในปี 2557 ทั้งนี้การจ้างงานของสหรัฐเพิ่มขึ้นอย่างมาก และอัตราว่างงานลดต่ำลง ส่วนอัตราเงินเฟ้อต่ำกว่าเป้าหมายในระยะยาวที่เฟดกำหนดไว้
- กรีซ : ติดตามว่ารัฐบาลใหม่จะเดินหน้ายกเลิกมาตรการรัดเข็มขัดอย่างที่หาเสียงไว้หรือไม่ ซึ่งความไม่แน่นอนนี้ได้ฉุดตลาดหุ้นกรีซให้อ่อนตัวลง และอาจจำกัดธุรกรรมการค้า & การลงทุนในยูโรโซน
•/- ยูโรโซน : การลงทุนใน 2H58 ยังซบเซา ยูโรสแตทเปิดเผยว่าอัตราการลงทุนในภาคธุรกิจอยู่ที่ 21.7% ใน 3Q58 ทรงตัวใกล้กับระดับ 21.6%ใน 2Q57 บ่งชี้ว่าภาวะการลงทุนในยูโรโซนยังไม่ดีขึ้นในช่วง 2H57
- ตลาดหุ้นสหรัฐร่วงต่อ โดยดัชนี DJIA ลดลง 195.84 จุด หรือ -1.13%ดัชนี NASDAQ ลดลง 43.51 จุด หรือ -0.93% ดัชนี S&P500 ปิดที่2,002.16 จุด ลดลง 27.39 จุด หรือ -1.35%
- สต็อกน้ำมันสหรัฐที่สูงเกินคาดทำให้สัญญาน้ำมันดิบอ่อนตัวลงโดย WTI ส่งมอบมี.ค.58 ร่วง 1.78 ดอลลาร์ ปิดที่ 44.45 ดอลลาร์/บาร์เรลด้าน BRENT ลดลง 1.13 ดอลลาร์ ปิดที่ 48.47 ดอลลาร์/บาร์เรล ทั้งนี้ EIAรายงาน สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐพุ่งขึ้น 8.9 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่แล้ว ซึ่งมากกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าจะเพิ่มขึ้นเพียง 4.1 ล้านบาร์เรล
• ประธานบอร์ด PTT มองราคาน้ำมันมี Downside จำกัด มีโอกาสขยับขึ้นในระยะต่อไป นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ ประธานบอร์ด PTTกล่าวว่าราคาน้ำมันดิบตลาดโลกระดับ 40-50 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เริ่มมีผลกระทบต่อโครงการที่ผลิตได้ยากในกลุ่ม Unconventional Oil เช่นShale gas & Shale Oil จึงคาดว่าราคาไม่น่าจะต่ำไปกว่านี้และจะอยู่ในระดับต่ำไปอีกไม่นานนัก และหลังจากนั้นราคาจะเริ่มทยอยขึ้น แต่คงไม่สามารถจะกลับไปยืนในระดับ 100 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เพราะราคาที่สูงในช่วงกว่า 3 ปีครึ่งที่ผ่านมาเกิดจากปัญหาการเมือง เช่น อาหรับสปริงและอื่นๆ ทำให้ราคาสูงเกินปัจจัยพื้นฐานที่แท้จริง
- สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบก.พ.58 ร่วงลง 5.8 ดอลลาร์หรือ -0.45% ปิดที่ระดับ 1,285.90 ดอลลาร์/ออนซ์
ปัจจัยในประเทศ & หุ้นเด่น
• กนง.คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 2.00% ตามคาด...ประเมิน QEยุโรปเพิ่มสภาพคล่องในเอเชียไม่มาก คณะกรรมการฯ มองว่าอัตราดอกเบี้ยในระดับปัจจุบันยังหนุนการฟื้นตัวและเติบโตของเศรษฐกิจไทยราคาน้ำมันที่ปรับลงช่วยหนุน แต่ความเสี่ยงจากภายนอกยังคงมีอยู่ ทั้งด้านเศรษฐกิจและการเมือง เงินทุนเคลื่อนย้ายอาจผันผวนจากนโยบายการเงินของสหรัฐที่จะปรับขึ้นดอกเบี้ย ขณะที่ประเทศอื่นๆยังคงต้องใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายต่อ สำหรับ QE ยุโรป กนง.ประเมินว่าต่างจากQE สหรัฐ และจะไม่ได้เพิ่มสภาพคล่องเข้ามาในเอเชีย & ไทยเท่าใดนัก
• ราคาก๊าซ NGV จะปรับขึ้นน้อยลงหลังราคาพลังงานในตลาดโลกต่ำลง โดยวันที่ 30 ม.ค.58 จะมีประชุมกบง.เกี่ยวกับโครงสร้างราคาก๊าซNGV สำหรับยานยนต์ ให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง หลังราคาน้ำมัน & ก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกอ่อนตัวมาก ทำให้ต้นทุน NGV ลดลงเป็น 14-15บาท/กก. (ปัจจุบันราคา 12 บาท/กก.) การปรับขึ้นราคาจึงจะน้อยลงเมื่อเทียบกับคาดการณ์เดิมที่คาดว่าจะขยับขึ้นไปถึง 16 บาท/กก. ซึ่งคาดว่าจะเป็นการทยอยปรับขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป
ความเห็น Retail Team : ทุกๆ การปรับขึ้นของราคา NGV 1 บาทจะทำให้ผลขาดทุนของ PTT ลดลงราว 4 พันล้านบาท หรือประมาณ 1.4 บาท/หุ้น PTT (ราว 4% ของคาดการณ์ EPS ปี 2558) ซึ่งในประมาณการ DBSมีสมมติฐานให้ราคา NGV ปรับขึ้น 3.50 บาทจากสิ้นปี 2557 ถ้ามีการปรับขึ้นน้อยกว่าคาดก็จะทำให้ประมาณการกำไรมี Downside Risk เล็กน้อย
+ หุ้นกลุ่มสายการบินปรับขึ้นหลังกำไร 4Q57 ออกมาแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากราคาน้ำมันดิบที่ลดลง ในตลาดสหรัฐ หุ้นโบอิ้งพุ่งขึ้น5.40% เมื่อคืนนี้ สำหรับหุ้นสายการบินในไทย คาดว่าจะเห็นการฟื้นตัวของกำไรตั้งแต่ 4Q57 เช่นกัน โดยหุ้นที่โดดเด่นเป็น AAV ซึ่งมีการทำประกันความเสี่ยงราคาน้ำมันไว้ไม่มาก คือ ราว 10-15% (ขณะที่บริษัทอื่นทำไว้ที่20-70%) ต้นทุนน้ำมันจึงลดลงได้มากในปี 2558 ซึ่งบริษัทสามารถใช้จุดนี้ให้เป็นประโยชน์ในเรื่องการขยายฐานลูกค้าและส่วนแบ่งการตลาด ในเชิงกลยุทธ์ให้ AAV เป็นหุ้น Top Pick ของกลุ่มสายการบินในตลาดหุ้นไทย
• เริ่มเห็นการเติบโตของอุปสงค์วัสดุก่อสร้างขั้นพื้นฐาน (ปูนซีเมนต์,เหล็ก ฯลฯ) ตั้งแต่ 2H58 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากที่โครงการลงทุนภาครัฐและเอกชนเดินหน้าอย่างเป็นรูปธรรมตั้งแต่ปลายปี 2557 เป็นต้นมา ซึ่งหุ้นเด่นในกลุ่มนี้เป็น 1) SCC (คาดว่าอุปสงค์ซีเมนต์ปี 258 จะเติบโตได้ 5-6%จากที่ติดลบ 1% ในปีก่อน ผลขาดทุนจากสต็อกของธุรกิจปิโตรเคมีน้อยลง)และ 2) TASCO (ได้ประโยชน์จากต้นทุนการผลิตลดลงตามราคาน้ำมันและอุปสงค์ในไทยและภูมิภาคแข็งแกร่ง และโครงการซ่อมถนนทั่วประเทศมูลค่า 4 หมื่นล้านบาทช่วยหนุนด้วย)
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]