- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 13 January 2015 15:40
- Hits: 2378
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“ต้าน 1540-1550 จุด...ยืนได้ถือต่อ...ไม่ได้ขายก่อน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ตลาดหุ้นไทยปรับขึ้นเล็กน้อย 1.79 จุด ปิดที่ 1531.21 จุด โดยนักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิต่ออีก 2.4 พันล้านบาท ซึ่งเป็นการปรับพอร์ตตามความเสี่ยง/ความไม่แน่นอนที่กดดันแนวโน้มผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน อย่างไรก็ตาม แรงซื้อเก็งกำไรผลประกอบการ 4Q57 และความหวังว่า ECB จะทำ QE เต็มรูปแบบใน 1Q58 เป็นปัจจัยที่ยังช่วยพยุงในช่วงสั้น
ในระยะสั้น ปัจจัยที่กระตุ้นการลงทุน คือ การซื้อเก็งกำไรผลประกอบการ 4Q57 และแนวโน้มปี 58 รวมถึงความคาดหวังว่าประเทศชั้นนำจะออกมาตรกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม เช่น ยูโรโซน, จีน เป็นต้น รวมถึงการเร่งใช้จ่ายและลงทุนของรัฐบาลไทย อย่างไรก็ตาม ปัจจัยที่ไม่แน่นอนก็ยังคอยกดดัน อาทิผลเลือกตั้งกรีซในวันที่ 25 ม.ค.นี้ โดยถ้าพรรคไซรีซาชนะการเลือกตั้ง ก็มีความเสี่ยงว่ากรีซอาจต้องออกจากยูโรโซนเพราะพรรคต่อต้านนโยบาย
รัดเข็มขัด, การเมืองระหว่างกลุ่ม IS กับสหรัฐ ซึ่งล่าสุดเพิ่งมีการแฮคเข้าทวิตเตอร์และยูทูบของกองบัญชาการกลางกองทัพสหรัฐ, ผลกระทบจากการดิ่งลงของราคาน้ำมัน ที่กดดันประเทศผู้ผลิตและส่งออกให้เศรษฐกิจย่ำแย่ลง ซึ่งจะส่งผลให้เศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้าไปด้วย นอกจากนั้นยังกดดันกำไรบริษัทจดทะเบียนในตลาดฯ ให้เติบโตน้อยลง การลงทุนในช่วงนี้ยังต้องใช้ความระมัดระวัง โดยภาพตลาดก็ยังเป็น Sideways down จนกว่า SET Index จะสามารถขึ้นไปยืนเหนือ 1550 จุดได้อย่างมั่นคง ส่วนหุ้นพื้นฐานแนะนำวันนี้เป็น AKR
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากสัญญาณเป็นบวก แต่ก็พร้อมเปลี่ยนเป็นลบ โดยการบวกต่อมีแนวต้าน 1540 หรือ 1550 จุด ค่าลบควรลดพอร์ตตาม และตัดขาดทุนเมื่อดัชนีหลุด 1505 จุด การซื้อเก็งกำไรใหม่เน้นตามด้วยค่าบวกของดัชนี & ราคาหุ้นเป็นหลัก
สำหรับการ Scan หาหุ้นที่ราคามีโอกาสทำ New High : จากระดับปิดเมื่อวานนี้ พบว่าหุ้นที่น่าสนใจ คือ BMCL, AKR, AJD ส่วนหุ้นที่ยังอยู่ใน Listคือ CEN, TRC, ECL, VIBHA, MTLS หุ้นที่หลุด List เป็น SMT และหุ้นที่ปรับขึ้นและอยู่ในพื้นที่น่า Take Profit คือ PRINC, BWG, FSMART
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ & ราคาโภคภัณฑ์
• สหรัฐ : นักวิเคราะห์คาดว่ากำไรของบริษัทในดัชนี S&P 500สำหรับ 4Q57 จะเพิ่มขึ้นเพียง 2%YoY และ 2.8%QoQ ซึ่งลดลงจาก8.1%YoY และ 9.2%QoQ ที่มีคาดการณ์ในเดือนต.ค.57 เนื่องจากการร่วงลงแรงของราคาน้ำมันดิบ โดยสัปดาห์นี้จะมีรายงานกำไรของบริษัทขนาดใหญ่ เช่น เจพีมอร์แกน เชส แอนด์ โค, เวลส์ ฟาร์โก และซิตี้กรุ๊ป ออกมา
- สหรัฐ : สาวกกลุ่มก่อการร้าย IS เจาะฐานข้อมูลกลางของเว็บไซต์ทวิตเตอร์และยูทูบกองบัญชาการกลางกองทัพสหรัฐ ทางการรีบระงับแอคเคาท์ทันที สำหรับกองบัญชาการกลางนี้ตั้งอยู่ที่ฐานทัพอากาศแม็คดิลในรัฐฟลอริดา ทำหน้าที่ควบคุมปฏิบัติการทางทหารของสหรัฐในตะวันออกกลางและเอเชียกลาง รวมไปถึงการโจมตีในอิรัก อัฟกานิสถาน และซีเรีย
- ยูโรโซน : เศรษฐกิจยังซบเซาต่อใน 1H58 สถาบัน Ifo ของเยอรมนี,สถาบัน Insee ของฝรั่งเศส และสถาบัน Istat ของอิตาลี ออกรายงานร่วมกัน โดยระบุการคาดการณ์เศรษฐกิจยูโรโซนว่าจะมีการขยายตัวเล็กน้อย 0.3% ใน 1Q58 และ 2Q58 แต่ยังคงอยู่ในภาวะอ่อนแอ หลังจากที่เติบโต 0.2% ใน 4Q57 ประเทศที่เศรษฐกิจขยายตัวแกร่ง คือ เยอรมนีและสเปน ขณะที่ฝรั่งเศสขยายตัวปานกลาง อิตาลียังอ่อนแอ ส่วนความเสี่ยงที่กำลังเผชิญอยู่ คือ การเลือกตั้งรัฐสภาของกรีซที่อาจกระทบต่อเสถียรภาพของยูโรโซน
- ตลาดหุ้นสหรัฐ : อ่อนตัวต่อ ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ลดลง96.53 จุด หรือ -0.54% ดัชนี NASDAQ ลดลง 39.36 จุด หรือ -0.84%ดัชนี S&P500 ลดลง 16.55 จุด หรือ -0.81% นำโดยหุ้นกลุ่มพลังงาน
- สัญญาน้ำมันดิบร่วงลงต่อ โดย WTI ส่งมอบเดือนก.พ.ร่วงลง 2.29ดอลลาร์ ปิดที่ 46.07 ดอลลาร์/บาร์เรล และ BRENT ดิ่งลง 2.68 ดอลลาร์ปิดที่ 47.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
- ราคาน้ำมัน : โกลด์แมน แซคส์ ได้ปรับลดคาดการณ์ราคาน้ำมันในปี 2558-2559 โดยได้ปรับลดการคาดการณ์ราคาน้ำมันดิบตลาดNYMEX ปี 58 ลงสู่ระดับ 47.15 ดอลลาร์/บาร์เรล จากคาดการณ์เดิมที่73.75 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วนปี 59 ลงเหลือ 65 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิมที่80 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับ 1Q58 คาดการณ์ราคาน้ำมันไว้ที่ 46ดอลลาร์/บาร์เรล ลดจากก่อนหน้านี้ที่ 75 ดอลลาร์/บาร์เรล สำหรับราคาน้ำมันดิบ BRENT 1Q58 ปรับลดคาดการณ์เป็น 47 ดอลลาร์/บาร์เรล จากเดิมที่ 85 ดอลลาร์/บาร์เรล
+ สัญญาทองคำตลาด COMEX ส่งมอบเดือนก.พ.พุ่ง 16.7 ดอลลาร์หรือ +1.37% ปิดที่ระดับ 1,232.8 ดอลลาร์/ออนซ
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหลักทรัพย์เด่น
+ กระทรวงพลังงานขอความร่วมมือผู้ค้าน้ำมันให้ปรับลดราคาขายปลีกน้ำมัน โดยให้เบนซินและน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 ลดลง 1 บาท/ลิตรแก๊สโซฮอลล์ 91 และ E 20 ลดลง 0.60 บาท/ลิตร และน้ำมันดีเซลลดลง0.30 บาท/ลิตร ส่วน E85 ราคาคงเดิม มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 13 ม.ค. 58เป็นต้นไป ทั้งนี้กบง.ได้พิจารณาปรับเพิ่มอัตราการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงของน้ำมันดีเซล 0.30 บาท/ลิตร จากเดิมจัดเก็บ 3.05 บาท/ลิตร เป็น 3.35 บาท/ลิตร และปรับลดอัตราการจัดเก็บของน้ำมันแก๊สโซฮอลล์ 95 ลง 0.40 บาท/ลิตร จากเดิมจัดเก็บ 3.65 บาท/ลิตร เป็น 3.25บาท/ลิตร
+ CPN จะสรุปแผนธุรกิจพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ภายในปี58 โดยขณะนี้มีโอกาสสูงที่บริษัทจะ Diversify ไปยังธุรกิจที่ทำรายได้จากการขายมากขึ้น ซึ่งจากเดิมรายได้เป็นค่าเช่าเป็นหลัก สำหรับธุรกิจให้เช่าพื้นที่ศูนย์การค้า บริษัทตั้งเป้าหมายการเติบโตของรายได้ 5 ปีข้างหน้าเฉลี่ยปีละ 15% โดยมาจากรายได้ของโครงการเดิม 5% และอีก 10% มาจากการเปิดโครงการใหม่ 3-4 แห่งต่อปี โดยการลงทุนมีเป้าหมาย IRR ที่14-15% สำหรับโครงการในมาเลเซีย คาดว่าจะเริ่มก่อสร้างในเร็วๆ นี้ และจะแล้วเสร็จในปี 60 โครงการนี้มี IRR 13-14% ต่ำกว่าในโครงการในไทยเล็กน้อย สำหรับการขายสินทรัพย์เข้ากองทุน คาดว่าจะยังไม่มีในปีนี้ความเห็น : ฝ่ายวิจัยฯ DBSV คาดการณ์ว่ากำไรสุทธิปี 57-58 ของบริษัทจะเติบโตแกร่ง 15% และ 18.6% ตามลำดับ โดยเป็นผลจากอัตราการเช่าพื้นที่ของโครงการเฉลี่ยยังคงสูงกว่า 90% และมีการเปิดสาขาใหม่ นับว่าCPN เป็นหุ้นเติบโตหนึ่งที่น่าสนใจลงทุน ในระยะยาวมีโอกาสที่จะขยายตัวได้ดีขึ้นจากการลงทุนในต่างประเทศ ขณะเดียวกันการขยายสินทรัพย์เข้ากองทุน REIT ยังคงมีต่อเนื่อง ซึ่งจะมีเม็ดเงินเข้ามาลงทุนใหม่โดยไม่ต้องกู้ยืมทั้งหมด แนะนำซื้อ CPN ให้ราคาพื้นฐาน 60 บาท (Sum-of-parts)
• PCSGH : ประกาศซื้อหุ้นคืน ในวงเงินไม่เกิน 400 ล้านบาท ไม่เกิน45 ล้านหุ้น (ไม่เกิน 2.91% ของทุนเรียกชำระแล้ว) ระยะเวลา 22 ม.ค.-21ก.ค.58 ราคาซื้อไม่เกิน 15% ของราคาปิดเฉลี่ยย้อนหลัง 5 วันทำการย้อนหลังจากวันที่ 22 ม.ค.58 บริษัทเป็นโฮลดิ้งส์ที่ถือหุ้นในบริษัทที่ดำเนินธุรกิจผลิตและจำหน่ายชิ้นส่วนยานยนต์ประเภทใช้ความแม่นยำสูง เช่นระบบเครื่องยนต์, ระบบเกียร์, ระบบบังคับรถ คิดเป็น 65-70% ของรายได้รวม ผลิตชิ้นส่วนอลูมิเนียมขึ้นรูปขนาดใหญ่ คิดเป็น 20-25% ของรายได้รวม และประเภทเหล็กแปรรูป 10% ของรายได้รวม
สำหรับ ผลประกอบการ 9M57 มีรายได้รวม 3.1 พันล้านบาท กำไรสุทธิ629 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสุทธิ 19.7% สูงกว่าบริษัทชั้นนำในกลุ่ม ณสิ้นสุดก.ย.57 คือ SAT, AH, STANLY ที่มีอัตรากำไรสุทธิ 7.2%, 2.9%,9.5% อย่างมีนัยสำคัญ ทั้งนี้เพราะ 1) อัตรากำไรขั้นต้นสูงที่ประมาณ22%, 2) ควบคุมค่าใช้จ่ายดำเนินงานได้ดี และ 3) ค่าใช้จ่ายทางการเงินต่ำมาก โดยเป็นแค่ส่วนที่เป็นเงินทุนหมุนเวียน ขณะเดียวกัน ณ สิ้นก.ย.57 มีเงินสด & เงินลงทุนระยะสั้นสุทธิ 597 ล้านบาท คิดเป็น 0.39 บาท/หุ้น ซึ่งบริษัทจะนำเงินบางส่วนไปใช้ในการซื้อหุ้นคืน
ในการวิเคราะห์ทางเทคนิค แนะนำซื้อตามด้วยค่าบวกของราคาหุ้น โดยมีแนวต้าน 9, 9.5-9.8 บาท และ Stop loss ถ้าหลุด 8.40 บาท
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]