- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 03 June 2014 15:27
- Hits: 3179
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
SET ขึ้นยังเน้นถือต่อเนื่อง แต่ถ้าจะซื้อเพิ่มแนะนำรอช่วงอ่อนดีกว่า..
กลยุทธ์ : SET ยังขยับบวกได้ดี ดังนั้นส่วนถือลงทุนยังเน้นถือต่อเนื่องได้ แต่ถ้าจะเลือกหุ้นเข้าซื้อสะสมเพิ่มเติม แนะนำให้รอช่วงตลาดอ่อนตัวลงแล้วค่อยหาจังหวะซื้อจะปลอดภัยกว่า
หุ้นเด่นทางเทคนิค : IRPC, SUTHA, THAI(buy back)
แนวโน้ม : เมื่อวานนี้ตลาดหุ้นไทยยังขยับบวกขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่ได้ดี พร้อมทั้งมีแรงซื้อจากนักลงทุนต่างชาติกลับเข้ามาครั้งแรก นับตั้งแต่เริ่มขายหนักต่อเนื่องมาจากช่วงประกาศกฏอัยการศึกเมื่อวันที่ 20 พ.ค.และต่อเนื่องมาจนถึงช่วงหลังการทำรัฐประหารเมื่อวันที่ 22 พ.ค. ขณะที่สถาบันในประเทศมียอดซื้อสุทธิต่อเนื่องอยู่ ยิ่งช่วยหนุนให้บรรยากาศการลงทุนเช้านี้ยังสดใส ถึงแม้ว่าเมื่อคืนนี้ตลาดหุ้นสหรัฐจะยังแกว่งตัวผันผวนและปิดเป็นบวกเพียงเล็กน้อยก็ตาม ซึ่งตัวเลข PMI ของสหรัฐยังดูดี น่าจะช่วยหนุนให้ SET ยังมีโอกาสแกว่งบวกต่อเนื่องได้อีก อย่างไรก็ตามตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้เริ่มมีจังหวะแกว่งผันผวนและเป็นลบให้เห็น นอกจากนี้ยังต้องระวังแรงขายทำกำไรระยะสั้น หลัง SET บวกขึ้นมาค่อนข้างเร็วในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่นักลงทุนบางส่วนอาจจะยังไม่มั่นใจกับสถานการณ์การเมืองในบ้านเราอยู่ ดังนั้นแม้ว่า FSS จะยังมีมุมมองเชิงบวกมากขึ้นกับภาวะตลาดหลังการทำรัฐประหาร แต่จังหวะเลือกหุ้นซื้อเพิ่มยังน่ารอช่วง SET ปรับย้อนลงอีกครั้ง แล้วค่อยพิจารณาเลือกหุ้นเข้าซื้อสะสมใหม่อีกครั้งน่าจะดูปลอดภัยกว่า แต่ส่วนที่ซื้อไปแล้วสามารถเน้นถือลงทุนต่อเนื่องได้ โดยยังต้องรอติดตามการประกาศตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในคืนวันศุกร์นี้ด้วย
แนวรับ 1435-1430 , 1423-1420 จุด แนวต้าน 1443-1450 , 1455-1463 จุด
Fund Flow วานนี้กลับมาไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคในปริมาณที่ค่อนข้างเบาบาง โดยส่วนใหญ่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นเกาหลีใต้ US$189.4 ล้าน ไทย US$82 ล้าน อินโดนีเชีย US$71.6 ล้าน และเวียดนาม US$5.5 ล้าน แต่ขายสุทธิในตลาดหุ้นฟิลิปปินส์ US$12.9 ล้าน ขณะที่ตลาดหุ้นไต้หวันปิดทำการ ค่าเงินภูมิภาคเช้านี้ค่อนข้างนิ่ง Flow น่าจะยังไหลเข้าแต่เบาบาง
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(0) เงินเฟ้อเร่งตัวขึ้นในเดือน พ.ค. เงินเฟ้อทั่วไปเพิ่มขึ้น 2.62% Y-Y เพิ่มติดต่อกันเป็นเดือนที่ 5 ตามราคาอาหารสำเร็จรูปที่ปรับสูงขึ้นตามต้นทุนวัตถุดิบ และราคาน้ำมันเชื้อเพลิง และก๊าซหุงต้ม (LPG) ที่ทยอยปรับราคาตั้งแต่ ก.ย. ปีก่อน รวมถึงค่าไฟฟ้า (Ft) ส่วนเงินเฟ้อพื้นฐานเพิ่มขึ้น 1.75% Y-Y เพิ่มติดต่อกันเป็นเดือนที่ 8 แนวโน้มเงินเฟ้อจะยังคงเร่งตัวขึ้นในระยะข้างหน้า เราคิดว่าหมดยุคการลดดอกเบี้ย คาดกนง.จะคงดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% ในการประชุม 18 มิ.ย. นี้ หุ้นที่ได้ประโยชน์จากเงินเฟ้อได้แก่ TTW, CPN, TICON, MAJOR, กลุ่มอาหาร (CPF, GFPT, MINT) และกลุ่มโรงพยาบาล
(+) แนวโน้มกลุ่มรับเหมาฯหลังรัฐประหาร เราเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น Overweight จากเดิม Neutral หลังคสช.มีนโยบายเร่งเบิกจ่ายงบลงทุนปี 2014 และเดินหน้าจัดทำงบประมาณรายจ่ายปี 2015 เราคาดว่าโครงการที่จะเห็นการลงทุนในงบประมาณปี 2015 น่าจะเป็นโครงการเดิมที่ค้างมาตั้งแต่รัฐบาลชุดเดิมซึ่งมีประมาณ 9 โครงการ รวมมูลค่า 3.8 แสนล้านบาท ซึ่งกว่าจะได้รับอนุมัติ เริ่มประมูล และเซ็นสัญญาก่อสร้าง น่าจะเป็นปี 2015 ไปแล้ว เราจึงคงประมาณการกำไรสุทธิเดิมที่คาดว่าจะลดลง 70% ในปีนี้และฟื้นตัว +6% ในปี 2015 ส่วนกำไรปกติคาดลดลง 3% ในปีนี้และเติบโต 6% ในปีหน้า แต่ปรับ PE และ PBV ให้กลับไปเท่ากับช่วงที่การลงทุนเป็นปกติ ทำให้ราคาเป้าหมายของ STEC เพิ่มเป็น 27.50 บาท (จาก 21 บาท), CK เพิ่มเป็น 24.50 บาท (จาก 20 บาท) และ ITD เพิ่มเป็น 5.15 บาท (จาก 3.90 บาท) Top pick ยังคงเป็น STEC เพราะอัตรากำไรสุทธิและ ROE ดีที่สุดในกลุ่ม แต่ระยะสั้นระวัง Sell on fact หากคสช.ประกาศโรดแมพเพราะราคาหุ้นกลุ่มนี้ปรับขึ้นเฉลี่ยเกือบ 30% รอซื้อเมื่ออ่อนตัวจะเหมาะกว่า
(+) แนวโน้มกลุ่มค้าปลีกหลังรัฐประหาร เราเพิ่มน้ำหนักการลงทุนเป็น Neutral จากเดิม Underweight นอกจากเรามองว่าโรดแมพของคสช.เป็นบวกกับกลุ่มค้าปลีกแล้ว (การเร่งจ่ายค่าข้าวให้ชาวนา เร่งเบิกจ่ายงบประมาณ ช่วยให้เม็ดเงินไหลเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจมากขึ้น) หนี้ครัวเรือนที่ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องในช่วง 1 ปีครึ่งที่ผ่านมาเริ่มชะลอการเร่งตัวขึ้น ขณะเดียวกันการบริโภคสินค้าไม่คงทนเดือน เม.ย. เริ่มมีสัญญาณการฟื้นตัวหลังจากหดตัว M-M ติดต่อกัน 5 เดือน เราคาดกำไรสุทธิของกลุ่มค้าปลีกจะเริ่มฟื้นตัวใน 2Q14 (ยกเว้น GLOBAL, BJC) เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2014 โต 13% และปี 2015 โต 20% แม้จะต่ำกว่าช่วงปี 2008-12 ที่โต 28% ต่อปี แต่เป็นอัตราการเติบโตสองหลักและสูงสุดในรอบ 3 ปี เราเลือก CPALL เป็น Top pick จาก PE ในปีหน้าที่ 26 เท่าต่ำกว่าค่า PE เฉลี่ยในช่วงก่อนนโยบายประชานิยม
(0) รายชื่อหุ้นที่จะนำเข้า-เอาออก SET50 และ SET100 เริ่มใช้ 2 ก.ค. - 31 ธ.ค. 2014 สำหรับ SET50 คาดว่าจะนำเข้ามาคำนวณใหม่ ได้แก่ KKP และ M ส่วนหุ้นเอาออกได้แก่ CK และ THAI สำหรับ SET100 หุ้นที่คาดว่าจะนำเข้ามาคำนวณใหม่ ได้แก่ ANAN, BJCHI, DEMCO, M, MC, MEGA, NOK, NYT, SUPER, THREL และ UMI ส่วนหุ้นเอาออกได้แก่ CHG, DCC, JMART, MBK, N-PARK, SC, SF, SSI, SVI, TASCO และ THRE ทั้งนี้ ตลาดฯจะประกาศรายชื่อกลางเดือน มิ.ย. นี้
ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในกรอบแคบๆโดยขยับตัวขึ้นได้อีกเล็กน้อย 26.46 จุด หลังตัวเลข ISM ภาคการผลิตที่ประกาศออกมาถือว่าอยู่ในระดับที่น่าพอใจ
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดในแดนบวกได้โดยได้รับแรงหนุนจากตัวเลขเศรษฐกิจภาคการผลิตของจีนที่ออกมาแข็งแกร่ง รวมถึงความหวังที่จะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจาก ECB ออกมาในสัปดาห์นี้
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดเช้านี้ส่วนใหญ่ปรับตัวในแดนบวกได้จากตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐรวมถึง PMI นอกภาคการผลิตของจีนเช้านี้ที่ออกมาอยู่ในเกณฑ์ดี
ค่าเงินบาทเริ่มพลิกกลับมาแข็งค่าได้หลังกระแสเงินทุนเริ่มกลับมาไหลเข้า คาดวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.64-32.85 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ค. ขยับลง 0.24 ดอลลาร์/บาร์เรล มาปิดที่ 102.47 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังดอลลาร์แข็งค่าขึ้นรวมถึงข้อมูลที่บอกว่า OPEC มีการผลิตน้ำมันมากขึ้น ซึ่งบดบังปัจจัยจากตัวเลขเศรษฐกิจที่แข็งแกร่ง
ราคาทองคำในตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ส.ค. ปรับตัวลงอีก 2.00 ดอลลาร์/ออนซ์ มาปิดที่ 1,244.00 ดอลลาร์/ออนซ์ ปรับลงเป็นวันที่ 6 ติดต่อกันหลังตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่ออกมาแข็งแกร่งและการพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นทำให้นักลงทุนยังทะยอยขายสินทรัพย์ปลอดภัย
Contact person : Somchai Anektaweepon Research Dept. Tel: 02-646-9967, 02-646-9852