- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 06 January 2015 15:48
- Hits: 1714
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
แม้ SET ยังปรับลงแต่คาดกรอบลงจำกัด..ก่อนลุ้นขึ้นต่อ!!
กลยุทธ์ : แม้ว่า SET ยังถูกกดดันให้แกว่งตัวลงก่อนในช่วงต้นปีใหม่นี้ แต่ FSS คาดว่ากรอบการลงยังมีจำกัด และสุดท้ายยังลุ้นแรงซื้อกลับเข้ามาหนุนให้ดัชนีพลิกกลับไปวิ่งขึ้นอีกครั้งได้ในช่วงถัดไป ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้เน้นถือลงทุนต่อเนื่องได้ และสามารถเลือกหุ้นเข้าซื้อเพิ่มช่วง SET ปรับลงด้วย
หุ้นเด่นทางเทคนิค : TSE, AKP, ERW(short)
แนวโน้ม : เมื่อวานนี้ SET ยังค่อนข้างอ่อนแอกว่าตลาดหุ้นทั่วโลกอยู่พอควร เนื่องจากนักลงทุนยังคงกังวลเกี่ยวกับแรงขายของกองทุน LTF ที่จะครบอายุปีนี้ว่าจะกดดันตลาดในช่วงต้นปีอยู่ ขณะที่เช้านี้บรรยากาศการลงทุนในตลาดหุ้นต่างประเทศที่ค่อนข้างแย่ เนื่องจากราคาน้ำมันในตลาดโลกกลับมาเริ่มปรับตัวลงต่อเนื่องอีกครั้งหลังจากแกว่งทรงตัวมาได้พักใหญ่ ส่งผลให้มีแรงขายในหุ้นกลุ่มพลังงานกดดันตลาด รวมทั้งความวิตกเกี่ยวกับวิกฤตการณ์การเมืองในยุโรปที่อาจส่งผลให้กรีซต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกของยูโรโซน กระตุ้นให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้นกดดันให้ค่าเงินภูมิภาคและเงินบาทเริ่มอ่อนค่าอีกครั้งด้วย ทำให้ FSS คาดว่า SET จะยังอยู่ในช่วงแกว่งตัวลงต่อเนื่องอีกสักระยะได้ อย่างไรก็ตามเราคาดว่ากรอบการปรับตัวลงของ SET จะถูกจำกัดอยู่แถว 1400 จุดหรือใกล้เคียง ก่อนที่ราคาหุ้นที่ต่ำลงจะช่วยกระตุ้นแรงซื้อกลับให้มีเข้ามาหนุนตลาดในช่วงถัดไปได้ ดังนั้น SET ปรับลงจึงยังน่าเลือกหุ้นซื้อ
แนวรับ 1480-1476 , 1470-1467 จุด
แนวต้าน 1486-1490 , 1496-1502 จุด
Fund Flow วานนี้ไหลออกจากตลาดหุ้นภูมิภาคในปริมาณที่เบาบาง โดยนักลงทุนต่างชาติขายสุทธิในตลาดหุ้นไต้หวัน US$103.5 ล้าน ไทย US$56 ล้าน และอินโดนีเซีย US$11.5 ล้าน แต่ซื้อตลาดหุ้นเกาหลีใต้ US$68.2 ล้าน ฟิลิปปินส์ US$1.9 ล้าน และเวียดนาม US$0.7 ล้าน ค่าเงินภูมิภาคเช้านี้อ่อนค่า Flow น่าจะไหลออกแต่เบาบาง
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) น้ำมันร่วงหนัก เม็ดเงินไหลเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย เบรนท์ร่วงอีก US$3.3 เหลือ US$53.11 ส่วน WTI ปรับลงอีก US$2.65 เหลือ US$50.04 ต่ำสุดในรอบกว่า 5 ปี หลังอิรักประกาศเพิ่มการส่งออกน้ำมันในเดือนนี้เป็น 3.3 ล้านบาร์เรล/วัน (4% ของการผลิตของโลก) จาก 2.94 ล้านบาร์เรล/วันในเดือนก่อน ราคาน้ำมันยังถูกกดดันจากค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าเมื่อเทียบยูโรซึ่งอ่อนค่าลงเพราะนักลงทุนกลัวว่ากรีซอาจต้องออกจากยูโรโซน แม้ราคาน้ำมันที่ถูกลงจะดีต่อเศรษฐกิจโลกโดยรวม แต่การไหลลงไม่หยุดกลับจะทำให้การคาดการณ์เงินเฟ้อ (Inflationary expectation) ลดลงไปอีก ส่งผลให้การจับจ่ายใช้สอยหดตัว (รีรอที่จะซื้อ) และเกิดภาวะเงินฝืดในที่สุด กระแสเงินทุนในระยะนี้จึงย้ายเข้าสินทรัพย์ปลอดภัย เช่นทองคำและพันธบัตรสหรัฐ ส่วนไทยแม้เศรษฐกิจจะดีขึ้นเมื่อน้ำมันถูกลง แต่หุ้นกลุ่มพลังงานถ่วงตลาด 16% จึงถูกกระทบมากกว่าตลาดอื่นในเอเชีย
(+) KTB เราชอบ KTB ทั้งในแง่การเติบโตและเงินปันผล โดยคาดว่าสินเชื่อใน 4Q14 น่าจะเติบโตสูง 3.5% Q-Q และทำให้กำไรสุทธิเติบโต 3% Q-Q และ 10% Y-Y ซึ่งทำให้ภาพรวมสินเชื่อทั้งปี 2014 โตสูงสุดในกลุ่มคือ 9.5% และเติบโตต่อเนื่องอีก 10% ในปี 2015 และคาดกำไรสุทธิปี 2015 โต 13% Y-Y ส่วน NIM มีโอกาสจะสูงกว่าที่เราคาดที่ 2.75% จากสภาพคล่องที่ธนาคารระดมได้มากในช่วงปลายปีที่ผ่านมา นอกจากนี้ KTB ยังให้ Dividend yield สูงประมาณ 4% จึงยังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 27.60 บาท
(+) TISCO เราเชื่อว่ากำไรของ TISCO ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในปี 2014 และเริ่มฟื้นตัวในปี 2015 แต่ยังไม่ถึงระดับปกติ โดยเราคาดกำไรสุทธิ 4Q15 ลด 19% Q-Q จากสำรองหนี้สูญฯที่น่าจะเพิ่มขึ้น ซึ่งจะทำให้กำไรสุทธิทั้งปี 2014 ลดลงครั้งแรกในรอบ 7 ปี -8% Y-Y ตามสินเชื่อที่น่าจะลดลง 6.5% หลังสิ้นสุดโครงการรถคันแรก สำหรับปี 2015 เราคาดสินเชื่อจะกลับมาขยายตัว 8% จากการหันมาเน้นสินเชื่อในกลุ่มลูกค้าธุรกิจ SME และสินเชื่อส่วนบุคคล และคาดกำไรโต 9% Y-Y เรายังคงราคาเป้าหมาย 52 บาท แม้ไม่มี story ที่น่าตื่นเต้นแต่มีปันผลสูง (คาด yield 4.6%) และ PE ถูก 8 เท่า จึงยังแนะนำซื้อ
(+) HMPRO เป็น 1 ใน 2 บริษัทในกลุ่มค้าปลีกที่มี SSSG เป็นบวกต่อเนื่องตลอดทั้งปี 2014 เพราะมีฐานลูกค้าหลักอยู่ในกลุ่มรายได้ระดับกลางถึงบน จึงได้รับผลกระทบจำกัดจากกำลังซื้อที่ชะลอของกลุ่มรายได้ระดับล่างและเกษตรกร เราคาดกำไรสุทธิ 4Q14 จะทำจุดสูงสุดใหม่ที่ระดับ 1 พันล้านบาท +31% Q-Q, +8% Y-Y และคาดกำไรปี 2015 โตต่อเนื่อง 19% Y-Y จากการขายสาขา ส่วนการขาย REIT อย่างเร็วน่าจะเป็นกลางปีนี้ เรายังคงแนะนำซื้อ ราคาเป้าหมาย 10.70 บาท
ตลาดหุ้นสหรัฐฯเมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวร่วงแรงกว่า 300 จุดหลังราคาน้ำมันร่วงลงต่ำสุดตั้งแต่เดือน เม.ย. 2009 ซึ่งกดดันให้เกิดแรงขายในหุ้นกลุ่มพลังงาน
ตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนที่ผ่านมาปิดในแดนลบค่อนข้างแรงเช่นกันจากราคาน้ำมันดิบที่ดิ่งแรง รวมถึงวิกฤติการเมืองกรีซซึ่งอาจทำให้ต้องพ้นจากการเป็นสมาชิกยูโรโซน
ส่งผลให้ตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ร่วงลงในแดนลบแรงเช่นกันจากบรรยากาศการลงทุนที่เป็นลบ
ค่าเงินบาทวันนี้แกว่งทรงตัวในกรอบ 32.90-33.05 บาท/ดอลลาร์
น้ำมันดิบในตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดที่ 50.04 ดอลลาร์/บาร์เรล ร่วงลง 2.65 ดอลลาร์/บาร์เรล จากอุปทานที่ยังคงล้นตลาดหลัง OPEC ยังไม่มีทีท่าปรับลดกำลังการผลิต
ทองคำในตลาด COMEX ส่งมอบเดือน ก.พ. ปิดที่ 1,204 ดอลลาร์/ออนซ์ เพิ่มขึ้น 17.80 ดอลลาร์/ออนซ์ จากตลาดหุ้นที่ร่วงลงทำให้นักลงทุนเข้าซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
6 ม.ค. - จีน: HSBC China Composite PMI (ธ.ค.)
- สหรัฐ: Markit Composite PMI (ธ.ค.), Factory order (พ.ย.)
- ยูโรโซน: Markit Eurozone Composite PMI (ธ.ค.)
7 ม.ค. - สหรัฐ: การจ้างงานภาคเอกชน (ธ.ค.)
8 ม.ค. - ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ธ.ค.), TPCH เริ่มเทรด (ราคา IPO 12.75 บาท)
- จีน: ดุลการค้า (ธ.ค.)
- สหรัฐ: รายงานการประชุม FOMC ของวันที่ 16-17 ธ.ค.
- ยูโรโซน: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ธ.ค.)
9 ม.ค. - จีน: ยอดสินเชื่อ (ธ.ค.), อัตราเงินเฟ้อ (ธ.ค.), TREIT เริ่มเทรด (ราคา IPO 10 บาท)
- สหรัฐ: การจ้างงานนอกภาคเกษตรและอัตราว่างงาน (ธ.ค.)
14 ม.ค. - สหรัฐ: ยอดค้าปลีก (ธ.ค.)
- ยูโรโซน: Industrial Production (พ.ย.)
15 ม.ค. - เกาหลีใต้: ธนาคารกลางประชุม
16 ม.ค. - สหรัฐ: อัตราเงินเฟ้อ (ธ.ค.)
- ยูโรโซน: อัตราเงินเฟ้อ (ธ.ค.)
Contact person : Somchai Anektaweepon
Research Dept. Tel: 02-646-9967, 02-646-9852