- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 09 December 2014 15:52
- Hits: 2316
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
ราคาน้ำมันลง เงินเฟ้อต่ำ หนุนดอกเบี้ยต่ำอย่างน้อย 6 เดือนข้างหน้า ถือเป็นปัจจัยบวกอีกประการ ดีต่อหุ้น SPALI(FV@B32) โดยยังชื่นชอบหุ้นที่ได้ประโยชน์จากการลงทุนภาครัฐ (AIT) วันนี้เลือก CK(FV@B30) เป็น Top pick คาดทราบผลผู้ชนะการประมูลรถไฟฟ้าสีเขียวในวันนี้
ECB ยังเดินหน้ากระตุ้นเศรษฐกิจแต่เม็ดน้อยอาจยังน้อย
หลังจากที่ตลาดผิดหวังจากผลการประชุม ECB รอบสุดท้ายของปีนี้ ไม่มีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม แต่อย่างไรก็ตามมาตรการกระตุ้นอื่นๆ ที่ได้ประกาศไปก่อนหน้านี้ก็ได้ดำเนินการอย่างต่อเนื่อง ได้แก่ ความคื่บหน้าของการเข้าซื้อ covered bonds ซึ่งเริ่มเมื่อ ต.ค. 2557 คิดเป็นจำนวนเงิน 20.9 พันล้านยูโร และการซื้อ ABS ซึ่งเริ่มเดือน พ.ย. คิดเป็นจำนวนเงิน 601 ล้านยูโร (จากเป้าหมาย 1.4 หมื่นล้านยูโร)
ขณะที่ในวันที่ 11 ธ.ค. นี้ จะมีการเปิดเผยวงเงินกู้ ภายใต้โครงการ TLTROs3 รอบที่ 2 (จากที่กำหนดไว้ 8 รอบ โดยมีเงื่อนไขว่าเงินกู้รอบนี้ต้องไม่นำไปชำระคืนเงินกู้รอบแรก) ซึ่งเป็นที่คาดหมายว่าน่าจะมีธนาคารมาขอกู้ราว 148 พันล้านยูโร (หรือในช่วง 90-250 พันล้านยูโร) เทียบกับวงเงินกู้รอบแรกเพียง 82.6 พันล้านยูโร แต่อย่างไรก็ตามเมื่อรวมวงเงินปล่อยกู้ 2 รอบรวมกัน ยังต่ำกว่าเป้าหมายกำหนดไว้ 4 แสนล้านยูโร ซึ่งนอกจากแสดงให้เห็นว่ากำลังซื้อ หรือความต้องการสินเชื่อของระบบเศรษฐกิจยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า ยังน่าจะเป็นผลจากที่กำหนดเงื่อนไขการกู้ยืมที่เคร่งครัด (ต้องมีวัตถุประสงค์ที่ชัดเจน) ซึ่งทำให้มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรปจึงไม่ค่อยแรง เมื่อเทียบกับหลายประเทศที่ดำเนินการกระตุ้นเศรษฐกิจไปก่อนหน้า เช่น สหรัฐ อังกฤษ และญี่ปุ่น จึงคาดว่าการกระตุ้นเศรษฐกิจยุโรปน่าจะมีน้ำหนักต่อตลาดน้อย อย่างไรก็ตามต้องติดตามการประชุมของ ECB ในวันที่ 22 ม.ค. 2558
พอร์ตโบรกเกอร์เทขายหนัก แต่ยังได้แรงซื้อจาก LTF
วานนี้นักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคเป็นวันที่ 4 แต่กลับเบาบางเพียง 15 ล้านเหรียญฯ เท่านั้น โดยลดลง 74% จากวันก่อนหน้า ทั้งนี้เป็นการสลับซื้อขายสุทธิรายประเทศเช่นเดิม โดยที่ยังคงซื้อสุทธิเกาหลีใต้ ต่อเนื่องเป็นวันที่ 7 แต่ยอดซื้อสุทธิลดลง 60% จากวันก่อนหน้า เหลือราว 94 ล้านเหรียญฯ ไทยสลับมาซื้อสุทธิราว 54 ล้านเหรียญฯ (1.8 พันล้านบาท, ซื้อสลับขายสุทธิ 3 วันหลังสุด) ตรงกันข้ามกับ ไต้หวัน ที่ขายสุทธิเป็นวันที่ 2 ราว 102 ล้านเหรียญฯ และเพิ่มขึ้นกว่า 2 เท่าตัวจากวันก่อนหน้า และตามมาด้วย อินโดนีเซีย ขายสุทธิเป็นวันที่ 4 แต่ลดลง 47% เหลือราว 32 ล้านเหรียญฯ ขณะที่ฟิลิปปินส์ปิดทำการเนื่องจากพายุไต้ฝุ่น
ทั้งนี้การที่ตลาดหุ้นไทยปรับตัวลดลงอย่างหนักวานนี้ เป็นผลมาจากแรงขายของพอร์ตโบรกเกอร์ที่วานนี้สลับมาขายสุทธิราว 1.4 พันล้านบาท (สูงสุดในรอบ 2 เดือน) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะนักลงทุนกลุ่มนี้ มียอดซื้อสุทธิสะสมตั้งแต่ต้นปีจนถึงปัจจุบัน สูงถึงราว 1.5 หมื่นล้านบาท จึงเชื่อว่าแรงขายจากนักลงทุนกลุ่มนี้ยังคงมีอยู่ สวนทางกับนักลงทุนสถาบัน ที่ยังมีแรงซื้อสุทธิต่อเนื่อง ซึ่งส่วนใหญน่าจะมาจากแรงซื้อกองทุน LTF เพราะข้อมูลในอดีตบ่งบอกว่า กองทุน LTF จะมียอดซื้อสุทธิหนักในช่วงปลายปีของทุกปี (ราวเดือน พ.ย.-ธ.ค.) เฉลี่ยสูงถึงราว 45-60% ของยอดซื้อสุทธิรวมทั้งปี ตรงกันข้ามกับแรงขายออกในช่วงเดือน พ.ย.-ธ.ค. ของทุกปี ราว 10-20% ของยอดรวมที่ครบกำหนด 5 ปีปฏิทินของแต่ละปี (ส่วนใหญ่จะไม่เกิน 50% ของยอด LTF ที่ครบกำหนด 5 ปีปฏิทิน และแรงขายส่วนใหญ่จะกระจุกตัวอยู่ใน 6-7 เดือนแรกของปี) ขณะที่ข้อมูลล่าสุดจากต้นปีต้นปี 2557 จนถึง ต.ค. 2557 พบว่ามียอดซื้อจากกองทุน LTF 1.7 หมื่นล้านบาท เทียบกับยอดขาย 10 เดือนแรกราว 1.8 หมื่นล้านบาท โดยหากตั้งสมมติฐานเหมือนทุกปี คือ แรงซื้อ LTF จะกระจุกนตัวใน 2 เดือนหลังของปีนี้ ตรงข้ามกับ แรงขาย LTF จะขายน้อยในช่วง 2 เดือนหลัง (ดังกล่าวข้างต้น ) คาดว่าจะมีเม็ดเงินจากกอง LTF เข้ามาหนุนตลาดหุ้นไทยอีกประมาณ 1.5-2 หมื่นบาทในช่วงที่เหลือของปีนี้ แต่อย่างไรก็ตามหากพฤติกรรมของนักลงทุนเปลี่ยนแปลงไปจากเดิม คือ เพิ่มปริมาณการขายหนักในช่วงที่เหลือของปี และมากกว่าเม็ดเงินที่จะซื้อก็จะทำให้ยอดเงินซื้อสุทธิลดลง จนไม่สามารถจะขับเคลื่อนดัชนีได้
รัฐเดินหน้าลงทุนรถไฟฟ้า : CK มี upside มากสุด
ระยะสั้น ๆดูเหมือนตลาดหุ้นไทยจะขาดแรงหนุนหลักๆ นอกจากแรงซื้อจาก LTF แล้ว ความหวังอยู่ที่การลงทุนภาครัฐ โดยเฉพาะโครงการสาธารณูปโภค ซึ่งถือเป็นปัจจัยที่จะกระตุ้นเศรษฐกิจและตลาดหุ้นที่ดีที่สุดในภาวะตอนนี้ โดยจากการเปิดเผยของ รมว.คมนาคม ล่าสุด คาดว่าจะมีความชัดเจนในโครงการรถไฟฟ้า 2 เส้นทาง คือ 1. สายสีส้มช่วงศูนย์วัฒนธรรม-มีนบุรี จะนำเสนอให้ครม. เดือน ม.ค. 2558 และ 2. รถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต จะเปิดซองประมูลในวันนี้ (9 ธ.ค.) และหลังจากนี้จะเร่งดำเนินการพิจารณาโครงการรถไฟฟ้าสายสีเหลือง ลาดพร้าว-สำโรง และสายสีชมพู แคราย-มีนบุรี และโครงการรถไฟฟ้าส่วนต่อขยายสายสีน้ำเงิน บางแค-พุทธมณฑลสาย 4 เพื่อสรุปรายละเอียดนำเสนอให้ ครม. อนุมัติภายในช่วงกลางปีหน้า
หาก รฟม. สามารถประกาศรายชื่อผู้เสนอราคาต่ำสุดในงานประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต ภายในวันนี้ จะถือว่าเร็วกว่าที่ตลาดคาดไว้ประมาณ 1 เดือน (หลังจากที่ผ่านมาการพิจารณาคุณสมบัติหรือ PQ 4 ราย ITD,CK,STEC และ UNIQ และวันนี้มีการเปิดซองเทคนิค และตามด้วยเปิดซองราคา) น่าจะสร้างกระแสเก็งกำไรให้กับหุ้นรับเหมาก่อสร้างที่เข้าร่วมประมูลได้แก่ ITD,CK,STEC และ UNIQ ทั้งนี้งานประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียว หมอชิต-สะพานใหม่ แบ่งออกเป็น 4 สัญญา มูลค่ารวม 26,465 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่จะอยู่ที่ 2 สัญญาแรกคือ สัญญาที่มีมูลค่าสูงที่สุดคือ สัญญาที่ 1 ซึ่งเป็นงานก่อสร้างช่วงหมอชิต-สะพานใหม่ ระยะทาง 12 กม. วงเงิน 14,021 ล้านบาท รองลงมาคือสัญญาที่ 2 งานก่อสร้างช่วงสะพานใหม่-คูคต ระยะทาง 7.5 กม. วงเงิน 6,126 ล้านบาท ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าทุกบริษัทมีโอกาสที่จะได้รับคัดเลือก อย่างไรก็ตาม งานประมูลภาครัฐที่ออกมาน้อยมากในช่วง 1 ปีที่ผ่านมา น่าจะทำให้การแข่งขันด้านราคาสำหรับโครงการรถไฟฟ้าสายสีเขียว มีค่อนข้างสูง จึงต้องจับตาดูผลต่างราคาระหว่างผู้เสนอราคาแต่ละราย ซึ่งอาจสะท้อนให้เห็นถึงอัตรากำไรที่ผู้ชนะประมูลจะทำได้ สำหรับบริษัทรับเหมาก่อสร้างทั้ง 4 รายที่เข้าร่วมประมูลนั้น CK ถือเป็นบริษัทเดียวที่ฝ่ายวิจัยยังคงคำแนะนำ ซื้อ โดยให้ราคาเป้าหมายที่ 30 บาท มี Upside 14% จากราคาปัจจุบัน ขณะที่ ITD และ UNIQ ปัจจุบันมีมูลค่าเกิน Fair Value แล้ว ส่วน STEC เหลือ Upside เพียง 3%
เงินเฟ้อต่ำ แนะนำหุ้น P/E ต่ำ เงินปันผลสูง : SPALI
นอกเหนือจากช่วงปลายปีที่เป็นฤดูกาลท่องเที่ยว หนุนให้แนวโน้มของธุรกิจอาหาร-โรงแรม และธุรกิจสายการบิน-สนามบิน มีการฟื้นตัวได้เป็นลำดับดังที่ได้นำเสนอใน Market Talk วานนี้แล้วนั้น ในสถานการณ์ที่ราคาน้ำมันตกต่ำ ได้มีส่วนกดดันเงินเฟ้อให้อ่อนตัวลงไป (อัตราเงินเฟ้อ เดือน พ.ย. 1.26%yoy ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 1.48%yoy งวด 11M57 อยู่ที่ 2.02%) เท่ากับหนุนให้ กนง. ยืนดอกเบี้ยนโยบายที่ 2% ต่อไปอีกระยะหนึ่ง ซึ่งก็น่าจะนานกว่า 6 เดือน หรือในราวครึ่งหลังของปี 2558 ซึ่งจะเริ่มเห็นการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายในประเทศไทย และน่าจะเป็นช่วงเวลาเดียวกับที่ภาครัฐมีมาตรการกระตุ้นการลงทุน ทำให้ความต้องการใช้เงินลงทุน จากภาครัฐ และเอกชนมีความชัดเจนขึ้น แต่อย่างไรก็ตามคาดว่าการขึ้นดอกเบี้ยน่าจะค่อยเป็นค่อยไป โดยน่าจะขึ้นดอกเบี้ยได้ไม่เกิน 0.5% ภายในปี 2558
และในสถานการณ์ที่ดอกเบี้ยต่ำน่าจะดีต่อหุ้นที่เกี่ยวข้องกับการบริโภคภาคครัวเรือน เช่น ค้าปลีก-ค้าส่ง อสังหาริมทรัพย์ และ ธุรกิจการเงินรายย่อย/ลิสซิ่ง แต่อย่างไรก็ตามหากพิจารณารายกลุ่มพบว่า หุ้นในบางกลุ่มฯ ไม่น่าลงทุน โดยเฉพาะธุรกิจค้าปลีก-ค้าส่ง แต่อย่างไรก็ตามเนื่องจากหุ้นกลุ่มนี้มีค่า P/E สูง เป็นส่วนใหญ่ (ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมฯ อยู่ที่ 34 เท่า) ดังนั้นแม้ว่าเป็นหุ้นที่ฝ่ายวิจัยยังมีคำแนะนำซื้ออยู่ก็ตาม (CPALL(FV@B53) P/E 37.6 เท่า, ROBINS (FV@B64) P/E 27 เท่า) แต่ก็แนะนำให้ชะลอการลงทุนในระยะสั้น ๆ
ขณะที่อสังหาริมทรัพย์ โดยเฉพาะกลุ่มพัฒนาบ้านขาย ยังมีความน่าสนใจอยู่ เนื่องจาก P/E ยังไม่สูงมาก (ค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรมฯ อยู่ที่ 13.8 เท่า) ขณะที่แนวโน้มกำไรของกลุ่มยังมีทิศทางดีต่อเนื่องในงวด 4Q57 ถึงปี 2558 เพราะเป็นช่วงที่ผู้ประกอบการจะทยอยโอนฯ Backlog จากคอนโดฯระดับสูง คาดว่าปีนี้จะโตถึง 29% และปี 2558 คาดเติบโต 14% ฝ่ายวิจัยเลือกหุ้นที่มี P/E ต่ำ เงินปันผลสูง ได้แก่ SPALI ([email protected]) P/E 10 เท่า Div. yield 4.2% upside 18%, PS (FV@B 40.52) P/E 10.4 เท่า Div. yield 3% upside 32%,, AP (FV@B 8.1) P/E 8.3 เท่า Div. yield 4.2% upside 21%,
และด้านธุรกิจการเงินรายย่อย/ลิสซิ่ง ก็เป็นกลุ่มที่คาดว่าจะได้ประโยชน์จากภาวะดอกเบี้ยต่ำเช่นกัน อาทิ LIT ([email protected]) ซึ่งเน้นสินเชื่อขั้นปลาย ได้แก่ แฟคตอริ่ง (62% ของสินเชื่อรวม) ที่เหลือเป็นลูกหนี้ภาครัฐ คาดว่าจะได้รับผลบวกจากการเร่งใช้จ่ายเงินงบประมาณเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ ทำให้ภาพรวมกำไรน่าจะเติบโตควบคู่ไปกับรายได้ นอกจากนี้ ยังมี P/E ต่ำเพียง 12 เท่า Div Yield สูงถึง 4.7%, upside 20%, ASK ([email protected]) แม้แนวโน้มผลการดำเนินงาน 4Q57 คาดว่าจะทรงตัวใกล้เคียงกับงวด 3Q57 แต่ในปี 2558 จะเริ่มเห็นการเติบโตมากขึ้น โดยให้น้ำหนักไปที่ช่วงครึ่งหลังของปีหน้า จากแรงขับเคลื่อนของการลงทุนทั้งภาครัฐและเอกชนที่คาดหวังว่าจะเริ่มส่งผลบวกต่อความต้องการสินเชื่อรถบรรทุกให้กลับสู่ระดับปกติ ทั้งยังมี P/E ต่ำเพียง 10 เท่า และยังคาดหวัง Div yield เฉลี่ยกว่า 7-8% upside 29%, และ AEONTS (FV@B138) คาดการณ์กำไรสุทธิในช่วง 2H57 จะยังทรงตัว แต่แนวโน้มปี 2558/59 ยังคาดหวังผลบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐที่จะเริ่มส่งผลบวกต่อแนวโน้มธุรกิจในประเทศ โดยมี P/E ต่ำเพียง 10 เท่า และคาดว่าจะ Div yield 3.7% upside 22%
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล