WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เอเซียพลัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน

กลยุทธ์การลงทุน
      แม้ SET ยังถูกกดดันจากการสกัดการเก็งกำไรหุ้นเล็ก แต่การที่ กบง. อนุมัติให้ขึ้นราคาก๊าซ NGV อีก 1 บาท หนุนกำไร PTT อีก 4 พันล้านบาท หรือเพิ่ม Fair Value อีกหุ้นละ 8 บาท แนะนำเก็งกำไร PTT ขณะที่ยังชื่นชอบ AIT เพราะ P/E ต่ำและเงินปันผลสูง และเลือก AIT(FV@53B) เป็น Top pick

นโยบายการเงินผ่อนคลายทางการเงินยังคงมีอยู่
       แม้สัญญาณการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจของสหรัฐ จะทำให้ตลาดมีความเชื่อว่าน่าจะใกล้ถึงเวลาที่จะใช้มาตรการทางการเงินที่ตึงตัวมากยิ่งขึ้น แต่นักเศรษฐศาสตร์ โดยเฉพาะสมาชิกของ FOMC บางท่าน ก็สงวนท่าทีต่อการขึ้นดอกเบี้ยระยะสั้น โดยเฉพาะทางด้านนาย Fischer (รองประธาน Fed) และนาย Dudley (Fed สาขานิวยอร์ก) ซึ่งเป็นผู้มีอิทธิพลต่อตลาดการเงิน และสนับสนุนการใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายในแบบเดียวกับนางเยนเลน (ประธาน Fed) มองว่าตลาดแรงงานยังสามารถฟื้นตัวได้อีก จากเดือน พ.ย. อัตราการว่างงานอยู่ที่ระดับ 5.8% (ต่ำสุดในรอบ 6 ปี แต่เคยอยู่ที่เฉลี่ย 5% ในช่วงก่อนวิกฤติการเงิน) และอัตราเงินเฟ้อที่ต่ำ จากการลดลงของราคาน้ำมันโลก น่าจะช่วยกระตุ้นให้การใช้จ่ายผู้บริโภค (70% ของ GDP) ได้ อย่างไรก็ตามคาดจะทราบความชัดเจน การประชุม Fed ในวันที่ 16-17 ธ.ค.
      ขณะที่ทางฝั่งยุโรป จะมีการประชุมธนาคารกลางยุโรป (ECB) ในวันที่ 4 ธ.ค. นี้ คาดว่าน่าจะให้น้ำหนักต่อประเด็นการชะลอตัวของเงินเฟ้อที่อยู่ในระดับต่ำ 0.3% และอัตราการว่างงานที่อยู่ในระดับสูง 11.5% โดยคาดว่ามาตรการผ่อนคลายทางการเงินก็ยังคงมีความจำเป็นในยุโรป แต่ในการประชุมครั้งนี้ ECB น่าจะยังไม่ประกาศใช้นโยบายการเงินเพิ่มเติม เนื่องจากรอประเมินผลหลังจากการ เข้าซื้อพันธบัตรรัฐบาลในช่วงที่ผ่านมา และจะเห็นความชัดเจนมากขึ้นในปี 2558
       เช่นเดียวกับจีน ที่ยังต้องอาศัยนโยบายการเงินผ่อนคลายต่อไป เพื่อหนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวดีขึ้น โดย แบงค์ ออฟ ไซน่า คาดว่า ธนาคารกลางจีน (PBOC) มีแนวโน้มใช้มาตรการผ่อนคลายทางการเงินเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็นการปรับลดดอกเบี้ยนโยบายลง จากเดิมที่เพิ่งจะปรับลดไปเมื่อเดือน พ.ย. เหลือ 5.6% หรือลดอัตราเงินสดสำรองตามกฎหมายจากปัจจุบัน 20% แต่จะเกิดขึ้นในปี 2558 หากแนวโน้มเศรษฐกิจมีทิศทางไม่ดีขึ้น และการจ้างงานปรับลดลง

ขึ้น NGV อีก 1 บาท ดีต่อ PTT
      วานนี้ ที่ประชุม กบง. มีมติให้ปรับราคาขายปลีก LPG และ NGV โดยปรับราคา LPG ภาคครัวเรือน และภาคขนส่ง ขึ้น 1.03 บาท/กก. จาก 23.13 บาท/กก. ขึ้นมาอยู่ที่ 24.16 บาท/กก. เท่ากับภาคอุตสาหกรรม ส่วน NGV ภาคขนส่ง ปรับขึ้น 1 บาท/กก. เป็น 12.50 บาท/กก.
       ข่าวดังกล่าวน่าจะส่งผลดีต่อ PTT เฉพาะส่วนของ NGV เพราะปัจจุบันที่ PTT ขายในราคาต่ำกว่าต้นทุนราว 4 บาทต่อ กก. (หลังจากที่เคยมีการขึ้นราคาขาย NGVไปแล้ว 1 บาท เมื่อ ต.ค. ที่ผ่านมา อดีตเคยแบกขาดทุน 20 พันล้านบาทต่อปี เนื่องจากขายต่ำกว่าต้นทุน 5 บาทต่อ กก.) การขึ้นราคาขาย NGV จะทำให้กำไรของ PTT เพิ่มขึ้นมาทันทีอีก 4 พันล้านบาท หรือคิดเป็นกำไรสุทธิต่อหุ้นราว 4.03 บาท เพิ่มขึ้นจากประมาณการเดิม 10.1% หรือจะทำให้ Fair Value เพิ่มมาประมาณ 8 บาท
      โดยสรุปจากกรณีนี้จะทำให้กำไรสุทธิในปี 2558 ของ PTT เพิ่มจากเดิมราว 3.8% เป็น 1.08 แสนล้านบาทหรือหุ้นละ 37.83 บาท และจะทำให้ Fair Value ของ PTT เพิ่มอีก 8 บาท เป็น 413 บาท ซึ่งทำให้มี upside จากราคาตลาด 12% จึงแนะนำซื้อลงทุน (อนาคตหากลอยตัวทั้งหมด จะทำให้กำไรสุทธิของ PTT เพิ่มขึ้น 1.2 หมื่นล้านบาท หรือ Fair Value อีก 24 บาท หรือ Fair Value เพิ่มเป็น 437 บาท มีโอกาสขยับขึ้นอีก 64 บาท)

ต่างชาติเน้นขายรายประเทศ แต่สลับมาซื้อไทย
วานนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงขายสุทธิเป็นต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ราว 190 ล้านเหรียญฯ และเพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้า 91% โดยที่ยอดขายหลักเกิดจากไต้หวันเช่นเดิม และต่อเนื่องเป็นวันที่ 2 ด้วยยอดขาย 269 ล้านเหรียญฯ เพิ่มขึ้น 49% จากวันก่อนหน้า ส่วนฟิลิปปินส์สลับมาขายสุทธิเล็กน้อยราว 1 ล้านเหรียญฯ (ซื้อสุทธิติดต่อกัน 4 วันก่อนหน้า) สวนทางกับ เกาหลีใต้ที่ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 3 แต่ลดลง 32% เหลือราว 51 ล้านเหรียญฯ ไทยสลับมาซื้อสุทธิอีกครั้งราว 17 ล้านเหรียญฯ (555 ล้านบาท, ซื้อสลับขาย 3 วันหลังสุด) และ สุดท้ายคืออินโดนีเซียที่ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 8 ราว 13 ล้านเหรียญฯ (เพิ่มขึ้นจากวันก่อนหน้ากว่าเท่าตัว)
ทั้งนี้ แม้ต่างชาติยังคงขายสุทธิเป็นวันที่ 2 แต่เป็นการเลือกขายหนักรายประเทศเท่านั้น คือ ไต้หวัน ซึ่งน่าจะเป็นผลมาจากการเลือกตั้งที่มีขึ้นเมื่อวันที่ 29 พ.ย. ที่ผ่านมา ขณะที่ประเทศอื่นๆยังคงถูกเข้าซื้อเบาบาง รวมถึงประเทศไทยที่ต่างชาติสลับมาซื้ออีกครั้ง ในทิศทางเดียวกับ นักลงทุนสถาบันที่สลับมาซื้อเล็กน้อยราว 248 ล้านบาท (หลังจากที่ขายสุทธิติดต่อกัน 5 วันก่อนหน้า รวม 3.9 พันล้านบาท) ยังเชื่อว่าในเดือนสุดท้ายของปี นักลงทุนสถาบันจะกลับมาเป็นผู้ซื้อสุทธิหนุนดัชนีหุ้นไทย ซึ่งจากข้อมูลในอดีตนักลงทุนกลุ่มนี้เป็นผู้ซื้อสุทธิในเดือน ธ.ค. ถึง 4 จาก 5 ปีหลังสุด

DEMCO ลงลึกสะท้อนข่าวร้ายไปแล้ว
       การที่ราคาหุ้น DEMCO ปรับตัวลดลงกว่า 20% ในช่วง 1-2 วันที่ผ่านมา เป็นผลจากความกังวลต่อการที่ DEMCO ได้เข้าไปลงทุนในธุรกิจของ Wind Energy ซึ่งล่าสุดผู้บริหารของ Wind Energy ถูกพาดพิงและเป็นข่าวในโซเซียลมีเดียในขณะนี้ ทั้งนี้ DEMCO ได้ลงทุน Wind Energy ดังนี้ 1) ถือหุ้น Wind Energy Holding (WEH) สัดส่วน 4% มูลค่าเงินลงทุน 800 ล้านบาท 2) ถือหุ้น 25% บริษัท Aeoulus (WEH ถือหุ้น 75%) ซึ่งลงทุน 60% ในโครงการพลังงานลมห้วยบง 2 และห้วยบง 3 (หรือสุทธิแล้ว DEMCO ถือ 15%) และ 3) ถือหุ้น 10.4% ในบริษัท Sustainable Energy ซึ่งเป็นผู้พัฒนาโครงการพลังงานลมเขาค้อ (WEH ถือหุ้น 34.2%)
        อย่างไรก็ตาม จากการประชุม Opportunity day วานนี้ผู้บริหาร DEMCO ยังมั่นใจว่าบริษัท WEH ยังคงเดินหน้าธุรกิจได้ตามแผนที่กำหนดไว้ เนื่องจากปัญหาที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเฉพาะบุคคลไม่เกี่ยวกับบริษัท WEH จึงทำให้ฝ่ายวิจัย ASP ยังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2557 ไว้ที่เดิมคือ 386 ล้านบาท (EPS 0.56 บาท) และ จะเพิ่มเป็น 577 ล้านบาท (EPS 0.83บาท) ในปี 2558 และ 793 ล้านบาท (EPS 1.14 บาท)ในปี 2559
      ทั้งนี้ เนื่องจากงานหลักของ DEMCO คือการรับงานด้านวิศวกรรมไฟฟ้า (ระบบสายส่งไฟฟ้า) และการก่อสร้างโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน (ถือเป็นผู้ประกอบการรายใหญ่สุดในธุรกิจการก่อสร้างโรงไฟฟ้า) และในสมมติฐานกำไรสุทธิดังกล่าวเป็นส่วนที่มาจากกลุ่ม Wind Energy 30% โดยเป็นบันทึกรับรู้รายได้เฉพาะส่วนโรงไฟฟ้าพลังงานลมห้วยบง 2 และห้วยบง 3 เท่านั้น ที่เหลือมิได้รวมในประมาณ ขณะที่กำไรที่เหลือส่วนใหญ่ 70% เป็นงานที่ไม่ได้มาจากกลุ่ม Wind Energy ดังนั้นหากมองโลกในแง่ร้าย เราตัดกำไรจากส่วน Wind Energy ออกไป 30% คาดว่ากำไรสุทธิในปี 2558 จะเหลือ 404 ล้านบาท และ 555 ล้านบาท ซึ่งยังมีการเติบโตราว 4.7% ในปี 2558 และเติบโตอย่างก้าวกระโดดถึง 37% ในปี 2558 และ แม้จะทำให้ Fair Value ปี 2558 จะลดลงเหลือ 15 บาทจากสมมติฐานเดิม ก็ถือว่าได้สะท้อนในราคาตลาดแล้ว นักลงทุนระยะยาวจึงแนะนำให้ทยอยสะสม เมื่อราคาอ่อนตัวลง

หุ้นที่แนะนำใน Market talk

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!