WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 29-4-2022เมย์แบงก์

AT THE OPEN (#ATO)

S T R A T E G Y   R E P O R T / 29 เมษายน 2565

ฟื้นตัว

งบบริษัทสหรัฐฯอยู่ในเกณฑ์ดี

วันนี้คาด SET ฟื้นตัว ในกรอบแนวรับ 1,660 จุด และแนวต้าน 1,680 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มเด่น โดย ATO Picks วันนี้ แนะนำ “GFPT, MAJOR”

GFPT

คาดกำไร 1Q65ที่ 241 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น 4 เท่าจาก 1Q64 ที่ 61 ล้านบาท) แรงหนุนจากยอดขายที่เพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและส่งออก ผสานอัตรากำไรขั้นต้นที่คาดดีขึ้น 11.9%YoY และส่วนแบ่งกำไรบริษัทร่วมที่เพิ่มขึ้น 254%YoY อีกทั้งค่าเงินบาทอ่อนค่า เพิ่มแรงหนุนเชิงบวก

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 16.3 บาท

MAJOR

คาดกำไรจะฟื้นตัวเล็กน้อยใน 1Q65 ก่อนจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 2Q65 จากการที่หนังฟอร์มใหญ่จำนวนมากจะออกฉายในช่วงฤดูร้อนของอเมริกา ประกอบกับความกังวลเรื่องโควิดเริ่มคลี่คลาย เราคาดงบของ MAJOR จะเติบโต YoY ได้ทุกไตรมาสของปีนี้ โดยคาดปี 65 ที่ 677 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 832 ล้านบาทในปี 64

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 25.5 บาท

INVESTMENT THEME

ผลประกอบของบริษัทสหรัฐฯอยู่ในเกณฑ์ดี : การทยอยรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนของสหรัฐฯใน 1Q65 ซึ่งออกมาแล้วประมาณครึ่งนึงของทั้งหมด พบว่า 70% อยู่ในเกณฑ์ดี เพิ่ม sentiment เชิงบวกต่อการเก็งกำไรในตลาดหุ้น (Dow Jones +1.85%) โดยเฉพาะอย่างยิ่งกลุ่มเทคโนโลยีที่วานนี้ได้แรงหนุนจากผลประกอบการของ Meta (Facebook) หนุน Nasdaq ปรับตัวขึ้นกว่า 3% แต่อย่างไรก็ดีงบของ Amazon ที่แย่กว่าคาด รวมทั้ง Apple ที่มีความกังวลต่อเศรษฐกิจจีน กดดัน Nasdaq Future ย่อตัว

US GDP หดตัว 1.4%QoQ ส่วนคืนนี้จับตา PCE : วานนี้สหรัฐฯรายงานตัวเลข GDP ประจำไตรมาส 1 พบว่าหดตัวลง -1.4%QoQ จาก 4Q64 ที่ +6.9%QoQ และสวนคาดที่ +1.0%QoQ ซึ่งเป็นการกลับมาหดตัวครั้งแรกในรอบ 8 ไตรมาสล่าสุด โดยมีสาเหตุจากภาคการส่งออก และสินค้าคงคลังที่หดตัวราว -4% และการใช้จ่ายภาครัฐฯที่ลดลงเช่นกัน แต่อย่างไรก็ดียังได้ภาคการบริโภคที่ขยายตัว +2.7% จาก 4Q64 ที่ +2.5% โดยสรุปจากตัวเลข GDP ในช่วง 1Q65 ที่หดตัว อาจจะเพิ่มความเสี่ยงต่อประเด็นเศรษฐกิจถดถอยมากยิ่งขึ้น (recession) ดังนั้นจึงควรจับตาภาพเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วง 2Q65 อย่างใกล้ชิด ส่วนสำหรับคืนนี้แนะติดตามการรายงานตัวเลข US PCE ประจำเดือนมีนาคม ซึ่งตลาดคาดจะเร่งตัวขึ้นสู่ระดับ 6.7%YoY จากเดือนก่อนที่ 6.4%YoY โดยตัวเลขนี้ถือเป็นข้อมูลสำคัญในการพิจารณาการใช้นโยบายต่างๆ ในการประชุม FED ต้นเดือนหน้า    

MARKET SUMMARY

วานนี้ SET ฟื้นตัว มีแรงซื้อกลับหลังตลาดตอบรับปัจจัยลบไปค่อนข้างมากในช่วงก่อนหน้า โดย SET ปิดที่ 1,667.74 (+5.85 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 7.9 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 7.6 หมื่นล้านบาท)

โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 776 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 2,676 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติ Short Index Future

EYES ON

29 เม.ย. รายงานเศรษฐกิจไทยรายเดือนจาก ธปท., ดัชนี US PCE, ดัชนี Eurozone CPI, 1Q65 Eurozone GDP

Major Cineplex Group (MAJOR)

1Q65 จะเริ่มฟื้นตัว

BUY

Share Price               THB 20.90

12 m Price Target     THB 25.50 (+22%)

Previous Price Target THB 25.50

คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท

เราคาดว่ากำไรจะฟื้นตัวเล็กน้อยใน 1Q65 ก่อนจะเติบโตอย่างแข็งแกร่งใน 2Q65 จากการที่หนังฟอร์มใหญ่จำนวนมากจะออกฉายในช่วงฤดูร้อนของอเมริกา ประกอบกับความกังวลเรื่องโควิดเริ่มคลี่คลาย และผู้บริโภคออกมาทำกิจกรรมนอกบ้านมากขึ้นซึ่งรวมไปถึงการดูหนังในโรงหนัง เราคาดว่าผลประกอบการของ MAJOR จะเติบโต YoY ได้ทุกไตรมาสของปีนี้ โดยคาดการณ์กำไรปี 65 ที่ 677 ล้านบาท พลิกจากขาดทุนปกติ 832 ล้านบาทในปี 64 เราคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 25.50 บาท (DCF, WACC 7.9%, G. 2%)

คาดพลิกมีกำไรใน 1Q65

แม้จะมีหนังฟอร์มใหญ่น้อยลง ขณะที่ผู้ติดเชื้อโควิดเพิ่มขึ้น แต่เราน่าจะเห็นรายได้จากการขายตั๋วหนังใน 1Q65 เพิ่มขึ้น 47% YoY เนื่องจากการเปิดเมือง รายได้จากการขายอาหารและเครื่องดื่มคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 57% YoY จากจำนวนลูกค้าที่เพิ่มขึ้น และการขยายช่องทางการขาย เช่น ร้านค้าแบบป๊อปอัพและเดลิเวอรี เราคาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นจะฟื้นตัวเป็น 25.9% จาก 12.1% ใน 1Q65 และคาดการณ์ผลประกอบการ 1Q65 จะพลิกเป็นกำไร 24 ล้านบาทจากขาดทุน 120 ล้านบาทใน 1Q64

แนวโน้มดียิ่งขึ้นตั้งแต่ 2Q65 เป็นต้นไป

คาดว่า MAJOR จะมีรายได้ดีขึ้นตั้งแต่ 2Q65 เป็นต้นไปจากกิจกรรมนอกบ้านและกิจกรรมด้านบันเทิงที่เพิ่มขึ้น อีกทั้งโดยปกติแล้วค่ายหนังของฮอลลีวูดจะมีหนังฟอร์มใหญ่เข้าฉายมากขึ้นเมื่อเข้าสู่ฤดูร้อนในประเทศตะวันตก โดยตั้งแต่ 2Q65 เป็นต้นไป จะมีหนังออกฉาย ได้แก่ Doctor Strange in the Multiverse of Madness (พ.ค.), Top Gun: Maverick (พ.ค.), Jurassic World: Dominion (มิ.ย.), Lightyear (มิ.ย.), Thor: Love and Thunder (ก.ค.), Black Adam (ต.ค.), Black Panther: Wakanda Forever (พ.ย.) และ Avatar 2 (ธ.ค.) ขณะที่ค่ายหนังในไทยมีแผนจะฉายหนังไทย 45-50 เรื่องในปีนี้ ซึ่งเป็นจำนวนที่ใกล้เคียงกับช่วงก่อนโควิดในปี 62

จับมือพันธมิตรหนุนการเติบโต

MAJOR ได้เข้าซื้อหุ้น 5% ใน TKN และ 5% ใน WORK เมื่อเดือน มี.ค. ซึ่งคาดว่าจะช่วยเพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจป๊อปคอร์นและคอนเทนต์ โดย TKN จะสนับสนุนการผลิตและจัดจำหน่ายป๊อปคอร์น ส่งผลให้ MAJOR สามารถขยายช่องทางขายไปยังสถานที่ที่ไม่ใช่โรงหนังได้มากขึ้น เช่น โมเดิร์นเทรดและ 7-Eleven ขณะที่ WORK จะเป็นพันธมิตรในการผลิตคอนเทนต์สำหรับฉายในโรงภาพยนตร์ และ/หรือบนแพลตฟอร์มสตรีมมิ่ง เช่น Netflix

Suttatip Peerasub

[email protected]

(66) 2658 6300 ext 1430

p style="text-align: center;">COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

 

EXIM One 720x90 C J

BITKUB Ad

SAM720x100px bgGC 790x90

smed banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!