- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 29 May 2014 15:47
- Hits: 4058
บล.ฟินันเซีย ไซรัส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
คาด SET ยังขึ้นได้จำกัด และมีสิทธิผันผวน ดังนั้นยังรอซื้อลบ...
กลยุทธ์ : คาดว่ากรอบการบวกขึ้นของ SET ยังค่อนข้างจำกัด และมีสิทธิที่จะแกว่งผันผวนและย้อนลงได้อีก ดังนั้นยังต้องตามระวังแรงขายในจังหวะบวกไว้ก่อน อย่างไรก็ตามคาดว่าสถานการณ์การเมืองที่เริ่มนิ่งและผ่อนคลายมากขึ้น น่าจะส่งผลบวกต่อตลาดในช่วงถัดไปได้ จึงยังแนะนำเลือกหุ้นทยอยซื้อในช่วงลบต่อไป
หุ้นเด่นทางเทคนิค : MC, AI, PS(short)
แนวโน้ม : เช้านี้ตลาดหุ้นต่างประเทศส่วนใหญ่ปรับตัวลดลงตามตลาดหุ้นสหรัฐที่มีแรงขาย ก่อนที่สหรัฐจะเปิดเผยตัวเลข GDP ไตรมาสแรกครั้งที่ 2 ในคืนวันนี้ ซึ่งในครั้งแรกตัวเลข GDP ประมาณการออกมาค่อนข้างต่ำกว่าคาดมาก จึงทำให้นักลงทุนยังมีความกังวลอยู่ ส่วนตลาดหุ้นไทยวานนี้แม้ว่าจะมีแรงซื้อผลักดันให้แกว่งบวกต่อเนื่องได้จากข่าวการลดช่วงเวลา curfew และการประกาศรายชื่อคณะที่ปรึกษาด้านต่างๆ ของ คสช. ซึ่งช่วยหนุนให้นักลงทุนมั่นใจกับสถานการณ์การเมืองช่วงนี้ได้บ้าง แต่ในช่วงบ่ายก็มีแรงขายออกมากดดันอีกครั้ง ซึ่งคาดว่าส่วนหนึ่งมาจากแรงขายทำกำไรหลังตลาดดีดกลับขึ้นมาพอควรในช่วงที่ผ่านมา ขณะที่ยังไม่มีกำหนดการชัดเจนเกี่ยวกับการจัดตั้งรัฐบาลเฉพาะกิจ รวมถึงยังไม่มีกรอบเวลาที่จะเดินหน้าสู่การเลือกตั้งครั้งต่อไปให้เห็น จึงทำให้นักลงทุนต่างประเทศยังมียอดขายสุทธิกดดันให้ดัชนียังขึ้นได้ในกรอบจำกัด และ FSS คาดว่า SET ยังมีแนวโน้มที่จะปรับพักตัวลงได้อีก เพื่อรอภาพที่ชัดเจนมากกว่านี้ ดังนั้นเราจึงยังแนะนำให้รอเลือกหุ้นเพื่อทยอยเข้าซื้อในช่วงตลาดเป็นลบไว้ก่อนเช่นเดิม
แนวรับ 1400-1398 , 1395-1385 จุด แนวต้าน 1405-1410 , 1415 จุด
Fund Flow วานนี้กลับมาไหลเข้าตลาดหุ้นภูมิภาคแต่ปริมาณยังคงเบาบาง ส่วนใหญ่นักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไต้หวัน US$242.4 ล้าน เกาหลีใต้ US$129.2 ล้าน อินโดนีเซีย US$9.9 ล้าน และเวียดนาม US$1.8 ล้าน ขณะที่ขายหุ้นไทย US$84.9 ล้าน และฟิลิปปินส์ US$11.7 ล้าน ค่าเงินบาทเช้านี้ค่อนข้างนิ่ง Flow น่าจะยังไหลเข้าแต่เบาบาง
ข่าว/หุ้นเด่นมีประเด็น
(-) ส่งออกเม.ย.แย่กว่าตลาดคาด ลดลง 0.9% Y-Y สินค้าที่ฉุดยังคงเป็นสินค้าเกษตรโดยเฉพาะยางพารา อาหารทะเลแช่แข็ง กุ้ง และน้ำตาล ขณะที่ชิ้นส่วนยานยนต์และอิเล็คทรอนิคส์ยังลดลงต่อเนื่อง ส่วนตลาดสหรัฐ ยุโรป และ CLMV ขยายตัวดี แต่ตลาดจีนหดตัวแรงเป็นเดือนที่ 2 ตลาดญี่ปุ่นกลับมาหดตัวแต่อาจเป็นผลจากการขึ้น VAT เป็นเดือนแรก ภาพรวมการส่งออก 4 เดือนแรกยังอ่อนแอ หดตัว 1% Y-Y ทั้งนี้ ธปท.จะปรับประมาณการ GDP 18 มิ.ย. นี้ (ปัจจุบันคาด GDP ปีนี้โต 2.7% ปีหน้า 4.8%)
(0) การปรับบอร์ดบริหารของรัฐวิสาหกิจต่างๆให้เหมาะสมมากขึ้น คาดว่า PTT, AOT, THAI, MCOT, KTB อาจตกเป็นเป้าที่นักลงทุนนึกถึง แต่การเปลี่ยนคณะกรรมการบริษัทเป็นอำนาจของผู้ถือหุ้น ต้องเรียกประชุมผู้ถือหุ้น เราคิดว่าถ้าจะมีการเปลี่ยน จะเปลี่ยนเท่าที่จำเป็นและไม่กระทบการดำเนินงานของบริษัท
(0) แนวโน้มกลุ่มแบงก์หลังรัฐประหาร เรามีมุมมองที่ดีขึ้นต่อการเติบโตของสินเชื่อ คาดว่าจะฟื้นเร็วกว่าสมัยรัฐประหารปี 2006 ซึ่งใช้เวลากว่า 1 ปี สินเชื่อจึงกลับมาเติบโต นโยบายของคสช.ในการจ่ายเงินจำนำข้าวให้เกษตรกรและปรับโครงสร้างภาษี จะช่วยเพิ่มกำลังซื้อและทำให้ NPL ดีขึ้น เป็นบวกต่อธุรกิจสินเชื่อเช่าซื้อขนาดเล็กที่มีฐานลูกค้าส่วนใหญ่ในต่างจังหวัด ได้แก่ SINGER (ราคาเป้าหมาย 22 บาท), SAWAD (เป้าหมาย 8.75 บาท), TK (เป้าหมาย 8.80 บาท), AEONTS และ GL ส่วนการเร่งเบิกจ่ายงบฯและลงทุนโครงสร้างพื้นฐานในระยะถัดไป จะเป็นบวกต่อ KTB (เป้าหมาย 23 บาท) และ TMB (เป้าหมาย 2.60 บาท) เรายังคงคาดสินเชื่อปีนี้โต 6.6% แต่ปรับปีหน้าขึ้นเป็น 8.8% (จาก 7.5%) คาดกำไรสุทธิของกลุ่มเติบโต 2% ในปีนี้ และเร่งตัวขึ้นเป็น 7-8% ในปีหน้า เราคงน้ำหนัก Neutral โดย Top pick ยังเป็น KBANK (เป้าหมาย 212 บาท) หากพิจารณาความ ‘ถูก’ TMB เริ่มน่าสนใจเพราะ valuation ถูกกว่าในช่วงรัฐประหารปี 2006
(+) BTS เราปรับประมาณการกำไรปกติปี 2015 (เม.ย. 2014-มี.ค. 2015) ลง 9% เป็น 2,375 ล้านบาท แต่ยังเติบโต 14% Y-Y จากการปรับลดรายได้ธุรกิจโฆษณาของ VGI และธุรกิจอสังหาฯลง ทำให้ราคาเป้าหมายลดลงเป็น 10 บาท จากเดิม 10.50 บาท แต่ยังแนะนำซื้อ เพราะเป็นหุ้นปันผลสูง คาด yield 7-8% ต่อปี และมีลุ้นชนะประมูลรถไฟฟ้าสายสีเขียวเหนือ (หมอชิต-สะพานใหม่-คูคต) และสายสีเขียวฝั่งใต้ (แบริ่ง-สมุทรปราการ)
(+) BGH เข้าซื้อกิจการ 100% ของบริษัท โรงพยาบาลสนามจันทร์ จำกัด ซึ่งดำเนินธุรกิจโรงพยาบาลในนครปฐม และมีเงินลงทุน 44.5% ในบริษัท โรงพยาบาลเทพากร จำกัดและ 25% ในบริษัท ก.วสุพล จำกัด ใช้เงินลงทุนทั้งสิ้นราว 3,555-3,655 ล้านบาท หากรวมกำไรของโรงพยาบาลดังกล่าวเข้ามา จะทำให้กำไรสุทธิของ BGH เพิ่มขึ้นราว 2% เทียบกับราคาหุ้นเมื่อวานที่ปรับขึ้นมา 3.9% ถือว่ารับรู้ข่าวบวกไปแล้ว จะมีการประชุมนักวิเคราะห์เช้านี้ เราอาจมีการปรับกำไรและราคาเป้าหมายขึ้น
(0) การเปลี่ยนแปลงหุ้นที่คำนวณใน MSCI มีผลศุกร์นี้ การปรับเปลี่ยนหุ้นที่คำนวณในดัชนี MSCI ที่จะใช้ในรอบ 3 เดือนข้างหน้า (มิ.ย.-ส.ค.) หุ้น Big cap มีเพิ่ม 1 ตัวคือ BH ไม่มีหุ้นเอาออก ส่วนหุ้น Small Cap เพิ่ม 4 ตัว (BJCHI, MEGA, NYT, TTCL) เอาออก 6 ตัว (BH, GSTEL, GRAMMY, SITHAI, TUF, UMI) มีผล 30 พ.ค. 2014
ตลาดหุ้นสหรัฐเมื่อคืนที่ผ่านมาปรับตัวลง 42.32 จุด หลังจากบวกมา 4 วันทำการติดต่อกัน โดยนักลงทุนขายทำกำไรออกมาหลังอัตราผลตอบแทนพันธบัตรปรับตัวลดลง รวมถึงจับตาดูตัวเลข GDP เบื้องต้นที่จะประกาศคืนวันนี้
ส่วนตลาดหุ้นยุโรปเมื่อคืนปิดในแดนลบเล็กน้อยเช่นกันโดยบรรยากาศการซื้อเป็นไปอย่างซบเซาแม้ตัวเลขเศรษฐกิจจะออกมาอยู่ในเกณฑ์ดี
ขณะที่ตลาดหุ้นเอเชียเปิดตลาดเช้านี้ปรับตัวในแดนลบตามตลาดหุ้นในภูมิภาคอื่น โดยประเด็นที่ต้องจับตาคือตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐสำคัญหลายตัวที่จะประกาศคืนวันนี้
ค่าเงินบาทขยับอ่อนค่าลงอีกเล็กน้อยจากเงินทุนที่ยังไหลออก คาดวันนี้เคลื่อนไหวในกรอบ 32.60-32.70 บาท/ดอลลาร์
ราคาน้ำมันดิบในตลาด NYMEX ส่งมอบเดือน ก.ค. ร่วงลง 1.39 ดอลลาร์/บาร์เรล มาปิดที่ 102.72 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังดอลลาร์แข็งค่า รวมถึงคาดการณ์ที่ว่าอุปสงค์จะลดลงซึ่งหักล้างปัจจัยทางฝั่งอุปทานจากสถานการณ์ตึงเครียดในยูเครนและลิเบียรวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจในช่วงหลังที่ออกมาดี
ราคาทองคำในตลาด COMEX ส่งมอบเดือน มิ.ย. ร่วงอีก 6.20 ดอลลาร์/ออนซ์ มาปิดที่ 1,259.30 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยราคาทองคำยังได้รับแรงกดดันจากเศรษฐกิจที่ค่อยๆฟื้นตัวขึ้น รวมถึงสถานการณ์ความตึงเครียดในยูเครนที่เริ่มคลี่คลาย