- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 13 January 2022 17:00
- Hits: 8770
บล. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 13-1-2022
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 13 มกราคม 2565
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
เงินเฟ้อสหรัฐฯ ตามคาด
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,665 จุด และแนวต้าน 1,685 จุด เน้นหุ้นกำไรเติบโตดี โดย ATO Picks แนะนำ “NER, STEC”
NER
คาดกำไร 4Q64 จะทำสถิติใหม่อีกครั้งที่ 544 ลบ. +29.0% YoY ผลักดันจากมาร์จิ้นที่คาดทำระดับสูงสุดของปี ส่วนทิศทางปี 2565 จะเป็นปีแรกที่ NER เปิดประตูบานใหม่สู่ธุรกิจปลายน้ำที่จะให้มาร์จิ้นสูงขึ้นเท่าตัว และผ่อนคลายเงินทุนหมุนเวียนให้บริษัทอีกด้วย
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 10.7 บาท
STEC
คาดกำไรปกติ 4Q64 จะฟื้นตัวขึ้นสู่ระดับ 185 ล้านบาท (+36%QoQ, -24%YoY) โดยมีแนวโน้มได้งานใหม่ได้มากขึ้น หนุน Backlog ปัจจุบันเพิ่มขึ้น มากกว่า 1 แสนกว่าล้านบาท ส่วนปี 2565 คาดกำไรปกติ 1,038 ล้านบาท +61% ผสาน Valuation ปัจจุบันที่ถูก น่าทยอยสะสม
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 17 บาท
INVESTMENT THEME
เงินเฟ้อสหรัฐฯขยายตัวตามคาด : คืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) เดือนธันวาคม ขยายตัว +7%YoY จาก +6.8%YoY ในเดือนพฤศจิกายน เป็นไปตามคาด โดยแม้ว่าเงินเฟ้อจะเร่งสูงขึ้นซึ่งมาจาก ราคารถมือสองและรถบรรทุก (+3.5%), อาหาร (+0.6%) และราคาเครื่องแต่งกาย (+1.7%) แต่ราคาพลังงานเริ่มปรับตัวลงเป็นครั้งแรกตั้งแต่เดือน เมษายน (-0.4%) อาจจะเป็นจุดที่บ่งชี้ว่าสถานการณ์เงินเฟ้ออาจมีแนวโน้มดีขึ้นในช่วงถัดไป ซึ่งถือว่าเป็นปัจจัยบวกต่อตลาด ผสานกับการใช้มาตรการดอกเบี้ยที่เร่งขึ้นของ FED ก็จะเป็นแรงที่ทำให้ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อผ่อนคลายอีกแรงหนึ่ง และตลาดก็รับรู้การเร่งขึ้นดอกเบี้ยไปในระดับหนึ่งแล้วสะท้อนจาก FedWatch Tool ให้โอกาสสูงถึง 78.8% FED จะเริ่มปรับขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่เดือนมีนาคมนี้
ให้น้ำหนักกับตัวเลขผลประกอบการมากขึ้น : เข้าสู่ช่วงการรายงานผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียน 4Q64 ดังนั้นเชื่อว่าทิศทางการลงทุนจะกลับมาเน้นหุ้นที่มีความสามารถในการทำกำไรในช่วง 4Q64 ที่โดดเด่น รวมไปถึงบริษัทที่มีการเติบโตอย่างมีนัยสำคัญในช่วงปี 2565 จึงแนะนักลงทุนสะสมรอจังหวะตลาดย่อ เป็นโอกาสในการทยอยสะสมกลุ่มหุ้นดังกล่าว
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่งขึ้นขานรับถ้อยแถลงของเจอโรม โพลเวลที่ใกล้เคียงกับตลาดคาด โดย SET ปิดที่ 1,678.50 (+11.38 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 8.8 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 7.9 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 2,288 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 1,327 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Future ที่ 1,007 สัญญา)
EYES ON
เข้าสู่ช่วงการรายงานงบ 4Q64
13 ม.ค.ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคของไทย, US PPI, ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
14 ม.ค. ยอดค้าปลีก US, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม US, ดัชนีความเชื่อมั่น US, ดุลการค้าจีน
North East Rubber (NER)
กำลังจะทุบสถิติใหม่อีกแล้ว
BUY
Share Price THB 7.30
12 m Price Target THB 10.70 (+47%)
Previous Price Target THB 10.70
ประเด็นการลงทุน
เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 10.70 บาท/ หุ้น อิง P/E 8.5x ตามเดิม เนื่องจากทิศทางผลการดำเนินงานไตรมาส 4 ยังแข็งแกร่งมาก คาดกำไรทำสถิติใหม่อีกครั้งที่ 544 ลบ. +29.0% YoY ผลักดันจากมาร์จิ้นที่คาดจะทำระดับสูงสุดของปี ส่งให้ปี 2564 NER จะทำกำไรเป็นสถิติใหม่ของบริษัทที่ 1,783 ลบ. +107.6% YoY แล้วก้าวไปสู่ปี 2565 ซึ่งจะเป็นปีแรกที่ NER เปิดประตูบานใหม่สู่ธุรกิจปลายน้ำที่จะให้มาร์จิ้นสูงขึ้นเท่าตัว และผ่อนคลายเงินทุนหมุนเวียนให้บริษัทอีกด้วย
คาดกำไรสุทธิไตรมาส 4 จะสดใสมาก เด่นที่มาร์จิ้น
เราคาดว่า NER จะรายงานกำไรสุทธิ 4Q64 ที่ 544 ลบ. ขยายตัว +23.5% QoQ และ +29.0% YoY เป็นสถิติใหม่ของบริษัท และเป็นจุดสูงสุดของปี 2564 โดยไตรมาสนี้ ไฮไลท์อยู่ที่อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ซึ่งเราคาดจะทำได้ที่ 14.0% สูงกว่าไตรมาสก่อน 80 bps และเป็นจุดสูงสุดของปี ได้อานิสงค์จากราคาน้ำมันดิบที่ยืนสูงตลอด 2H64 หนุนราคายางธรรมชาติในทางอ้อม และ การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมยานยนต์หลังปัญหาขาดแคลนชิปเริ่มคลี่คลาย ส่งผลดีต่อการกำหนดราคาขายของบริษัทแม้ว่าในแง่ปริมาณส่งมอบยาง จะแผ่วลงเป็น 1.1 แสนตัน ลดลง 23.5% QoQ เนื่องจากการเร่งส่งมอบในช่วง 3Q64 ที่ผ่านมา ขณะที่บรรทัดอื่นๆ เช่น ค่าใช้จ่ายในการขยายและบริหาร ดอกเบี้ยจ่ายนั้น คาดไม่ได้เปลี่ยนไปอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ภาพรวมกำไรสุทธิปี 2564 คาดจะจบที่ 1,789 ลบ. ใกล้กับที่มองไว้
ปี 2565 ปีที่ท้าทาย เพื่อการยกระดับไปอีกขั้น
เราจะเริ่มเห็นผลลัพธ์ของธุรกิจปลายน้ำแรก แผ่นรองนอนปศุสัตว์ CATTLE FLEX ในปีนี้ โดยเป้าหมายรายได้จากการขายทั้งในและต่างประเทศจะอยู่ที่ 504 ลบ. หรือ 1.9% ของรายได้รวม ซึ่งการเป็นธุรกิจที่ให้มาร์จิ้นดีกว่าธุรกิจยางปัจจุบันเท่าตัว และ จะเป็นหน่วยธุรกิจที่ปรับโครงสร้างเงินทุนหมุนเวียนของบริษัทให้ผ่อนคลายมากกว่าเดิม เราเชื่อว่าหากประสบความสำเร็จตามแผน ตลาดจะเปลี่ยนมุมมอง และยกระดับ P/E เป้าหมายของ NER ขึ้นจากปัจจุบันที่ระดับ 7-8 เท่าได้ในที่สุด
ความเสี่ยง
ทิศทางของราคายางพาราธรรมชาติจะส่งผลต่อการกำหนดอัตรากำไรของการส่งมอบในระยะถัดไปข้างหน้าได้ ขณะที่การดำเนินธุรกิจกลางน้ำ NER จำเป็นต้องแบกรับสินค้าคงเหลือไว้จำนวนมาก ทำให้ระดับ D/E ค่อนข้างสูง 1.9x (ณ 3Q64) ดังนั้นหากการหมุนเวียนขายสินค้าสะดุดก็อาจกระทบกับวงจรเงินสดได้ ทว่าด้วยอุปสงค์ที่สูงกว่าอุปทาน เหตุการณ์ลักษณะนี้จึงมีโอกาสเกิดได้น้อยในปัจจุบัน
Jaroonpan Wattanawong
(66) 2658 6300 ext 1404
Siam Cement (SCC)
4Q64 จะฟื้นตัว แต่ไม่เด่น แนวโน้มดีขึ้น
BUY
Share Price THB 390.00
12 m Price Target THB 520.00 (+33%)
Previous Price Target THB 520.00
ประเด็นการลงทุน
คาดผลประกอบการ 4Q64 จะฟื้นตัว มีกำไร 8,700 ล้านบาท (+28%QoQ, +8%YoY) แต่เป็นระดับที่ไม่เด่น เมื่อเทียบกับการคาดหวังก่อนหน้านี้ ถูกกระทบจากต้นทุนที่สูงขึ้น ในขณะที่ราคาขายมีระยะเวลาในการปรับขึ้น ปรับประมาณการลงเล็กน้อย 2% แต่รวมปี 2564 กำไรจะเด่น 47,568 ล้านบาท โต 39%YoY แนวโน้มปี 2565 คาดจะดีขึ้นจากปี 2564 แต่การเติบโตจะไม่สูง โดยทั้งสามธุรกิจมีทิศทาบวก โดยเฉพาะบรรจุภัณฑ์ครบวงจรจะเติบโตเด่น คาดปันผลกำไรครึ่งปีหลังอีก 8.5 บาท รวมปี 2564 เท่ากับ 17 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 4.4% คงแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 520 บาท บนฐานเฉลี่ย10ปี Forward P/E = 12.9 เท่า
คาดกำไร 4Q64 จะฟื้นตัว แต่ไม่เด่น
SCC จะประกาศผลประกอบการ ในวันที่ 26 ม.ค. นี้ เราคาดจะมีกำไรสุทธิที่ฟื้นตัว 8,700 ล้านบาท (+28%QoQ, +8%YoY) ถ้าหากหักการตั้งสำรองใน 3Q64 กำไรปกติ 4Q64 จะชะลอตัวลง 3% ซึ่งตัวเลขกำไร 8.7 พันล้านบาท เป็นระดับที่ไม่เด่น เมื่อเทียบกับที่คาดหวังก่อนหน้านี้ซึ่งประเมินกำไรประมาณ 1 หมื่นล้านาท เนื่องจากถูกกระทบจากต้นทุนที่ปรับขึ้น ในขณะที่ราคาขายมีระยะเวลาในการปรับขึ้น ปรับประมาณการลงเล็กน้อย 2% รวมปี 2564 กำไรจะเด่น 47,568 ล้านบาท โต 39%YoY
ธุรกิจเคมิคอลส์คาดกำไรจะทรงตัว
ปริมาณขายในไตรมาสนี้จะอยู่ในระดับสูงประมาณ 5 แสนตัน และสเปรดมีทิศทางที่ดีขึ้นจากความต้องการฟื้นตัว คือ HDPE – Naphtha เท่ากับ $510/ตัน (+10%QoQ, -14%YoY) และ PP – Naphtha เท่ากับ $566/ตัน (+3%QoQ, -23%YoY) แต่กำไรของธุรกิจเคมิคอลส์คาดจะทรงตัวเท่าไตรมาสก่อน 5,225 ล้านบาท (0%QoQ, -10%YoY) เนื่องจากมีระยะเวลาในการปรับราคาขึ้น และ ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนปรับลดลง ซึ่งถูกกระทบจากสเปรด BD – Naphtha ที่ติดลบ -$10/ตัน
ธุรกิจผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และ บรรจุภัณฑ์ครบวงจร คาดกำไรจะฟื้นตัว
ธุรกิจปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง คาดกำไรจะฟื้นตัวดีขึ้น 1,267 ล้านบาท เทียบกับขาดทุน 2,400 ล้านบาท ในไตรมาสก่อน และ ขาดทุน 194 ล้านบาท เนื่องจากไตรมาสก่อน และ ปีก่อนมีการตั้งสำรอง 3,599 ล้านบาท และ 1,316 ล้านบาท ตามลำดับ โดยความต้องการฟื้นตัวดีขึ้น แต่ยังอ่อนแอ และ ถูกกระทบจากต้นทุนถ่านหินปรับขึ้น ส่วนด้านราคามีระยะเวลาในการปรับขึ้น ทำให้มีระดับกำไรที่ไม่เด่น ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร คาดกำไร 1,800 ล้านบาท (+1%QoQ, +21%YoY) แรงหนุนจากต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับลดลง ดีมานด์ฟื้นตัวหลัง Covid-19 ผ่อนคลาย ราคาผลิตภัณฑ์ตลาดปรับตัวสูงขึ้น รวมถึง ได้แรงหนุนเพิ่มจากการ M&P (Duytan และ Intan) แต่กำไรยังไม่กลับไปสู่ระดับครึ่งแรกของปี 2564 เนื่องจากราคาขายมีระยะเวลาในการปรับขึ้น
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ