WORLD7

smed PIONEER 720x100ใจฟู720x100pxgpf 720x100 66

บล. เมย์แบงก์ (ประเทศไทย) : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 8-12-2021เมย์แบงก์

Thailand Banks

2565 ปีแห่งการฟื้นตัว

POSITIVE

คงมุมมอง บวก หุ้นเด่น KBANK & TTB

เราคาดว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและอัตราการฉีดวัคซีนที่เพิ่มขึ้นจะช่วยเพิ่มความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและการท่องเที่ยวภายในประเทศ เราคงมุมมองเชิงบวกและคาดว่าหุ้นกลุ่มธนาคารจะขึ้นแรงกว่าดัชนี SET ในปี 2565 เราเปลี่ยนหุ้นเด่นเป็น KBANK และ TTB (จาก KBANK และ TISCO) เนื่องจากคาดว่าจะเป็นผู้ได้รับประโยชน์หลักจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่ KTB เป็นธนาคารที่เราชอบน้อยที่สุดเนื่องจากมีความเสี่ยงด้านบริการระดับประเทศสูงและมีความสามารถต่ำในการเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียม ความเสี่ยงหลัก คือ ไวรัสสายพันธุ์ใหม่ที่อาจลดประสิทธิภาพของวัคซีน

คาดรายได้กลุ่มแบงก์จะเติบโต 10% YoY ในปี 65

เราคาดว่าสินเชื่อของทั้งกลุ่มจะเติบโต 4.8% และ 4.0% YoY ในปี 64-65 หนุนโดยสินเชื่อธุรกิจและรายย่อย โดยอิงจากการคาดการณ์การเติบโตของ GDP ที่ 1.6% และ 4.0% สำหรับปี 64-65 เราคาดการณ์ว่ารายได้ของกลุ่มธนาคารจะเติบโต 29%/10% YoY ในปี 64/65 เนื่องจากต้นทุนสินเชื่อที่ลดลงและการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมที่สูงขึ้น (หนุนโดยค่าธรรมเนียมจากตลาดทุนและรายได้จากการซื้อขาย) อย่างไรก็ตาม NIM น่าจะทรงตัว YoY ที่ 2.84% ในปี 65 เนื่องจากผลตอบแทนเงินกู้ยังคงอยู่ภายใต้แรงกดดันจากการปรับโครงสร้างหนี้ระยะยาว

NPLs เพิ่มขึ้น แต่ต้นทุนสินเชื่อลดลงอีก

แม้ว่าเราจะคาดการณ์อย่างระมัดระวังว่าอัตราส่วน NPL ของภาคธุรกิจจะเพิ่มขึ้นจาก 4.2% ในไตรมาส 3/64 เป็น 4.6% ในปี 65 เนื่องจากสินเชื่อ SME บางส่วนกลายเป็น NPL แต่เราคาดว่าต้นทุนเครดิตจะลดลงอีกเป็น 142bps ในปี 65 จาก 152bp ในปี 64 และ 187bps ในปี 63 หนุนโดยนโยบายการตั้งสำรองล่วงหน้าในปี 63 และการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในปี 65 ทั้งนี้ เราไม่ค่อยกังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์นัก เนื่องจากธนาคารไทยมี NPL coverage สูงถึง 156% และระดับเงินทุน 19.9% ในไตรมาส 3/64 นอกจากนี้ เราเชื่อว่านโยบายสนับสนุนของ ธปท. จะช่วยให้การฟื้นตัวเป็นไปอย่างราบรื่นและป้องกันไม่ให้สินเชื่อด้อยคุณภาพพุ่งขึ้น

ROE ที่เพิ่มขึ้นจะเป็นปัจจัยหนุนการ Re-rating

เราไม่คาดว่าธนาคารไทยจะซื้อขายในระดับเดียวกับก่อนเกิดโควิด 19 ที่ P/BV 0.9 เท่า แต่กำไรและ ROE ที่เพิ่มขึ้นจากต้นทุนเครดิตที่ลดลงจะนำไปสู่การปรับเรตติ้งจากการประเมินมูลค่าที่ต่ำในขณะนี้ แม้ว่า NIM จะไม่เพิ่มขึ้นในปี 65 แต่เราคาดว่า NIM ลบด้วยต้นทุนเครดิตจะเพิ่มขึ้นอีกจาก 1.13% ในปี 63 เป็น 1.3-1.4% ในปี 64-65 เนื่องจากต้นทุนเครดิตที่ลดลง การฟื้นตัวของกำไรน่าจะทำให้ ROE ของกลุ่มแบงก์เพิ่มขึ้นจาก 5.9% ในปี 63 เป็น 7-8% ในปี 64-65

AT THE OPEN (#ATO)

S T R A T E G Y   R E P O R T / 8 ธันวาคม 2564

INVESTMENT STRATEGY

ฟื้นตัว :

ผ่อนคลายขึ้น แต่ยังต้องระวัง

วันนี้คาด SET ฟื้นตัว ในกรอบแนวรับ 1,600 จุด และแนวต้าน 1,620 จุด เน้นหุ้นอิงเศรษฐกิจไทยฟื้นตัว โดย ATO Picks แนะนำ “TTB, DOHOME”

TTB

คาดกำไรปี 2565 เติบโต 25%YoY สู่ระดับ 1.3 หมื่นล้านบาท (EPS เติบโตสุดในกลุ่มธนาคาร) คาด Cost-to-income ratio ลดลง YoY และรายได้คาดปรับตัวขึ้นหลังการควบรวมจาก ผลิตภัณฑ์ Cross-selling จากฐานลูกค้าที่มากขึ้น ขณะที่ Valuation เทรดเพียง PBV 0.54 เท่า

   เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 1.5 บาท

DOHOME

คาดกำไร 4Q64 ฟื้นตัว QoQ และเติบโตสูง YoY จากสาขากลับมาเปิดได้ทั้งหมด โดย SSSG เดือน ต.ค. เป็นบวกเกิน 30% ประกอบกับความต้องการซื้อสินค้าซ่อมแซมบ้านเพิ่มขึ้น โดยอัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าจะเพิ่มขึ้น YoY จากฐานที่ยังไม่สูงในปีก่อน และประสิทธิภาพการดำเนินงานเพิ่มขึ้น

     เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 27.5 บาท

INVESTMENT THEME

ผ่อนคลายโอไมครอน : จากสถานการณ์ล่าสุดของการแพร่ระบาดของสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งแม้จะกระจายตัวได้เร็ว แต่ยังไม่พบการรายงานผู้เสียชีวิตจากสายพันธุ์ดังกล่าว ซึ่งอาจบ่งชี้ว่าความรุนแรงมีแนวโน้มที่น้อยกว่าสายพันธุ์ก่อนหน้า เช่น Delta ทำให้มีแรงเก็งกลับในตลาดสินทรัพย์เสี่ยง ทั้งหุ้น และสินค้าโภคภัณฑ์ โดยในช่วงถัดไปเชื่อว่าบริษัทยาต่างๆ น่าจะทยอยออกมารายงานความคืบหน้าในการทดสอบวัคซีนที่ช่วยต้านสายพันธุ์โอไมครอน ซึ่งก็จะเป็นปัจจัยที่ช่วยผ่อนคลายมากยิ่งขึ้น

แต่ยังต้องต้องระวังเงินเฟ้อ : ท่ามกลางการผ่อนคลายจากโอไมครอน แต่ยังมีประเด็นที่ต้องจับตามอย่างใกล้ชิด เช่น การรายงานตัวเลขเงินเฟ้อ (CPI) ของสหรัฐฯประจำเดือนพฤศจิกายน ในช่วงปลายสัปดาห์นี้ โดยล่าสุดพบว่า Bloomberg consensus คาดการขยายตัวเร่งขึ้นสู่ระดับ 6.8%YoY สูงกว่าเดือนตุลาคมที่ 6.2%YoY ซึ่งหากตัวเลขยิ่งอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง ก็จะเพิ่มโอกาสที่ การประชุม FED ในช่วงกลางเดือนธันวาคมนี้ FED จะมีมติปรับลด QE ด้วยอัตราเร่งมากกว่า โดยอาจลดเป็น 3 หมื่นล้านเหรียญ จากประกาศเดิมที่ 1.5 หมื่นล้านเหรียญ ซึ่งการเร่งลด QE ก็จะนำพาโอกาสในการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่เร็วขึ้นกว่าแผนเดิม แต่ตลาดก็ซีมซับประเด็นนี้ไปบางส่วนแล้ว ดังนั้นหากสัปดาห์หน้าตลาดย่อจากประเด็นนี้มองเป็นจังหวะรับเพิ่มเติม

MARKET SUMMARY

วานนี้ SET แกว่งขึ้น จากการผ่อนคลาย COVID-19 สายพันธุ์ใหม่ไม่รุนแรงนัก โดย SET ปิดที่ 1,609.28 (+21.09 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 7.5 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 5.5 หมื่นล้านบาท)

โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 166 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 2,949 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Future ที่ 14,134 สัญญา)

EYES ON

8 ธ.ค. สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์สหรัฐฯ

9 ธ.ค. ตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯ, ดัชนี CPI จีน, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทย

10 ธ.ค. ดัชนี CPI สหรัฐฯ

COREHOON

******************************************

line logotwitterLike1 Share3Like1 Share1กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web

 

EXIM One 720x90 C J

BITKUB Ad

SAM720x100px bgGC 790x90

smed banpu 720x90 new1 1

apm

 

 

Facebook

5 ข่าวฮอตนิวส์!