บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 21-10-2021

Details: Category: บทวิเคราะห์; Published: Thursday, 21 October 2021 11:59; Hits: 6887

บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 21-10-2021

AT THE OPEN (#ATO)

S T R A T E G Y R E P O R T / 21 ตุลาคม 2564

INVESTMENT STRATEGY

แกว่งขึ้น :

จับตากระแสเงินทุนไหลเข้า

วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,630 จุด และแนวต้าน 1,650 จุด เน้นหุ้นแนวโน้มกำไรเติบโตดี โดย ATO Picks แนะนำ “JMT, SCB”

JMT

คาดกำไรสุทธิ 3Q64 ที่ 310 ล้านบาท (+7%QoQ , +9%YoY) เติบโตสวนทางกลุ่มการเงิน โดยฟื้นแบบ V-shape ในเดือน ก.ย. และกองหนี้ที่ตัดต้นทุนหมดเพิ่มขึ้น หนุนอัตรากำไรขั้นต้น +70bps และคาดกำไร 4Q64 จะทำจุดสูงสุดใหม่ 400 ล้านบาท และปี 65 กำไรจะเร่งขึ้นอีก 37%

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 58 บาท

SCB

สถานการณ์ COVID-19 ที่เริ่มผ่อนคลาย ผสานการเดินหน้าเปิดเมือง และมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมจากภาครัฐฯ จะช่วยหนุนให้เศรษฐกิจฟื้นตัวขึ้น อีกทั้งโอกาสที่ดอกเบี้ยนโยบายทั่วโลกจะกลับมาเป็นขาขึ้นในช่วงถัดไป เป็นบวกต่อกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ แนะทยอยสะสม

เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 130 บาท

INVESTMENT THEME

สต๊อกน้ำมัน US ลดมากกว่าคาด : เมื่อคืนที่ผ่านมาราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวขึ้น +1.1% ขานรับตัวเลขสต๊อกน้ำมันสหรัฐฯ รายสัปดาห์ที่ลดลงมากกว่าคาด นำโดย 1) สต๊อกน้ำมันดิบสหรัฐฯ ลดลง -4.31 แสนบาร์เรล สวนกับที่ตลาดคาดจะเพิ่มขึ้น +1.28 ล้านบาร์เรล 2) สต๊อกน้ำมันเบนซิน ปรับตัวลดลงมากถึง -5.36 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดจะลดลงเพียง -7.12 แสนบาร์เรล และ 3) สต๊อกน้ำมันกลั่น ปรับตัวลดลง –3.91 ล้านบาร์เรล มากกว่าที่ตลาดคาดจะลดลงเพียง 8.87 แสนบาร์เรล ตัวเลขดังกล่าวสะท้อนถึงความต้องการพลังงงานที่เร่งตัวขึ้นมากกว่าที่ตลาดประเมินไว้ ซึ่งมากจากทั้งการเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว, การนำไปใช้ทดแทนก๊าซในการผลิตไฟฟ้า, รวมถึงกำลังการผลิตที่ไม่ได้เร่งตัวขึ้นมากนัก คาดจะช่วยเพิ่มแรงเก็งกำไรต่อหุ้นกลุ่มพลังงาน, โรงกลั่น หนุน SET เพิ่มเติมในวันนี้

ต่างชาติยังซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย : สัญญาณระยะสั้นยังคงเห็นนักลงทุนต่างชาติซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทย 5 ใน 6 วันทำการล่าสุด รวมกว่า 1.6 หมื่นล้านบาท โดยซื้อมากในกลุ่มพลังงาน, ขนส่ง และธนาคาร ส่วนกลุ่มที่ถูกต่างชาติขายมากคือ กลุ่มวัสดุก่อสร้าง เราคาดว่าต่างชาติยังมีโอกาสทยอยสะสมหุ้นไทยมากขึ้น จากความคืบหน้าของการเปิดประเทศ ผสานกับมาตรการกระตุ้นเพิ่มเติม ซึ่งจะเป็นปัจจัยช่วยหนุนภาพเศรษฐกิจไทยฟื้นตัวในช่วงถัดไป และคาดนักลงทุนสถาบันในประเทศ มีโอกาสจะกลับมาซื้อสุทธิ

MARKET SUMMARY

วานนี้ SET ฟื้นตัว โดยมีแรงซื้อกลับในหุ้นกลุ่มธนาคาร อิเล็กทรอนิกส์ และโรงพยาบาล โดย SET ปิดที่ 1,637.55 (+7.16 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 6.8 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 9.7 หมื่นล้านบาท)

โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 4,581 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 1,924 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 16,423 สัญญา)

EYES ON

การรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคาร

21 ต.ค. ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US, ยอดการขายบ้านมือสอง US, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยูโรโซน

22 ต.ค. ตัวเลขส่งออกไทย, PMI ภาคการผลิตและบริการ US และยูโรโซน

Berli Jucker (BJC)

คาดกำไร 3Q64 ลดลงมากก่อนจะฟื้นใน 4Q64

BUY

Share Price THB 33.50

12 m Price Target THB 42.00 (+25%)

Previous Price Target THB 42.00

ประเด็นการลงทุน

คาดการณ์กำไร 3Q64 ลดลงทั้ง QoQ, YoY จากการล็อกดาวน์และต้นทุนเพิ่มขึ้น แต่กำไร 4Q64 มีแนวโน้มฟื้นตัวเป็นระดับสูงสุดของปีนี้จากการเปิดเมืองทำให้ SSSG ของบิ๊กซีและรายได้ค่าเช่าฟื้นตัว อีกทั้งยอดขายบรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้นหลังคลายล็อกดาวน์ เราแนะนำ ซื้อ BJC ราคาเป้าหมาย 42 บาท (DCF, WACC 7.1%, G.3%)

ยอดขายและรายได้ค่าเช่าของบิ๊กซีลดลงใน 3Q64

จากการล็อกดาวน์ในเดือน ก.ค. - ส.ค. กระทบต่อยอดขายสินค้าอุปโภคของบิ๊กซี ยกเว้นกลุ่ม Hard line ซึ่งยังเติบโตจากกลุ่มสินค้าโทรศัพท์มือถือ ขณะที่ยอดขายสินค้าบริโภคทรงตัว เราคาดว่า SSSG ติดลบ 8% (เทียบกับ -17.8% ใน 3Q63 และ -14.3% ใน 2Q64) การล็อกดาวน์ยังกระทบรายได้ค่าเช่าค่อนข้างมาก เนื่องจากบิ๊กซีต้องปิดพื้นที่เช่าร้านค้าในพื้นที่สีแดงเข้ม 89 สาขา คิดเป็นพื้นที่เช่า 47% ของพื้นที่เช่ารวม ซึ่งไม่ได้เก็บค่าเช่า ขณะที่สาขาที่ยังเปิดอยู่มีการให้ส่วนลดค่าเช่าประมาณ 25%

กลุ่มบรรจุภัณฑ์ชะลอ แต่สินค้าอุปโภคบริโภคและเครื่องมือแพทย์เติบโต

ยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋องคาดว่าลดลงเนื่องจากลูกค้าสั่งซื้อสินค้าไปแล้วค่อนข้างมากในช่วง 1H64 อีกทั้งยอดขายในเวียดนามลดลงจากการล็อกดาวน์ อย่างไรก็ดี ยอดขายสินค้ากลุ่มเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์เพิ่มขึ้นมากจากสินค้าเกี่ยวกับโควิด-19 เช่น เครื่องเอ็กซ์เรย์ และ Antigen Test Kit ขณะที่ยอดขายกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้นจากการจัดจำหน่ายสินค้าให้ยูนิชาร์ม อย่างไรก็ดี อัตรากำไรขั้นต้นโดยรวมคาดว่าจะลดลง เนื่องจากต้นทุนพลังงานเพิ่มขึ้น รวมทั้งราคาเยื่อกระดาษ น้ำมันปาล์ม และน้ำมันมะพร้าวเพิ่มขึ้น ส่วนราคาอะลูมิเนียมที่เพิ่มขึ้นยังไม่กระทบต้นทุนกระป๋องในปีนี้ เนื่องจากมีการล็อกราคาไว้ล่วงหน้าแล้ว เราคาดการณ์กำไรสุทธิ 3Q64 เท่ากับ 490 ล้านบาท ลดลง 40% QoQ และ 54% YoY

แนวโน้มกำไรสูงสุดของปีใน 4Q64 จากการเปิดเมือง

SSSG ของบิ๊กซีเริ่มฟื้นตัวขึ้นหลังการเปิดเมืองเมื่อต้นเดือน ก.ย. โดยสินค้ากลุ่มเสื้อผ้าและกลุ่มอาหารมียอดขายฟื้นตัว การเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่นและมีการเดินทางท่องเที่ยวส่งผลให้มีการอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น สถานการณ์น้ำท่วมไม่มีผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ ยอดขายบรรจุภัณฑ์แก้วและกระป๋องมีแนวโน้มฟื้นตัวด้วยเช่นกันจากการเปิดเมืองทั้งในไทยและเวียดนาม ขณะที่รายได้ค่าเช่าคาดว่าฟื้นตัวอย่างมีนัยยะหลังจากพื้นที่เช่ากลับมาเปิด แม้เราคาดว่ากำไร 4Q64 ยังไม่กลับสู่ระดับปกติ แต่จะฟื้นตัว QoQ และเป็นกำไรสูงสุดของปีนี้

ความเสี่ยง: โควิดระบาดรอบใหม่ ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อ

Suttatip Peerasub

[email protected]

(66) 2658 6300 ext 1430

Jay Mart (JMART)

00J : No time to die

BUY

Share Price THB 41.00

12 m Price Target THB 46.60 (+16%)

Previous Price Target THB 46.50

ประเด็นการลงทุน

มองข้ามหนังตัวอย่างใน 3Q64 ที่เป็นจุดต่ำสุดของรอบ มารอชมการฟื้นตัวอย่างมีนัยและขึ้นทำ All time high อีกครั้งใน 4Q64 ยาวไปถึงปี 2565 ตามบริษัทในเครือ ขณะความร่วมมือทางธุรกิจระหว่างกลุ่มพันธมิตรที่เริ่มเกิดขึ้นกำลังเปิด Upside การเติบโตใหม่ๆ นอกเหนือจากที่ตลาดประเมินไว้เฉพาะผลประโยชน์จากเงินเพิ่มทุน(RO-PP) นำมาสู่ Upgrade momentum รอบใหม่เป็นแรงหนุนให้ราคาหุ้นเดินหน้าต่อได้ แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 46.60 บาท

คาดกำไร 3Q64 250 ลบ. +8%QoQ,-4%YoY ปิดเมืองกระทบแต่ไม่กระเทือน

ธุรกิจในเครือส่วนใหญ่ยังสามารถเอาตัวรอดได้ดี จาก i) JMT กำไรยังเติบโตได้ทั้ง QoQ,YoY จากลูกหนี้ที่ฟื้นตัวช่วงปลายไตรมาส และกองหนี้ที่ไม่ต้นทุนเพิ่มขึ้นหนุนมาร์จิ้น ii) SINGER กำไร +28%YoY ตามพอร์ตสินเชื่อ C4C ที่เติบโตได้ตามเป้า iii) Mobile ชะลอตัว QoQ จากการปิดสาขาในห้าง เน้นควบคุมค่าใช้จ่าย iv) KBJ กำไรชะลอตัวจากการตั้งสำรองที่สูงขึ้นชั่วคราว ขนาดพอร์ตสินเชื่อยังทรงตัวในช่วงปรับองค์กร iv) J ชะลอตัวตามค่าเช่าในช่วงห้างปิด

อย่างไรก็ดีแนวโน้มกำไร 4Q64 จะฟื้นตัวอย่างมีนัยสำคัญ 330-350 ลบ. +30-40%QoQ มาจากทั้งธุรกิจการเงิน (JMT-KBJ) ที่คุณภาพสินทรัพย์ทยอยฟื้นตัวตามเศรษฐกิจ เช่นเดียวกับธุรกิจพาณิชย์ (SINGER-Mobile) ที่กลับดำเนินได้ปกติ พร้อมกับมาตรการกระตุ้นจากภาครัฐ

หนังฟอร์มใหญ่ JMART x VGI-U เริ่มฉายแล้วใน 4Q64

พัฒนาการบวกยังเป็นไปตามแผน ทั้ง i) ธุรกรรมการเพิ่มทุนใน JMT-SINGER จะกำหนดสิทธิ์ในเดือนพ.ย. แล้วรับเงินในเดือน ธ.ค. ii) เริ่มเห็น Synergy ในระดับธุรกิจระหว่างเครือแล้วใน 4Q64 ได้แก่ การนำสินค้า เครื่องใช้ไฟฟ้า/gadgets ที่นำเข้าโดย Fanslink (VGI) นำมาจำหน่ายผ่านสาขา Mobile-SINGER , การทยอยปรับแฟรนไชส์ซิงเกอร์ 3,000 สาขาทั่วประเทศ ไปเป็นจุดรับ-ส่งสินค้า (Drop point) ของ Kerry express แม้ในช่วงต้นยังมีรายได้ไม่มาก แต่เรามองว่าโครงการ Quick win เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี คาดจะเห็นส่วนเพิ่มดังกล่าวเข้ามาเป็น Upside risk ของกำไรในปี 2565 จากที่ประเมินไว้ 1,930 ลบ. +55%YoY

คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 46.60 บาท

ภาพกำไรของ JMART จะเป็นการเดินหน้าทำสถิติใหม่ ไปพร้อมกับบริษัทในเครืออย่าง JMT-SINGER ที่คิดเป็น 80% ของฐานกำไร ขณะมีบริษัทในเครือที่ยังรอการปลดล็อคมูลค่าในอีก 1-2 ปีข้างหน้า (ธุรกิจประกัน,KBJ,J Ventures) ประเมินการเติบโตของกำไรต่อหุ้นปี 2565-66 เฉลี่ย (CAGR) 46% ต่อปี เทียบกับราคาหุ้นปัจจุบันที่ P/E’65 27 เท่า สะท้อน PEG 0.59 เท่า แนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสมปี 2565 หลังปรับโครงสร้างเท่ากับ 46.60 บาท อิงวิธี SOTP

Thanatphat Suksrichavalit

[email protected]

(66) 2658 5000 ext 1401

JMT Network Services (JMT)

กำลังจะทำ All time high 5 ไตรมาสติด

BUY

Share Price THB 47.25

12 m Price Target THB 58.00 (+25%)

Previous Price Target THB 58.00

ประเด็นการลงทุน

เรื่องราวการเติบโตยังคงแข็งแรงทั้งแนวโน้มกำไรที่ยังเติบโตได้ QoQ ใน 3Q64 สวนทางกลุ่มการเงิน สะท้อนคุณภาพลูกหนี้ที่ฟื้นตัวได้เร็วและผลของกลยุทธ์การติดตามหนี้ที่ยืดหยุ่น ขณะการลงทุนซื้อหนี้ NPLs ต่อเนื่อง จะช่วยขยายฐานกำไรเติบโต 5 ไตรมาสข้างหน้าติดต่อกัน พร้อมกับการทำสถิติใหม่ตั้งแต่ปลายปีนี้ เป็นปัจจัยหนุนราคาหุ้นเดินหน้าขึ้นอีกครั้ง เราแนะนำ ซื้อ เพื่อรับสิทธิ์เพิ่มทุนในต้นเดือน พ.ย. ที่มีส่วนลด 14% จากราคาปัจจุบัน และรับ JMT-4 ประเมินราคาเหมาะสมปี 2565 58 บาท อิง P/E 32.5 เท่า เทียบกับกำไรโตเฉลี่ย +43%ต่อปี

คาดกำไรสุทธิ 3Q64 310 ลบ. +7%QoQ , +9%YoY เติบโตกลางวิกฤต

คาดยอดเก็บเงินสด 990 ลบ. +2%QoQ,+1%YoY มีทิศทางเติบโตแม้ถูกกดดันจากการปิดเมืองไปราว 2 เดือน แต่ฟื้นตัวได้แบบ V-shape ในเดือน ก.ย. ที่เริ่มผ่อนคลาย ขณะอัตรากำไรขั้นต้น +70bps QoQ เป็น 73% จากกองหนี้ที่ตัดต้นทุนหมด (FA) +6.3 พันลบ. จากไตรมาสก่อนเริ่มรับรู้รายได้ ด้วยโครงสร้างต้นทุนพนักงาน-บริหารส่วนใหญ่ยังทรงตัว จึงทำให้อัตรากำไรสุทธิเพิ่มเป็น 38% +260bps QoQ ในฝั่งซื้อหนี้ฯเดินหน้าต่อ +1.5 พันลบ. ทำให้ 9M64 ลงทุนไปแล้ว 80% ของเป้าหมาย 6 พันลบ.จึงมีโอกาสซื้อมากกว่าแผนในช่วงที่เหลือ

กำไรจะก้าวกระโดดใน 4Q64 ทำสถิติสูงสุด และต่อเนื่องตลอดปี 2565

โมเมนตัมจะเดินหน้าเทียบ QoQ ตั้งแต่ 3Q64-4Q65 จาก i) แนวโน้มยอดเก็บเงินสดเดือน ก.ย. กลับมาใกล้เคียงกับช่วงก่อนล็อคดาวน์ จะฟื้นตัวได้ต่อใน 4Q64 เต็มไตรมาส ii) เริ่มรับรู้รายได้บนกองหนี้ใหม่ 3.3 พันลบ. YTD ล้อกับภาพเศรษฐกิจฟื้นตัว iii) รายได้เติบโต QoQ ตามกองหนี้ฯที่ลงทุนระหว่างปี 65 10,000 ลบ. +40%YoY ด้วยเงินเพิ่มทุนโดยไม่มีดอกเบี้ย ในเบื้องต้นเราประเมินกำไร 4Q64 เริ่มสร้างฐานระดับ 400 ลบ./ไตรมาส +30%QoQ ทำสถิติสูงสุดใหม่ เช่นเดียวกับภาพรวมกำไรปี 2564-65 เท่ากับ 1,438/2,401 ลบ. +37/+67%YoY

คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเหมาะสม 58 บาท

ราคาหุ้นปัจจุบันอยู่บริเวณ P/E’65 เพียง 25 เท่า นับว่าถูกเมื่อเทียบกับการเติบโตของกำไรต่อหุ้นเฉลี่ย (CAGR) +43% ในสองปีข้างหน้า เป็นอัตราที่สูงสุดในกลุ่มบริหารหนี้ (AMC) และเป็น Top pick ของเรา คงแนะนำ ซื้อ ประเมินราคาเหมาะสม 58.00 บาท/หุ้น อิง P/E 32.5x หรือ PEG 0.75x มีปัจจัยหนุนในระยะกลาง คือ โอกาสถูกเข้าคำนวณในดัชนี SET50 ราวกลางปีหน้า และความเสี่ยง คือ ยอดจัดเก็บหนี้ไม่เป็นไปตามเป้า , การเปลี่ยนแปลงนโยบายช่วยเหลือลูกหนี้จากภาครัฐ , การแข่งขันในอุตสาหกรรม