- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 18 October 2021 13:41
- Hits: 9581
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 18-10-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 18 ตุลาคม 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
สัปดาห์รายงานงบ Bank
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,630 จุด และแนวต้าน 1,650 จุด เน้นหุ้นพื้นฐานดีและมี Upside สูง โดย ATO Picks แนะนำ “EPG, DRT”
EPG
คาดกำไรช่วง กค.-กย. ที่ 415 ล้านบาท +35%YoY และแนวโน้มปี 65 คาดจะทำสถิติสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง แรงหนุนจากการเติบโตทั้งสามธุรกิจ AeroFlex, AeroKlas และ EPP ผสานกับราคาหุ้นอ่อนตัวลงทำให้ซื้อขาย P/E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย และ มีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ดีที่ 3.8%
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 15 บาท
DRT
คาดกำไร 3Q64 ที่ 119 ล้านบาท +6%YoY แต่ชะลอ QoQ ตามฤดูกาล ส่วนแนวโน้ม 4Q64 จะขยายตัวขึ้น ส่งผลให้ปี 2564 ยอดขายจะเติบโต 6.4% มากกว่าเป้าที่ 5% ผสานผลของการซื้อหุ้นคืน ทำให้ EPS เติบโตได้ดี 17% และมีอัตราปันผลสูงราว 6.5% ปรับใช้เป้าปีหน้าที่ 8.8 บาท
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 8.8 บาท
INVESTMENT THEME
ยอดค้าปลีก US ดีกว่าคาด : สหรัฐฯ รายงานยอดค้าปลีกเดือน กันยายน ขยายตัว +0.7%MoM สวนกับที่ตลาดคาดจะหดตัว -0.2%MoM ช่วยเพิ่มจิตวิทยาเชิงบวกต่อสัญญาณเศรษฐกิจของสหรัฐฯ
ราคาน้ำมันยังขยับขึ้นต่อ : ทิศทางพลังงานยังคงอยู่ในระดับสูงต่อเนื่อง โดยได้แรงหนุนเพิ่มเติมจากวิกฤตพลังงานที่ยังคงยืดเยื้อ, การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งการเดินหน้าเข้าสู่ช่วงฤดูหนาว ซึ่งถือว่าสอดคล้องกับมุมมองล่าสุดจากสำนักงานพลังงานสากล (IEA) ที่ปรับเพิ่มคาดการณ์การเติบโตของอุปสงศ์น้ำมันปิโตรเลียมของโลก ในปี 2021 และ 2022 จะเพิ่มขึ้นเฉลี่ย 5.5 ล้านบาร์เรลต่อวัน และ 3.3 ล้านบาร์เรลต่อวัน สู่ระดับ 96.3 ล้านบาร์เรล และ 99.6 ล้านบาร์เรลต่อวัน ตามลำดับ โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ปรับขึ้นสู่ระดับ 84.86 เหรียญ ทำจุดสูงสุดในรอบ 3 ปี และคาดยังมีแนวโน้มปรับขึ้นอีกในช่วงถัดไป
สัปดาห์นี้ติดตามงบกลุ่มธนาคาร : จากสัปดาห์ที่ผ่านมา TISCO ได้รายงานผลประกอบการ 3Q64 เป็นธนาคารแรกแล้ว โดยสัปดาห์นี้คาดธนาคารที่เหลือจะทยอยรายงานผลการดำเนินงานตลอดสัปดาห์ โดยเราคาดกำไรกลุ่มธนาคารที่เราศึกษาทั้ง 7 ธนาคารจะมีกำไรรวมราว 3.16 หมื่นล้านบาท เพิ่มขึ้น 37% YoY, แต่ลดลง 11% QoQ โดยเราแนะกลยุทธ์รอตั้งรับ ในจังหวะย่อเป็นโอกาสทยอยสะสม KBANK, BBL
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่งแคบ มีแรงขายทำกำไรในกลุ่มพลังงาน รวมถึงตลาดยังคงขาดปัจจัยหนุนใหม่ๆ โดย SET ปิดที่ 1,638.34 (-2.63 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 8.5 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 8.5 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 3,400 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 2,826 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 2,173 สัญญา)
EYES ON
การรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคาร
18 ต.ค. ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม US และจีน, GDP 3Q64 ของจีน, ยอดขายปลีกจีน
19 ต.ค. ใบอนุญาตการก่อสร้าง US, ยอดการสร้างบ้าน US
20 ต.ค. ดัชนี CPI ยูโรโซน
21 ต.ค. ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US, ยอดการขายบ้านมือสอง US, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยูโรโซน
Diamond Building (DRT)
3Q64 จะลด QoQ แต่โตYoY ปี 64-65 จะโต
BUY
Share Price THB 7.40
12 m Price Target THB 8.80 (+19%)
Previous Price Target THB 8.00
ประเด็นการลงทุน
Covid-19 กระทบผลประกอบการ 3Q64 ไม่รุนแรง คาดกำไร 119 ล้านบาท โตจากปีก่อน 6%YoY แต่จะลงจากไตรมาสก่อน 34%QoQ จากผลของฤดูกาล การคลายล็อกดาวน์จะทำให้ แนวโน้ม 4Q64 ดีขึ้น ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น รวมปี 2564 ยอดขายจะเติบโต 6.4% มากกว่าเป้า 5% ผลของการซื้อหุ้นคืน จะทำให้กำไรต่อหุ้นเติบโตได้ดี 17% หุ้นปันผลดี คาดปีนี้จะปันผลเพิ่มเป็น 0.48 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 6.5% เปลี่ยนไปใช้ราคาเป้าหมายปี2565ได้เท่ากับ 8.8 บาท บนฐาน Avg Forward PE 10 ปี 12.5 เท่า จากเดิม 8 บาท จากเพิ่มประมาณการ คงแนะนำ ซื้อลงทุนรับปันผล
3Q64กำไรจะชะลอตัวแต่ยังเติบโตจากปีก่อน
การแพร่ระบาดของ Covid-19 มีการปิดแคมป์คนงาน และ ไซต์งานก่อสร้างในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา รวมถึงมีการล็อกดาวน์ ปิดโมเดิร์นเทรดบางสาขา ได้ส่งผลกระทบต่อยอดขายของ DRT บ้าง แต่ไม่มากนัก ยอดขาย 3Q64 จะยังเติบโตจากปีก่อนได้ 8% สู่ระดับ 1,075 ล้านบาท แต่จะอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อน 17% จากผลของฤดูกาลเข้าสู่ช่วงหน้าฝนซึ่งปกติจะเป็นช่วงโลซีซั่น ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเหลือประมาณ 27.5% จาก 31.1% ในไตรมาสก่อน และ 29.7% ในปีก่อน จากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น และ การใช้กำลังการผลิตที่ลดลง ดังนั้นรวมแล้วเราคาดจะมีกำไรสุทธิ 119 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 6%YoY แต่จะลดลงจากไตรมาสก่อน 34%QoQ
ผู้บริหารคงเป้าหมายปีนี้จะเติบโต 5% ปรับประมาณการขึ้นเล็กน้อย
ไตรมาสสี่ปกติเป็นช่วงโลซีซั่นของ DRT แต่ผู้บริหารประเมินจะเติบโตจากปีก่อน หลังสถานการณ์โควิดผ่อนคลาย การก่อสร้างเริ่มกลับมาเป็นปกติมากขึ้น และ ปีนี้ผู้บริหารคงเป้าหมายยอดขายจะเติบโต 5% อัตรากำไรขั้นต้นระหว่าง 27%-29% แรงหนุน ความหลากหลายของผลิตภัณฑ์สามารถนำไปก่อสร้างบ้านได้ทั้งหลัง และช่องทางการจำหน่ายทั้ง 4 ช่องทางมีการเติบโต คือ โครงการ โมเดิร์นเทรด เอเย่นต์ และ ส่งออก ส่วนการปรับขึ้นของต้นทุนวัตถุดิบ เช่นเยื้อกระดาษ จะกระทบต่ออัตรากำไรขั้นต้นบ้าง แต่สามารถบริหารจัดการได้ และ มีการปรับขึ้นสินค้าบางรายการ เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ปี2564ประเมินยอดขาย 4,663 ล้านบาท เติบโต 6.4% และ มีกำไร 589 ล้านบาท เติบโต 5.6% แต่ผลของการซื้อหุ้นคืนจะทำให้กำไรต่อหุ้นเติบโตสูง 17%
ตั้งเป้าปี 2565 โตต่อ 5% ขยายสู่ธุรกิจรีเทลเสริมยอดขาย
ปี 2565 ผู้บริหารตั้งเป้าหมายจะเติบโตต่อ 5% นอกจากนี้ยังยังจับมือกับ DCC พัฒนาช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์วัสดุก่อสร้างภายใต้แบรนด์ ตราเพชร ผ่านศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างครบวงจรของ DCC จะช่วยเสริมยอดขาย รวมถึงนำเสนอผลิตภัณฑ์ Diamond Cafe ภายใต้แบรนด์ ตราเพชร แก่ผู้บริโภคที่ต้องการทำธุรกิจร้านกาแฟ
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Home Prod Ctr (HMPRO)
คาดกำไร 3Q64 ต่ำสุด แต่ 4Q64 จะสูงสุดของปี
BUY
Share Price THB 14.20
12 m Price Target THB 16.50 (+16%)
Previous Price Target THB 16.00
ประเด็นการลงทุน
เราปรับลดประมาณการกำไรจากผลกระทบของการล็อกดาวน์ซึ่งคาดว่าจะทำให้กำไรสุทธิ 3Q64 ต่ำสุดของปีนี้ แต่กำไรจะฟื้นกลับเป็นระดับสูงสุดของปีได้ใน 4Q64 จากการที่ SSSG เริ่มพลิกมาเป็นบวกหลังจากการเปิดเมืองและเข้าสู่ไฮซีซั่น เรายังคาดว่ากำไรสุทธิปี 2565 จะกลับไปสูงกว่าช่วงก่อนเกิดการระบาดของโควิด แนะนำ ซื้อ โดยปรับไปใช้ราคาเป้าหมาย (DCF) ปีหน้าเท่ากับ 16.50 บาท
คาดกำไร 3Q64 ลดลงทั้ง QoQ, YoY
การล็อกดาวน์ในเดือน ก.ค. - ส.ค. ทำให้ HMPRO ต้องปิดสาขาบางแห่ง และสาขาที่ยังเปิดได้ก็ให้ขายได้เฉพาะสินค้าจำเป็น เราคาดว่า SSSG 3Q64 ของโฮมโปรติดลบมากขึ้นเป็น 13% (จาก -3.7% ใน 3Q63 และ +13.7% ใน 2Q64) ขณะที่เมกาโฮมติดลบ 5-10% และมาเลเซียติดลบมากจากการล็อกดาวน์ คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นลดลง 72 bps YoY จากการที่สัดส่วนสินค้าอัตรากำไรสูงขายได้น้อยลง และสัดส่วนขายสินค้าออนไลน์เพิ่มเป็น 8-9% (ส่วนใหญ่คือเครื่องใช้ไฟฟ้าซึ่งมีอัตรากำไรต่ำ) จาก 3.5% ใน 3Q63 รายได้ค่าเช่าได้รับผลกระทบหนักจากการปิดพื้นที่เช่าและไม่มีการจัดงาน Expo เหมือนปีก่อน เราคาดว่ากำไรสุทธิลดลง 35% QoQ และ 34% YoY เป็น 925 ล้านบาท
SSSG เริ่มเป็นบวกและกำไรจะฟื้นตัวชัดเจนใน 4Q64
SSSG ฟื้นตัวเป็นบวกเล็กน้อยในปลายเดือน ก.ย. และเป็นบวกมากขึ้นครึ่งแรกของเดือน ต.ค. จากการเปิดเมืองและสาขากลับมาเปิดทั้งหมด อีกทั้งการเดินทางท่องเที่ยวมากขึ้นจะส่งผลบวกต่อกำลังซื้อของคนในพื้นที่ท่องเที่ยว และเป็นบวกต่อ HMPRO ซึ่งมีสาขาอยู่ในพื้นที่ท่องเที่ยวคิดเป็น 10-15% ของสาขารวม คาดว่า SSSG ฟื้นตัวขึ้นใน 4Q64 และกำไรสุทธิเป็นระดับสูงสุดของปีจากการเป็นไฮซีซั่น ทั้งนี้สาขาของ HMPRO ไม่ได้รับความเสียหายจากน้ำท่วม แม้ยอดขายชะลอตัวลงบ้างแต่คาดว่ายอดขายจะฟื้นตัวเมื่อน้ำลดและมีความต้องการซื้อสินค้าปรับปรุงซ่อมแซมบ้าน ขณะที่รายได้ค่าเช่าจะฟื้นตัวเช่นกันจากการที่พื้นที่เช่ากลับมาเปิด
ปรับลดประมาณการ แต่กำไรปีหน้าจะกลับไปสูงกว่าช่วงก่อนเกิดโควิด
เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2564-2565 ลง 14% และ 10% ตามลำดับ สะท้อนถึงการล็อกดาวน์ อย่างไรก็ดี คาดว่ากำไรปี 2565 กำไรจะกลับไปมากกว่ากำไรก่อนการระบาดของโควิด สัดส่วนสินค้า Private label เพิ่มขึ้นหลังจากปัญหาด้านการนำเข้าคลี่คลาย อีกทั้งมีความเป็นไปได้ที่ HMPRO จะกลับมาขยายสาขามากขึ้นหลังจากชะลอไปในช่วงโควิด นอกจากนั้น การรีไฟแนนซ์เงินกู้ 2 พันล้านบาทในเดือน ต.ค. นี้ คาดว่าจะประหยัดดอกเบี้ยจ่าย 30 ล้านบาท/ปี
ความเสี่ยง: การล็อกดาวน์รอบใหม่ สัดส่วนสินค้านำเข้าลดลง
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
KrungThai Card (KTC TB)
ROE ที่ลดลง ส่งผลต่อการ re-rating
HOLD
Share Price THB 55.75
12 m Price Target THB 60.00 (+8%)
Previous Price Target THB 68.00
ปรับลดกำไรต่อหุ้นปี 64-65 “ถือ” และลด TP เป็น 60 บาท
แม้จะมีมุมมองบวกต่อกลยุทธ์ในการกระจายพอร์ตไปยังสินเชื่อที่มีหลักประกัน แต่เรามองว่าราคาหุ้นปัจจุบันมีอัพไซด์จำกัด หุ้น KTC ซื้อขายที่ P/E 23 เท่า และ P/BV 5.4 เท่า ในปี 2564 เราปรับลดคาดการณ์กำไรปี 64-65 ลง 2-5% เพื่อสะท้อนผลประกอบการ 3Q64 ที่อ่อนแอ คาดว่า ROE จะลดลงเหลือ 23% ในปีหน้าจาก 25% ในปีนี้ คงแนะนำ “ถือ” และลด TP ลงเป็น 60 บาท (P/BV ปี 64 ที่ 5.8 เท่า P/E 25 เท่า และ ROE 24.8%) เราชอบ AEONTS มากกว่า (ซื้อ, ราคาเป้าหมาย 250 บาท) เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่ปรับความเสี่ยงได้ดีกว่าในราคาที่ถูกกว่า
กำไร 3Q64 ลดลง 22% QoQ จากการใช้จ่ายบัตรเครดิตลดในช่วงล็อกดาวน์ 2 เดือน
KTC รายงานกำไร 3Q64 ที่ 1.3 พันล้านบาท ลดลง 22% QoQ (จาก non-NII ที่ลดลงและ opex ที่สูงขึ้น) แต่เพิ่มขึ้น 8% YoY (เนื่องจากต้นทุนเครดิตที่ลดลง) กำไรงวด 9M64 เติบโต 15% YoY และคิดเป็น 74% ของประมาณการทั้งปีของเรา สินเชื่อลดลง 3% QoQ จากบัตรเครดิตและสินเชื่อเช่าซื้อ รายได้รวมลดลง 5% YoY และ QoQ เนื่องจาก NII ที่ลดลง (จากการปรับลดอัตราดอกเบี้ยที่เรียกเก็บ) และ non-NII (หนี้เสียได้รับคืนลดลง) Opex เพิ่มขึ้น 3% YoY เนื่องจากค่าใช้จ่ายด้านบุคลากรที่สูงขึ้น โดยรวม PPoP ลดลง 9% YoY และ 10% QoQ
คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้น พร้อมอัตราส่วน NPL ที่ลดลง
อัตราส่วน NPL ลดลงเหลือ 3.8% จาก 4.4% ในไตรมาส 2/64 เนื่องจากการตัดจำหน่ายสินเชื่อเช่าซื้อจาก KTB Leasing (KTBL ไม่ได้จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์) ในขณะที่ NPL Ratio สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตทรงตัว QoQ ที่ 1.5% และสินเชื่อส่วนบุคคล NPL เพิ่มขึ้น 20bp QoQ เป็น 3.2% KTC บันทึกผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (ECL) ลดลง 1.3 พันล้านบาท ลดลง 24% YoY หรือ 5.9% ของต้นทุนเครดิตในไตรมาส 3/64 ECL ที่ลดลงเกิดจากเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่สูงขึ้นเนื่องจากเพดานอัตราดอกเบี้ยที่ต่ำลง NPL coverage เพิ่มขึ้นเป็น 275% จาก 251% ในไตรมาส 2/64 ณ สิ้นไตรมาส 3/64 มีลูกค้าในโครงการบรรเทาหนี้ 26,174 บัญชี มูลค่ารวม 1.8 พันล้านบาท (2.1% ของพอร์ตสินเชื่อของบริษัท) เทียบกับลูกค้า 21,564 ราย มูลค่าสินเชื่อ 1.5 พันล้านบาทในไตรมาส 2/64
ผลการดำเนินงานค่อยๆ ดีขึ้นในไตรมาส 4/64
กำไร 3Q64 ลดลง QoQ เนื่องจากสถานการณ์โควิด-19 รุนแรงและการล็อกดาวน์ในเดือนก.ค.-ส.ค. อย่างไรก็ตาม เราคาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเดือนกันยายน และคาดว่าการใช้จ่ายผ่านบัตร 4/64 และหนี้เสียได้รับคืนจะเพิ่มขึ้น QoQ จากสภาวะที่ผ่อนคลายมากขึ้น กิจกรรมท่องเที่ยวในประเทศและความเชื่อมั่นผู้บริโภคที่ดีขึ้นน่าจะช่วยหนุนรายได้และกำไรของ KTC ในไตรมาส 4/64
Jesada Techahusdin, CFA
(66) 2658 6300 ext 1395
******************************************
