- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 11 October 2021 19:36
- Hits: 8110
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 11-10-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 11 ตุลาคม 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
เงินเฟ้อยังมีแนวโน้มสูง
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,630 จุด และแนวต้าน 1,650 จุด เน้นหุ้นที่ต้านทานต่อเงินเฟ้อสูง โดย ATO Picks แนะนำ “PTTEP, BBL”
PTTEP
ราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับขึ้นสูงสุดในรอบ 7 ปี รับความต้องการใช้พลังงานที่ยังอยู่ในระดับสูง ทั้งจากเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังการเปิดเมือง, การเดินหน้าเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น, การใช้น้ำมันมากขึ้นเพื่อทดแทนราคาก๊าซที่อยู่ในระดับสูง ส่งผลบวกต่อกลุ่มพลังงานต้นน้ำและถือเป็นตัวที่ต้านทานต่อเงินเฟ้อด้วย
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 157 บาท
BBL
คาดกำไร 3Q64 เติบโตสู่ระดับ 6,550 ล้านบาท (+63%YoY, +3%QoQ) เด่นกว่ากลุ่มธนาคารอื่น จากการตั้งสำรองที่ลดลง ผสานกับ Valuation ที่เทรด PBV เพียง 0.5 เท่า และกลุ่มธนาคารคาดยังคงได้อานิสงส์บวกจากเงินเฟ้อที่เร่งตัว หนุนดอกเบี้ยที่จะกลับมาเป็นขาขึ้นอีกครั้ง
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 160 บาท
INVESTMENT THEME
แรงงานสหรัฐฯยังไม่แน่นอน : วันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานตัวเลขภาคแรงงานยังมีความไม่แน่นอน โดยพบว่าการจ้างงานนอกภาคเกษตร เดือนกันยายน ขยายตัวเพียง 1.94 แสนตำแหน่ง ต่ำกว่าเดือนสิงหาคมที่ 3.66 แสนตำแหน่ง และต่ำกว่าคาดมากที่ 5 แสนตำแหน่ง แต่อย่างไรก็ดีด้านอัตราการว่างงานยังปรับตัวลดลงสู่ 4.8% จาก 5.2% ทำจุดต่ำสุดในรอบ 18 เดือน และค่าจ้างรายชั่วโมงเพิ่มขึ้น +0.6%MoM ดีกว่าคาดที่ +0.4%MoM ดังนั้นจากตัวเลขทั้งหมดที่ไม่ชัดเจนอาจทำให้เกิดความไม่แน่นอนต่อการตัดสินใจของ FED แต่อย่างไรก็ดีในมุมมองของเราเชื่อว่าการประชุมเดือน พย. นี้ FED มีโอกาสสูงที่จะตัดสินใจลดวงเงินซื้อ QE ลง ราว 1.5 หมื่นล้านเหรียญต่อเดือน จากวงเงินปัจจุบันที่ 1.2 แสนล้านเหรียญต่อเดือน
เงินเฟ้อยังอยู่ในระดับสูง : ความกังวลราคาพลังงานที่อยู่ในระดับสูงยังคงเป็นปัจจัยที่ต้องจับตา โดยล่าสุดราคาน้ำมันดิบสหรัฐฯปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบ 7 ปี แรงกระตุ้นเพิ่มจากการเปลี่ยนการใช้ก๊าซมาเป็นการใช้น้ำมันมากขึ้นในการผลิตไฟฟ้า ผสานการเดินหน้าเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวหนุนความต้องการมากยิ่งขึ้น ซึ่งยังส่งผลกระทบต่ออัตราเงินเฟ้ออยู่ในระดับสูง
SET ยังผันผวน : สัปดาห์นี้เกาะติดการรายงานผลการดำเนินงานของกลุ่มธนาคารโดยคาดกำไรรวม 7 ธนาคารที่เราศึกษาที่ 3.16 หมื่นล้านบาท +37%YoY แต่ลดลง -11%QoQ อีกทั้งยังต้องติดตามสถานการณ์พายุที่เตรียมเข้าไทย 3 ลูก คือ พายุไลออนร็อก, คมปาซู และน้ำเทิน ซึ่งอาจทำให้ทิศทางการลงทุนในสัปดาห์นี้ยังค่อนข้างผันผวน
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET ขยับขึ้นแรงหนุนจากความคืบหน้าของเพดานหนี้สหรัฐฯ และการผ่อนคลายราคาพลังงาน โดย SET ปิดที่ 1,639.41 (+5.69 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 9.3 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 1.01 แสนล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 481 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,840 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 2,552 สัญญา)
EYES ON
การรายงานผลประกอบการกลุ่มธนาคาร
สถานการณ์พายุ (ไลออนร็อค, คมปาซู)
13 ต.ค. ดัชนี CPI ของ US, รายงานการประชุม FED รอบที่ผ่านมา, ดุลการค้าจีน
14 ต.ค. ผู้ขอรับสวัสดิการรายสัปดาห์ US, ดัชนี PPI ของ US, สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ US, ดัชนี CPI ของจีน
15 ต.ค. ยอดค้าปลีก US, ดุลการค้า ยูโร
Siam Cement (SCC)
3Q64 จะทรุดลง จาก Covid-19 และสำรอง
BUY
Share Price THB 406.00
12 m Price Target THB 520.00 (+28%)
Previous Price Target THB 520.00
ประเด็นการลงทุน
คาดกำไร 3Q64 จะทรุดลงเหลือ 7,500 ล้านบาท (-56%QoQ, -23%YoY) ถูกกระทบจาก Covid-19 และ การตั้งสำรองธุรกิจปูนซีเมนต์ในเมียนมาร์ ส่วนกำไรปกติจะเท่ากับ 10,000 ล้านบาท (-42%QoQ, +3%YoY) ยังเติบโตจากปีก่อนเล็กน้อย แนวโน้มปี 4Q64 คาดจะฟื้นตัวดีขึ้นจาก Covid-19 เริ่มผ่อนคลาย ทั้งไทยและภูมิภาคมีการคลายล็อกดาวน์ รวมปี 2564 กำไรจะเด่น 44,892 ล้านบาทโตสูง 32% ในอนาคต 1-2 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่เฟสของการเติบโต แรงหนุนจากทั้งสามธุรกิจ คาดปันผลปีนี้ 16-17 บาท คิดเป็นอัตราเงินปันผลตอบแทน 3.9%-4.2% คงแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 520 บาท บนฐาน Forward P/E+0.5SD = 13.9 เท่า
คาดกำไร3Q64จะทรุดลงเหลือ7.5พันลบ. จากCovid-19และตั้งสำรอง
SCC จะประกาศผลประกอบการ 3Q64 ในวันที่ 27 ต.ค. นี้ เราคาดจะมีกำไรสุทธิที่ทรุดลงเหลือ 7,500 ล้านบาท (-56%QoQ, -23%YoY) ถูกกระทบจากการตั้งสำรองธุรกิจปูนซีเมนต์ในเมียนมาร์คาดประมาณ 2,500 ล้านบาท ถ้าหากตัดรายการพิเศษนี้จะมีกำไรปกติ 10,000 ล้านบาท (-42%QoQ, +3%YoY) เติบโตจากปีก่อนเล็กน้อย แต่ต่ำกว่าไตรมาสแรกและสอง เนื่องจากถูกกระทบอย่างหนักการแพร่ระบาดของ Covid-19 มีการล็อกดาวน์ ทั้งในไทย และ ภูมิภาคอาเซียน ซึ่งเป็นตลาดหลักของ SCC
ผลประกอบการคาดจะชะลอตัวทั้งสามธุรกิจ
ธุรกิจปิโตรเคมี คาดจะถูกกระทบจากสเปรดที่ทรุดลง คือ HDPE – Naphtha = $499/ตัน (-15%QoQ, -5%YoY) และ PP – Naphtha = $610/ตัน (-13%QoQ, +6%YoY) เนื่องจากความต้องการในภูมิภาคถูกกระทบจาก Covid-19 ทำให้ความต้องการชะลอตัว ในขณะที่ต้นทุน Naphtha ขึ้นตามราคาน้ำมันดิบ คาดกำไรปิโตรเคมีประมาณ 6,240 ล้านบาท (-40%QoQ, +14%YoY) ธุรกิจปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ถูกกระทบจากการปิดแคมป์คนงาน และ ไซต์งานก่อสร้าง ทำให้ความต้องการจะหดตัวลงประมาณ 10%YoY และ คาดจะมีการตั้งสำรองในเมียนมาร์อีกประมาณ 2,500 ล้านบาท ทำให้สุทธิแล้วผลประกอบการจะขาดทุน 1,159 ล้านบาท ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร จะถูกกระทบจากต้นทุนเศษกระดาษที่พุ่งสูงขึ้น และ ความต้องการในภูมิภาคที่ชะลอตัว คาดกำไรประมาณ 1,700 ล้านบาท (-25%QoQ, +27%YoY)
แนวโน้มผลประกอบการ 4Q64 คาดจะดีขึ้น
ในไตรมาส 4Q64 สถานการณ์การแพร่ระบาดของ Covid-19 เริ่มผ่อนคลาย ทั้งในไทย และ ภูมิภาค มีการคลายล็อกดาวน์ ทำให้ความต้องการมีการเติบโตดีขึ้นทั้งสามธุรกิจ แม้กำไร 3Q64 จะลดลงมาก แต่รวม 9 เดือน จะมีกำไรที่ดี 39,500 ล้านบาท เติบโต 52% และ คิดเป็น 88% ของประมาณการทั้งปี ซึ่งเราประเมินกำไรปี 2564 เท่ากับ 44,892 ล้านบาท โต 32% เราคงประมาณการแบบอนุรักษ์นิยม
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ