- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 17 September 2021 12:51
- Hits: 9154
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 17-9-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 17 กันยายน 2564
INVESTMENT STRATEGY
ผันผวน :
ติดตามการปรับดัชนี FTSE
KCE
ยอดขาย 3Q64 จะเร่งตัวขึ้น QoQ จากผลของการปรับราคา และสามารถจัดการปัญหา COVID-19 ไม่ให้กระทบการผลิตได้ดีขึ้น ผสานการขยายกำลังผลิต คาดจะช่วยหนุนรายได้เติบโตใน 4Q64-2565 ราว 20% อีกทั้งค่าเงินบาทที่เริ่มทรงตัวน่าจะเพิ่มจิตวิทยาบวกกลับมาเก็งกำไร
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 90 บาท
TU
คาดกำไร 3Q64 ยังอยู่ในเฏณฑ์ดี เนื่องจากเป็นไฮซีซั่น และได้ปัจจัยหนุนเพิ่มเติมจากค่าเงินบาทที่อ่อนค่าล่าสุดทะลุ 33 บาทแล้ว ผสานกับยอดขายอาหารทะเลแช่แข็ง และอาหารสัตว์เลี้ยงยังมี Demand ค่อนข้างสูงทั้งจากลูกค้าเดิมและลูกค้าใหม่ และการSpin off บริษัทลูกปลดล็อก Value
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 24.6 บาท
INVESTMENT THEME
ติดตามการปรับดัชนี FTSE
ยอดค้าปลีกสหรัฐฯดีกว่าคาด: สหรัฐฯรายงานตัวเลขยอดค้าปลีกสหรัฐฯประจำเดือนสิงหาคม พบว่าขยายตัว +0.7%MoM จากเดือนก่อนหน้าที่หดตัว -1.8%MoM และสวนกับที่ตลาดคาดจะหดตัว -0.7%MoM หนุน Dollar ขยับแข็งค่าขึ้น สู่ระดับ 92.9 จุด สูงสุดในรอบ 3 สัปดาห์ และหนุนอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ปรับขึ้นสู่ระดับ 1.336% ก่อนการประชุม FED ในสัปดาห์หน้า (21-22 กันยายน) ซึ่งเป็นปัจจัยที่ต้องจับตาอย่างใกล้ชิด
ค่าเงินบาทอ่อนสุดในรอบ 3 สัปดาห์ : จากแนวโน้มดอลล่าร์แข็งค่า เป็นแรงกดดันเพิ่มเติมต่อทิศทางค่าเงินบาทในระยะสั้นปรับตัวอ่อนค่าต่อเนื่อง โดยล่าสุดค่าเงินบาทอ่อนทะลุระดับ 33 บาทต่อดอลล่าร์แล้ว คาดจะช่วยหนุนแรงเก็งในหุ้นกลุ่มส่งออกมากยิ่งขึ้น (อิเล็กทรอนิกส์ และอาหาร) อีกทั้งยังคงต้องจับตาสัญญาณของการไหลของเงินทุนอย่างใกล้ชิด เนื่องจากระยะสั้นเริ่มเห็นแรงขายมากขึ้นในตลาดพันธบัตรไทย
จับตาปรับดัชนี FTSE วันนี้ : สำหรับวันนี้ปริมาณการซื้อขายในตลาดคาดปรับตัวสูงขึ้น และอาจมีแรงผันผวนในช่วงท้ายตลาดมากขึ้น จากการปรับหุ้นเข้า-ออกในดัชนี FTSE โดยสำหรับรอบนี้ตลาดหุ้นไทยโดนปรับลดน้ำหนักการลงทุนเล็กน้อย คิดเป็นเม็ดเงินขายออกราว 40 ล้านเหรียญ โดยหุ้นที่ปรับเข้า-ออกในแต่ละดัชนีมีดังนี้ 1) FTSE Large Caps : หุ้นเข้า BBL, KBANK, หุ้นออก BBL-F, KBANK-F 2) Mid Caps : หุ้นเข้า BJC, AWC, DIF (ย้ายมาจาก Large caps) และ 3) Small Caps : หุ้นเข้า STARK, JMART / หุ้นออก FTREIT
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่ง Sideways โดยตลาดยังคงขาดปัจจัยหนุนใหม่ในระยะสั้น โดย SET ปิดที่ 1,631.70 (+3.66 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 79 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 73 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 1,373 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 553 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 2,889 สัญญา)
EYES ON
17 ก.ย. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค US, ดัชนี CPI ของยูโรโซน, การปรับ FTSE Rebalancing
Chularat Hospital (CHG TB)
คาดราคาหุ้นเริ่มฟื้นตัวแล้ว
BUY
Share Price THB 3.56
12 m Price Target THB 4.10 (+15%)
Previous Price Target THB 4.10
คงราคาเป้าหมาย เพิ่มคำแนะนำเป็น ซื้อ
เราอัปเกรด CHG เป็น "ซื้อ" หลังจากราคาหุ้นปรับฐานลง 11% ในเดือนที่ผ่านมา จากแนวโน้มโควิดเริ่มคลี่คลายในไตรมาส 4/64 ซึ่งส่งผลกระทบต่อรายได้ที่เกี่ยวข้องกับโควิด เรามองว่าราคาหุ้นเริมปรับฐานได้แล้วและมองไปที่ปี 65 ที่รายได้จะกลับสู่ภาวะปกติ โดยหุ้น CHG ซื้อขายในระดับที่น่าดึงดูดใจที่ PE ปี 65 ที่ 32.1 เท่า มีพรีเมี่ยมเล็กน้อยจากค่าเฉลี่ยระยะยาวที่ 31.5 เท่า เนื่องจากเราเชื่อว่าผลการดำเนินงานในส่วนของลูกค้าประกันสังคม (ประมาณ 28% ของรายได้) น่าจะฟื้นตัวในปี 65 ด้วยการเติบโตของสมาชิกประกันสังคมจะเร่งขึ้น 3% ในปี 65 ซึ่งสูงกว่า 2% ในปีนี้ จากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจที่อาจเกิดขึ้นซึ่งน่าจะนำไปสู่การจ้างงานที่สูงขึ้นในปีหน้า
คาดสถานการณ์โควิดคลี่คลายใน 4Q64
จากสถานการณ์ Covid ที่รุนแรงในไตรมาส 3/64 เราเชื่อว่ารายรับของ CHG จะดีขึ้น QoQ เนื่องจากรายได้ที่เกี่ยวข้องกับ Covid ที่สูงขึ้น (ทั้งการตรวจและการรักษา) อย่างไรก็ตาม ด้วยจำนวนผู้ป่วย Covid รายวันรายใหม่ลดลงเป็น 11,786 ราย ในวันที่ 14 ก.ย.64 จากจุดสูงสุดที่ 23,418 รายในวันที่ 13 ส.ค.64 เราเชื่อว่าจะสามารถคุมการระบาดของ Covid ได้ค่อนข้างดีในไตรมาส 4/64 และรายได้ที่เกี่ยวข้องกับ Covid ส่วนใหญ่จะหายไปในปี 65 นี่คือเหตุผลที่เราคาดการณ์ว่ากำไรหลักจะลดลง 30.7%% เป็น 1.7 พันล้านบาทในปี 65
รับค่าบริหารจัดการโรงพยาบาลปีหน้า 508 ล้านบาท
CHG เริ่มบริหารโรงพยาบาลในไตรมาส 4/63 และเราคาดว่าปีนี้จะมีรายได้จากการจัดการโรงพยาบาลประมาณ 344 ล้านบาทจากการจัดการโรงพยาบาลของรัฐ 4 แห่ง โดยในปี 65 เราเชื่อว่าธุรกิจบริหารโรงพยาบาลจะเติบโต 48% เป็น 508 ล้านบาท เนื่องจากการรับรู้รายได้เต็มปีในปีหน้า โดยเฉพาะกับศูนย์หัวใจสมุทรปราการที่เพิ่มเข้ามาในไตรมาส 4/64 แม้ว่า CHG จะจ้างทีมเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์เพื่อบริหารจัดการโรงพยาบาลตามสัญญา แต่เราเชื่อว่าธุรกิจบริหารโรงพยาบาลน่าจะมี EBITDA Margin ที่ดีกว่าธุรกิจโรงพยาบาลของตัวเอง
การว่างงานเป็นความเสี่ยงที่สำคัญ
เราใช้วิธี DCF, WACC 7%, เติบโต 3.1% ประเมินราคาเป้าหมาย ในฐานะผู้ให้บริการโรงพยาบาลที่มีพื้นฐานแข็งแกร่ง CHG มีการเติบโตที่ประคองตัวได้ แรงหนุนจากประชากรสูงอายุและกลุ่มประกันสังคมที่กำลังเติบโต ความเสี่ยงที่สำคัญคือการว่างงานในประเทศไทยซึ่งเพิ่มขึ้นในช่วงการระบาดใหญ่และอาจดำเนินต่อไปในปีหน้า หากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจล่าช้า
Yuwanee Prommaporn
(66) 2658 5000 ext 1393
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ