- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 12 November 2014 17:24
- Hits: 1600
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน
“Follow Buy เมื่อยืนเหนือ SMA10 วัน”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ไม่มี
ปัจจัย&กลยุทธ์ทางปัจจัยพื้นฐาน : ดัชนีตลาดหุ้นไทยเมื่อวานนี้รีบาวด์เล็กน้อย (+3.86 จุด ปิดที่ 1571.20) การซื้อขายส่วนใหญ่อยู่ในหุ้นขนาดกลาง-เล็ก นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 600 ล้านบาท พอร์ตบล.ซื้อสุทธิ ด้านสถาบันในประเทศและรายย่อยซื้อ-ขายใกล้เคียงกัน ภาพโดยรวมดูเหมือนจะเป็น Sideway หากไม่มีปัจจัยกระตุ้นใหม่ๆ เข้ามา เพราะหุ้นใหญ่ค่อนข้างนิ่ง ขณะที่การเก็งกำไรในหุ้นเล็กได้แค่ช่วยพยุงตลาดไม่ให้อ่อนลงแรงเนื่องจาก Market Cap ไม่มาก อย่างไรก็ดี โดยสถิติของตลาดหุ้นไทยเมื่อพิจารณาย้อนหลังไป 10 ปี พบว่าตลาดในเดือนพ.ย.จะผันผวนและโอกาสที่ดัชนีจะอ่อนตัวมี 56% ปรับขึ้น 44% แต่ระยะทางของการอ่อนตัวไม่มาก คือเฉลี่ย -0.9%MoM เท่านั้น ส่วนในเดือนธ.ค.โอกาสที่ตลาดปรับขึ้นมีเพิ่มขึ้นเป็น 78% และระยะทางของการปรับขึ้นเฉลี่ยสูงขึ้นเป็น 2.7%MoM (ดูรายละเอียดได้ใน Wealth Perspective Equity – พ.ย.57) ในเชิงกลยุทธ์ เราเน้นทยอยซื้อหุ้นพื้นฐานดีจังหวะราคาอ่อนตัว หุ้นพื้นฐานแนะนำในวันนี้เป็น INTUCH
การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ภาพตลาดในระยะสั้นมากพลิกเป็นบวกเล็กๆ แต่การที่ SET Index ยังปิดต่ำกว่า SMA10 วันทำให้การเข้าซื้อใหม่ควรเป็นFollow Buy ค่าบวกเป็นหลัก ส่วนการอ่อนตัวต่อจะมีแนวเด้ง 1560, 1550 จุด และถ้ารีบาวด์ไม่แรงก็มีสิทธิอ่อนไปยัง 1500 ต้นๆ อีกรอบ สำหรับหุ้นมีสัญญาณบวกทางเทคนิคและมีโอกาสทำ New high ที่แนะนำให้ถือต่อ คือ CKP, RCL, WORK, NMG ส่วนหุ้นที่เข้ามาใหม่ ได้แก่ PTG, DEMCO,GENCO, E หุ้นที่หลุด List คือ PS, BMCL, CCET สำหรับหุ้นที่แนะนำไปแล้วและอยู่ในพื้นที่หาจังหวะ Take profit คือ –ไม่มี-
Market Drivers
ปัจจัยต่างประเทศ
• ญี่ปุ่น : นายกฯกำลังพิจารณาเรื่องยุบสภา แหล่งข่าวจากพรรครัฐบาลกล่าวว่านายกรัฐมนตรีอาเบะกำลังพิจารณาเรื่องยุบสภา เพื่อจัดการเลือกตั้งใหม่ในสิ้นปี 57 เนื่องจากสถานการณ์ตัดสินใจยากลำบากเกี่ยวกับการปรับขึ้นภาษีขาย
+ สหรัฐ : ดัชนีความเชื่อมั่นของธุรกิจขนาดเล็กของสหรัฐปรับตัวขึ้น 0.8 จุด แตะ 96.1 ในเดือนต.ค. ปัจจัยจับตา คือ ยอดค้าปลีกของผู้ประกอบการขนาดใหญ่ คือ เจซี เพนนี เมซี อิงค์ และเจมาร์ท รวมถึงยอดค้าปลีกประจำเดือนต.ค.ของสหรัฐที่รายงานในวันศุกร์นี้ด้วย
• ตลาดหุ้นสหรัฐบวกขึ้นต่อเล็กน้อย โดย DJIA +1.16 จุด หรือ+0.01% ดัชนี NASDAQ +8.94 จุด หรือ +0.19% ดัชนี S&P500+1.42 จุด หรือ +0.07%
- สัญญาน้ำมันดิบซบเซาต่อ โดย WTI ส่งมอบเดือนธ.ค.+54เซนต์ หรือ +0.7% ปิดที่ 77.94 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENT -67เซนต์ หรือ -0.8% ปิดที่ 81.67 ดอลลาร์/บาร์เรล
- รมว.พลังงานของคูเวตคาดการณ์ว่ากลุ่มโอเปคจะยังไม่ลดเพดานการผลิตในการประชุม 27 พ.ย.นี้ แม้ว่าคาดการณ์ถึงความต้องการใช้น้ำมันดิบจากกลุ่มโอเปคว่าอาจลดลงสู่ระดับต่ำสุดในรอบ 14 ปีที่ 28.2 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2560
• สัญญาทองคำตลาด COMEX ขยับขึ้นเล็กน้อย โดยสัญญาส่งมอบเดือนธ.ค.+3.2 ดอลลาร์ หรือ+ 0.28% ปิดที่ 1,163 ดอลลาร์/ออนซ์
- ดัชนีค่าระวางเรือ (BDI) ปิดลดลง 48 จุด หรือ -3.39% มาที่1370 จุด ในระยะสั้นมากดูเหมือนว่าดัชนีจะอยู่ใน Sentiment ลบซึ่งส่วนหนึ่งมากจากปริมาณการค้าโลกเติบโตไม่มากหลังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัวช้ากว่าคาด และการขยายกองเรือของผู้ประกอบการเพื่อรองรับความต้องการใช้ที่จะเพิ่มขึ้นในอนาคต แต่อุปสงค์ฟื้นตัวช้าจึงทำให้ดัชนีผันผวนในทางลงก่อน (ดัชนีต่ำสุดในรอบปีนี้ที่ 723 จุด)
ปัจจัยในประเทศ & ข่าวหลักทรัพย์เด่น
• รมว.พลังงานยืนยันปรับโครงสร้างราคาน้ำมันและก๊าซ โดยราคาน้ำมันมีแนวโน้มลดจากการเก็บเงินเข้ากองทุนน้อยลง ส่วนราคาก๊าซจะทยอยปรับขึ้นให้ใกล้กับราคาตลาด เดินหน้าเปิดสัมปทานปิโตรเลียม วางท่อก๊าซจากประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเพิ่มเติม และสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินในภาคใต้
- หนี้สินภาคครัวเรือนที่สูงทำให้การบริโภคต้องใช้เวลาในการฟื้นตัว ทั้งนี้หนี้สินภาคครัวเรือนเฉลี่ยปี 56 อยู่ที่ 195,492 บาท/ครัวเรือน (ที่มา : สำนักงานสถิติแห่งชาติ) เพิ่มขึ้น 45% จากปี 54 โดยสัดส่วนหลักอยู่ในหนี้สินประเภทซื้อ/เช่าซื้อบ้าน & ที่ดิน และการใช้จ่ายอุปโภคบริโภคในครัวเรือน ซึ่งคิดเป็น 74% ของทั้งหมด ซึ่งโครงการรถคันแรกมีส่วนกระตุ้นให้ระดับหนี้สินครัวเรือนเพิ่มขึ้นเร็วอย่างไรก็ตาม ในปี 57 การเพิ่มขึ้นของหนี้สินภาคครัวเรือนลดลง เนื่องจากกำลังการกู้ยืมผู้บริโภคจำกัดลง และสถาบันการเงินระมัดระวังในการปล่อยสินเชื่อมากขึ้น ซึ่งคาดว่าจะต่อเนื่องไปถึงปี 58 ดังนั้นการขยายตัวของสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคจะเติบโตไม่มากในหน้า ขณะที่สินเชื่อเพื่อลงทุนมีแนวโน้มว่าจะขยายตัวได้ดีกว่า โดยเฉพาะในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโครงการภาครัฐ ในเชิงกลยุทธ์เราจึงชอบธนาคารพาณิชย์ขนาดใหญ่ที่เน้นปล่อยสินเชื่อเพื่อลงทุนมากกว่าธนาคารขนาดเล็กที่เน้นปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ & สินเชื่อรายย่อย หุ้น Top Pick เป็น KBANK
- SVI : โรงงานไฟไหม้ที่นิคมอุตสาหกรมบางกะดี ซึ่งเป็นโรงงานหลักของบริษัท ในเบื้องต้นยังไม่ทราบความเสียหายและผลกระทบต่อสายการผลิต แต่คาดว่าจะมีประกันภัยรองรับ
• TRC : จับมือกับบริษัทรับเหมาระบบรางรายใหญ่ของจีนประมูลงานรถไฟทางคู่ปีหน้า บริษัทได้เซ็น MOU กับบริษัทไชน่า เรลเวย์ ผู้ประกอบการก่อสร้างระบบขนส่งมวลชนระบบรางรายใหญ่ ติดอันดับ 1 ใน 5 ของจีน เพื่อจัมือกันเข้าประมูลงานก่อสร้างรถไฟทางคู่ในไทย โดยคาดว่าปี 58 จะมีงานเปิดประมูลออกมา 3-4 แสนล้านบาท และบริษัทตั้งเป้าหมายจะได้งาน 10% หรือ 3-4หมื่นล้านบาท สำหรับปี 57 ผู้บริหารคาดรายได้ไว้ที่ 4 พันล้านบาท (สัดส่วน 1H57: 40% และ 2H57 : 60%) ณ ปัจจุบันมี Backlog 4 พันล้านบาทและคาดว่าจะได้งานใหม่เข้ามา 5 พันล้านบาททำให้สิ้นปี 57 จะมี Backlog เพิ่มขึ้นมาก คาดปี 58รายได้เติบโต 20% เป็น 4.8 พันล้านบาท อัตรากำไรสุทธิอยู่ที่ 6-7% นับว่า TRCเป็นบริษัทรับเหมารายกลาง-เล็กที่น่าสนใจบริษัทหนึ่ง โดยมี P/E ปี 58 อยู่ที่ 12-13 เท่า ซึ่งต่ำกว่าเฉลี่ยของผู้รับเหมารายใหญ่ที่ 27 เท่า
นักวิเคราะห์ : อาภาภรณ์ แสวงพรรค : Tel 7829 [email protected]