- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 12 November 2014 17:04
- Hits: 1660
บล.ไอร่า : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ปัจจัยที่มีผลต่อตลาดวันนี้
(+) ตลาดหุ้นต่างประเทศ : DJIA +1.16, NASDAQ +8.94, S&P +1.42, FTSE +16.15, CAC +21.28 และ DAX +17.16 โดยตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปิดบวกเพียงเล็กน้อย แต่ทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์ จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯ และผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนที่ยังคงแข็งแกร่ง ขณะที่ตลาดหุ้นยุโรปปรับตัวเพิ่มขึ้นเช่นกัน โดยได้รับแรงหนุนจากการเพิ่มขึ้นของหุ้นในกลุ่มโทรคมนาคม
….ราคาปิดน้ำมันดิบ (NYMEX) ส่งมอบเดือน ธ.ค. +US$0.54 ปิดที่ US$77.94 ต่อบาร์เรล จากการคาดการณ์ว่าอุณหภูมิในสหรัฐฯ จะเริ่มลดต่ำลงในอีกไม่กี่สัปดาห์ข้างหน้า จะทำให้ความต้องการใช้น้ำมันทำความร้อนเพิ่มสูงขึ้น
....ทางด้านราคาทองคำ ส่งมอบเดือน ธ.ค. +US$3.2 ต่อออนซ์ ปิดที่ US$1,163.0 ต่อออนซ์ จากการกลับเข้าซื้อของนักลลงทุน หลังจากราคาลดลงแรงในช่วงที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามราคาทองยังถูกกดดันจากการแข็งค่าของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ และการปรับเพิ่มขึ้นของดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ ส่งผลให้ความน่าสนใจในการลงทุนทองคำลดลง
(+) เม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศสุทธิ -527 ล้านบาท สะสมตั้งแต่ต้นปี -15,333 ล้านบาท (สิ้นปี’56 มียอดขายสุทธิสะสม 193,911 ลบ)
ทิศทางตลาด
ทิศทางตลาด : คาดดัชนียังคงมีแนวโน้มแกว่งตัวแต่มีโอกาสรีบาวน์ตามตลาดต่างประเทศ? หลังจากดัชนีตลาดหุ้นสหรัฐฯ เพิ่มขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่อีกครั้ง จากแนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่ข่าวกรณีที่สหรัฐฯ จะมีการปฏิรูปกฎหมายภาษี อาจจะส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าขึ้นอีก อาจจะส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติไม่รีบกลับมาซื้อหุ้นไทยมากนัก
....ด้านปัจจัยในประเทศ ยังไม่มีประเด็นใหม่ โดยนักลงทุนยังคงจับตามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว ว่าจะส่งผลต่อการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วง 4Q/57 ต่อเนื่องถึงปี 58 ได้มากน้อยแค่ไหน ในขณะที่ทาง ธปท. ออกมาแสดงความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจไทยที่ฟื้นตัวได้ช้าและมีแนวโน้มจะเติบโตแย่กว่าคาด จากการส่งออกและท่องเที่ยวที่หดตัวลงมาก ทำให้การดำเนินนโยบายการเงินจำเป็นต้องผ่อนคลายมากขึ้น เพื่อลดความเสี่ยงที่เศรษฐกิจอาจจะขาดเสถียรภาพในระยะยาว จึงอาจจะเป็นการส่งสัญญาณในการลดดอกเบี้ยนโยบายลงจากปัจจุบันที่ 2.0% ในขณะที่ รมว.พลังงานออกมาให้ข่าวว่าจะเลื่อนการปรับราคาพลังงานทั้งราคาก๊าซและน้ำมันดีเซลออกไปเป็นหลังปีใหม่ เพื่อลดผลกระทบในระยะสั้น
….โดยยังแนะติดตามความชัดเจนเกี่ยวกับวงเงินลงทุนกรอบยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานระยะเวลา 8 ปี (ปี’ 58 – 65) ซึ่งกระทรวงคมนาคมจะสรุปในเดือน พ.ย. หลัง (21/10/57) ครม. อนุมัติแผนลงทุนโครงสร้างพื้นฐานคมนาคม ในปี ’58 – ’65 เช่น รถไฟรางคู่ รถไฟฟ้า การขยายถนน และการขยายสนามบินฯ เป็นต้น เพื่อช่วยลดต้นทุนโลจิสติกส์ และเพิ่มศักยภาพของประเทศ ให้รองรับการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ซึ่งคาดกลุ่มรับเหมาก่อสร้างน่าจะได้รับผลดีต่อเนื่องในระยะยาว
....รวมถึงประเด็นการเร่งรัดเปิดประมูลโครงการรถไฟฟ้าสายต่างๆ ที่คาดยังเป็นปัจจัยบวกต่อภาพรวมกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง หลังมีการยื่นซองประมูลโครงการก่อสร้างรถไฟฟ้าสายสีเขียว เส้นทางหมอชิต – คูคต เมื่อ 30/9/57 ซึ่งมีผู้ยื่นซองทั้งหมด 4 ราย (ITD, CK, STEC และ UNIQ) คาดใช้ระยะเวลา 1 – 3 เดือน ทราบผลการประมูล คาดอย่างเร็วคาดสามารถลงนามสัญญาและเริ่มก่อสร้างในช่วง 1H/58
ผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐ 10 ปี ทรงตัว อยู่ที่ 2.36% (ระดับสูงสุด 3.77% เมื่อ กพ.’54) และดัชนีความเสี่ยง (VIX) +0.25 อยู่ที่ 12.92
หุ้นแนะนำ : PS
ประเด็นที่ต้องติดตาม (12-14 พย.’57)
12/11/57 : (1) สหรัฐฯเปิดเผยตัวเลขสต็อกสินค้าและยอดค้าส่งเดือน ก.ย.
13/11/57 : (1) จีน เปิดเผย ตัวเลขค้าปลีก - ตค. (2) สหรัฐฯ รายงานจำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์
14/11/57 : (1) ยุโรป เปิดเผย GDP 3Q14 และ CPI-ต.ค. (2) สหรัฐฯ เปิดเผย ตัวเลขค้าปลีก – ต.ค.
หุ้นแนะนำ
PS : ราคาเป้าหมาย (ปี’58) เท่ากับ 40 บาท
คาดปี 57 กำไรสุทธิมีโอกาสทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง จากปี 56 ที่มีกำไรสุทธิ 5,802 ล้านบาท เนื่องจากรายได้ที่เพิ่มขึ้นจากการโอนโครงการบ้านและคอนโดมิเนียมและมีอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น ปัจจุบันอยู่ที่ 36.8% โดยเป็นผลมาจากการใช้ กำลังผลิตจากโรงงานผลิตแผ่นคอนกรีตสำเร็จรูป ซึ่งช่วยลดระยะเวลาการก่อสร้างและโอนกรรมสิทธิ์ให้เร็วขึ้น โดยใน 3Q/57 ใช้เวลาก่อสร้างอยู่ที่ 90 วัน จาก 96 วันในช่วง 2Q/57
ยอดขาย (Presale) 9M/57 อยู่ที่ประมาณ 31,000 ล้านบาท (เพิ่มขึ้น ประมาณ 10,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับ 7M/57) แบ่งเป็นแนวราบ 23,000 ล้านบาท และแนวสูง อีก 8,300 ล้านบาท และคาดทั้งปี’57 สามารถทำยอดขาย (Presale) ได้ตามเป้าหมายที่ 43,000 ล้านบาท ซึ่ง PS มีแผนทยอยเปิดโครงการใหม่ใน 2H/57 จำนวน 35 โครงการ มูลค่ารวม 41,400 ล้านบาท ซึ่งเมื่อรวมกับ 1H/57 เปิดไปแล้ว 38 โครงการ มูลค่า 31,000 ล้านบาท ทำให้ทั้งปี’57 มีโครงการใหม่ 73 โครงการ มูลค่า 72,000 ล้านบาท
แนวโน้มเติบโตต่อเนื่องในปี’58 คาดรายได้ 44,891 ล้านบาท (+10%YoY) และกำไรสุทธิ 6,487 ล้านบาท (+9%YoY) ส่วนหนึ่งจาก Backlog รอโอนปี’58 จำนวนประมาณ 15,000 ล้านบาท และความสามารถในการลดระยะเวลาตั้งแต่ก่อสร้างจนถึงส่งมอบโครงการให้สั้นลงได้ต่อเนื่อง รวมถึงแผนการเปิดโครงการใหม่ๆ ที่คาดทำให้ Presale ยังดีต่อเนื่อง
ประเมินราคาเป้าหมายปี’58 ที่ 40.00 บาท
นักวิเคราะห์ : ศักดิ์นรินทร์ ศศานนท์, 02-684-8789