- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 04 August 2021 12:35
- Hits: 13975
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 4-8-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 4 สิงหาคม 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
COVID-19 ยังกดดัน
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,530 จุด และแนวต้าน 1,550 จุด เน้นหุ้นคาดแนวโน้มกำไรเด่น โดย ATO Picks แนะนำ “TIDLOR, SMT”
TIDLOR
คาดกำไรปี 64-66 เติบโต 30% CAGR แรงหนุนจากการเติบโตของรายได้ดอกเบี้ยที่พอร์ตสินเชื่อกำลังเติบโตดี และรายได้ค่าธรรมเนียม จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย อีกทั้งยังมี NPL coverage ที่สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ทำให้การตั้งสำรองจะลดลง และ cost to income ลดลงเช่นกัน
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 50 บาท
SMT
แนวโน้มกำไร 2Q64 เติบโตได้ทั้ง QoQ, YoY ที่ราว 60-65 ล้านบาท จากคำสั่งซื้อใหม่จากทั้งกลุ่ม IC, Optic, PCBA โดยคาดอัตรากำไรดีขึ้น QoQ ใกล้ 20% ส่วนความกังวลการขาดแคลน Chip นั้นยังจัดการได้ และคาดจะดีขึ้นในเดือน ก.ย. ผสานเงินบาทอ่อนค่า เป็นแรงหนุนเพิ่มเติม
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 8.0 บาท
INVESTMENT THEME
COVID-19 ยังกดดัน
สายพันธุ์เดลต้ากระจายวงกว้างขึ้น : จากการแพร่ระบาดของสายพันธุ์เดลต้าที่แพร่กระจายได้อย่างรวดเร็ว เริ่มกดดันประเทศมหาอำนาจอย่างเช่น จีน และสหรัฐฯ มากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเพิ่มแรงกดดันต่อราคาสินทรัพย์เสี่ยงหลายประเภท เช่น ความต้องการน้ำมันดิบโลกอาจชะลอตัวในระยะสั้น ซึ่งล่าสุดราคาน้ำมันดิบโลกปรับตัวลงต่อเนื่อง โดยราคาน้ำมันดิบเบรนท์ ลดลงสองวันติดต่อกันรวมกว่า -5% สอดคล้องกับตลาดพันธบัตร ที่อัตราผลตอบแทนของพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯอายุ 10 ปียังคงปรับตัวลดลงต่อเนื่องสู่ระดับ 1.17% ต่ำสุดในรอบ 5 เดือน ดังนั้นสำหรับด้านตลาดหุ้นก็อาจจะได้รับแรงกดดันเช่นกัน ซึ่งเป็นไปในทิศทางทางเดียวกับยอดการติดเชื้อของไทยที่เช้านี้ทะลุระดับ 20,000 รายต่อวัน คาดยังเป็นปัจจัยกดดันต่อ SET ในระยะสั้น ทำให้การรีบาวน์รอบนี้จะยังไม่สามารถผ่านระดับ 1,550 จุด
คาดวันนี้ กนง. คงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับเดิม : การประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ในวันนี้คาดจะยังคงดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.5% ตามเดิม โดยจุดสำคัญแนะติดตามท่าทีของ กนง. ต่อสถานการณ์การแพร่ระบาด COVID-19 ในประเทศ ซึ่งถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ฉุดรั้งการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทย และมาตรการในการรองรับการชะลอตัวของเศรษฐกิจ
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET ฟื้นตัว เริ่มมีแรงซื้อกลับในหุ้นขนาดใหญ่เช่น กลุ่มธนาคาร ไฟแนนซ์ แต่ยังโดนถ่วงจากหุ้น ICT โดย SET ปิดที่ 1,540.51 (+15.40 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 6.9 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 6.6 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 25 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 822 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุน
EYES ON
4 ส.ค. การประชุม กนง., การจ้างงานภาคเอกชน US จาก ADP, ดัชนี PMI ภาคบริการ ของ US จีน ยูโรโซน, ดัชนี ISM ภาคบริการของ US, ยอดค้าปลีกยูโรโซน
5 ส.ค. ตัวเลขเงินเฟ้อไทย, ดุลการค้า US, ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ US
6 ส.ค. การจ้างงานนอกภาคเกษตร US, อัตราการว่างงาน US
BJC Heavy Industries (BJCHI)
F/X ช่วยหนุนกำไร 2Q64 ต่อ
HOLD
Share Price THB 1.81
12 m Price Target THB 2.00 (+10%)
Previous Price Target THB 2.00
ประเด็นการลงทุน
คาด 2Q64 จะมีกำไร 55 ล้านบาท แรงหนุนจากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน ในขณะที่งานส่งมอบอยู่ในระดับต่ำ งานที่จะรับรู้ในครึ่งปีหลังจะลดลงกดดันกำไรปกติ แต่การอ่อนค่าของเงินบาทจะทำให้มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนเข้ามาช่วยต่อ มีงานกำลังประมูลเพิ่มเป็น 3.8 หมื่นล้านบาท จากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ และ ราคาสินแร่เหล็ก BJCHI มีฐานะการเงินที่แข็งแกร่ง ไม่มีหนี้เงินกู้ ในขณะที่มีเงินสดในมือ 852 ล้านบาท ประเมินราคาเป้าหมาย 2.0 บาท ต่ำกว่ามูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเล็กน้อย คงแนะนำ ถือ
คาด 2Q64 จะมีกำไร 55 ล้านบาท จากกำไรอัตราแลกเปลี่ยน
การรับรู้รายได้ 2Q64 คาดจะใกล้เคียงไตรมาสก่อน 450 ล้านบาท (-2%QoQ, -11%YoY) ส่วนใหญ่จะมาจากโครงการ Koodaideri และ ทยอยรับรุ้รายได้ Santos #3 และ รับรู้เงินชดเชยโครงการ Crisp เข้ามาในขณะที่บันทึกต้นทุนไปแล้ว คาดอัตรากำไรขั้นต้น 10.5% จาก 11.5% ในไตรมาสก่อน แต่ดีกว่าปีก่อน 6.4% ทำให้สุทธิแล้วคาดจะมีกำไรปกติเล็กน้อย 19 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 27%QoQ ในขณะที่ดีขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 4 ล้านบาท แต่ไตรมาสนี้คาดจะมีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 36 ล้านบาท จากค่าเงินบาทที่อ่อนค่า รวมแล้วคาด 2Q64 จะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 55 ล้านบาท ลดลงจากไตรมาสก่อน 37% แต่ดีกว่าปีก่อนที่ขาดทุน 89 ล้านบาท
เงินบาทอ่อนค่าหนุน3Q64ต่อ ขณะที่ผลประกอบการปกติจะขาดทุน
BJCHI เหลืองานในมือปัจจุบันประมาณ 2.1 พันล้านบาท เมื่อหักงานโครงการ Crisp ซึ่งยังล่าช้าไม่มีกำหนด จะเหลืองานที่จะรับรู้ในครึ่งปีหลังประมาณ 400 ล้านบาท จะทำให้ผลประกอบการปกติจะขาดทุน แต่จากค่าเงินบาทในปัจจุบันได้อ่อนค่าลงประมาณ 1 บาท/ดอลลาร์ โดยทุก 1 บาท จะช่วยให้ BJCHI มีกำไรในอัตราแลกเปลี่ยนประมาณ 60 ล้านบาท ทำให้กำไรสุทธิยังเป็นบวกได้ เราปรับลดประมาณการยอดรับรู้รายได้ลงเหลือ 1,410 ล้านบาท ลดลง 28%YoY แต่ปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิขึ้น 92% เป็น 196 ล้านบาท จากกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ดีขึ้นจากปีก่อนที่ขาดทุน 194 ล้านบาท
มีงานกำลังประมูลเพิ่มเป็น 3.8 หมื่นล้านบาท
การปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบ และ สินแร่เหล็ก ทำให้ปัจจุบันเริ่มมีบริษัทน้ำมัน ก๊าซ ปิโตรเคมี สินแร่เหล็ก และ พลังงานทดแทน เข้ามาติดต่อ โดยมีงานที่กำลังประมูลเพิ่มเป็น 3.8 หมื่นล้านบาท จากไตรมาสก่อน 1.7 หมื่นล้านบาท โดยเป็น High Potential 3 โครงการรวม 5,000 ล้านบาท มีโครงการพลังงานสะอาด 2 โครงการ และ ก๊าซ 1 โครงการ โดยคาดจะทราบผลการประมูลจำนวน 2 โครงการภายใน 3-4Q64 และ อีก 1 โครงการ 1Q65
ความเสี่ยง : ต้นทุนที่มากกว่าประมาณการ / การแข่งขันในงานประมูล
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Ngern Tid Lor PCL (TIDLOR TB)
เติบโตอย่างแข็งแกร่ง
BUY
Share Price THB 39.50
12 m Price Target THB 50.00 (+27%)
เริ่มต้นคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 50 บาท
เราเริ่มต้นบทวิเคราะห์ TIDLOR ด้วยคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย อิงวิธี GGM อยู่ที่ 50 บาท (PER ปี 65 ที่ 27 เท่า, PEG 1 เท่า ROE 19% และ P/BV 4.6 เท่า) เราชอบ TIDLOR ที่รายได้เติบโตแข็งแกร่ง โดยได้รับแรงหนุนจากการเติบโตของรายได้จากทั้งรายได้ดอกเบี้ย (จากพอร์ตสินเชื่อที่กำลังเติบโต) และรายได้ค่าธรรมเนียม (จากธุรกิจนายหน้าประกันภัย) แนวโน้มรายได้ของบริษัทสูงกว่าคู่แข่ง เนื่องจากมี NPL coverage สูงกว่าค่าเฉลี่ยของกลุ่ม ซึ่งมีโอกาสสูงในการลดการตั้งสำรองและลดอัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ด้วยการเพิ่มประสิทธิภาพ ความเสี่ยงที่สำคัญคือการเติบโตของรายได้ที่ช้ากว่าที่คาดไว้และการลดอัตราดอกเบี้ยที่อาจเกิดขึ้น
รายได้สินเชื่อและนายหน้าประกันภัยโตแกร่ง
เราคาดว่าสินเชื่อของ TIDLOR จะเติบโต 16-18% ในปี 2564-2566 นำโดย (1) การขยายสาขา (2)ความต้องการสินเชื่อฟื้นตัวจากฐานที่ต่ำ (+7% YoY ในปี 2563) และ (3) ผลิตภัณฑ์ที่เหนือกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่ง บริษัทตั้งเป้าจะเปิดสาขาใหม่ 500 สาขาภายในปี 2566 (เพิ่มขึ้น 46% จาก 1,076 สาขาในปี 2563) เราคาดการณ์ว่า non-NII ปี 64-65 จะเติบโต 27-29% เนื่องจากการเติบโตของรายได้จากนายหน้าประกันภัยที่แข็งแกร่งที่ 35-40% ซึ่งชดเชยค่าธรรมเนียมการเก็บหนี้ที่อ่อนแอ (-44% YoY ในปี 63) ต้นทุนของเงินทุนของบริษัทน่าจะค่อยๆ ลดลง เนื่องจากอันดับ TRIS Rating ได้รับการอัปเกรดเป็น A จาก A- ในเดือนพฤษภาคม 2564 เทียบกับ BBB+ ของ MTC และ SAWAD
ลดตั้งสำรองส่วนเกินได้อีกเยอะ
TIDLOR มีความเสี่ยงด้านคุณภาพสินทรัพย์ที่สูงกว่าเมื่อเทียบกับคู่แข่งจากนโยบาย LTV ที่สูงกว่า 70-80% เทียบกับ 30-50% ของ MTC และ SAWAD อย่างไรก็ตาม TIDLOR มีนโยบายการกันสำรองที่ระมัดระวังมากกว่าเมื่อเทียบกับบริษัทอื่น โดยเห็นได้จากอัตราส่วน NPL สูงสุดที่ 329% และ 5.0% สำรอง (LLR) ต่ออัตราส่วนเงินให้สินเชื่อในกลุ่ม ณ สิ้นไตรมาส 1/64 เราคาดว่า NPL coverage และอัตราส่วน LLR จะลดลงเป็น 220% และ 3.7% ตามลำดับในปี 2566 โดยอัตราส่วน NPL คาดจะค่อยๆ เพิ่มขึ้นจาก 1.5% ในไตรมาส 1/64 เป็น 1.7% ในปี 66 บัตรเงินสดหมุนเวียนจะช่วยเพิ่มสภาพคล่องให้กับลูกค้าและลด OPEX จากกิจกรรมผ่านสาขาที่ลดลงเนื่องจากลูกค้าสามารถถอนเงินสดได้ตลอดเวลาผ่านตู้เอทีเอ็มของธนาคาร ปัจจุบัน TIDLOR เสนอบัตรเงินสดนี้สำหรับสินเชื่อจำนำทะเบียนรถมอเตอร์ไซค์ และมีแผนจะเสนอสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ในไตรมาส 3/64
คาดกำไร 3 ปี CAGR 30% ในช่วงปี 63-66
เราคาดว่ารายได้จะเติบโต 25-39% YoY ในปี 2564-2566 จากการเติบโตของรายได้ที่แข็งแกร่งจากทั้ง NII และ non-NII นอกจากนี้ เรายังคาดการณ์อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้จะลดลงจาก 61.5% ในปี 2563 เป็น 53.0% ในปี 2566 จากการดำเนินงานที่ดีขึ้น ซึ่งจะทำให้ OPEX เติบโตในอัตราที่ช้ากว่ารายรับ จาก NPL coverage ที่สูง เราจึงตั้งสมมติฐานว่าต้นทุนสินเชื่อจะลดลงเหลือ 50-85bp สำหรับปี 64-66 เพื่อรองรับการเติบโตของกำไร TIDLOR พร้อมรับมือเศรษฐกิจที่อ่อนแอและน่าจะได้ประโยชน์เมื่อเศรษฐกิจฟื้นตัว โดยเน้นที่ต่างจังหวัด (80% ของสินเชื่อทั้งหมด) โดยมีลูกค้า SMEs และสินเชื่อรายย่อยที่จำกัด
Jesada Techahusdin, CFA
(66) 2658 6300 ext 1395
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ