- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 03 August 2021 23:02
- Hits: 11599
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 3-8-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 3 สิงหาคม 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
แกว่งรอดูสถานการณ์
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,516 จุด และแนวต้าน 1,540 จุด เน้นหุ้นคาดแนวโน้มกำไรเด่น โดย ATO Picks แนะนำ “GFPT, MCS”
GFPT
คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q64 โดยกำไร 2Q64 จะฟื้นตัวขึ้น จากยอดขายในประเทศและ Indirect export เพิ่มขึ้น ประกอบกับกำลังการผลิตไก่แปรรูปเพิ่มหลังจากเครื่องจักรใหม่ติดตั้งเสร็จซึ่งจะเริ่มผลิตในเดือน ส.ค. รวมทั้ง McKey มีการส่งออกไก่เพิ่มขึ้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 14.6 บาท
MCS
คาดกำไร 2Q64 จะทำสถิติสูงสุดใหม่ 320 ล้านบาท (+37%QoQ, +42%YoY) จากการส่งมอบงานเหล็กโครงสร้างที่สูง และ มีงานที่ค้างส่งมอบในไตรมาสแรก ผสาน Backlog คาดสูงถึง 1 แสนตัน ขณะที่ราคาหุ้นซื้อขาย PE ปี 2564 ต่ำเพียง 6.8 เท่า และคาดอัตราปันผลสูงถึง 8%
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 18.5 บาท
INVESTMENT THEME
แกว่งรอดูสถานการณ์
ภาคการผลิต จีน และสหรัฐฯ ต่ำคาด: วานนี้สหรัฐฯ รายงานดัชนี ISM ภาคการผลิต ประจำเดือน กรกฎาคม ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 59.5 จุด จากเดือนก่อนที่ 60.6 จุด และสวนตลาดคาดที่ 61 จุด บ่งชี้ว่าการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯอาจยังไม่เต็มที่นัก โดยยังคงให้น้ำหนักต่อประเด็นการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในสายพันธุ์เดลต้า เนื่องจากเชื้อดังกล่าวมีการกระจายตัวได้อย่างรวดเร็ว และประสิทธิภาพของวัคซีนในปัจจุบันยังค่อนข้างต้านทานได้ต่ำ สอดคล้องกับ Caixin PMI ภาคการผลิตของจีน ที่ลดลงสู่ 50.3 จุด จาก 51.3 จุด ต่ำกว่าคาดที่ 51 จุด จึงอาจทำให้ระยะสั้นการแกว่งตัวของสินทรัพย์เสี่ยงยังอยู่ในกรอบจำกัด
COVID-19 ยังรุมเร้า แต่ตลาดก็ตอบรับไปพอควร : จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศที่ยังรุนแรงขึ้น ทั้งจากการติดเชื้อของสายพันธุ์เดลต้าที่ค่อนข้างง่าย รวมถึงวัคซีนที่ยังไม่เพียงพอ และมีประสิทธิภาพที่ต่ำในการป้องกันการติดเชื้อ ทำให้การควบคุมสถานการณ์ทำได้ยากมากยิ่งขึ้น ผสานกับการยกระดับนโยบายที่เข้มข้นขึ้นของทางภาครัฐฯ ล้วนทำให้เศรษฐกิจไทยในระยะสั้นเปิดความเสี่ยงมากยิ่งขึ้น กดดันการปรับตัวขึ้นของดัชนี แต่อย่างไรก็ดีในช่วง 1 เดือนที่ผ่านมา SET ปรับตัวลดลงกว่า 4% ก็ถือว่าตลาดมีการตอบรับปัจจัยลบไปในระดับหนึ่งแล้ว ดังนั้นในระยะสั้นคาด Downside ตลาดอาจเริ่มจำกัด โดยประเมินแนวรับสำคัญบริเวณ 1516 จุด (EMA 200 วัน) และระดับจิตวิทยาที่ 1500 จุด
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่ง Sideway มีแรงซื้อกลับในหุ้นที่ปรับตัวลดลงมาก ท่ามกลางสถานการณ์โควิดที่ยังกดดัน โดย SET ปิดที่ 1,525.11 (+3.19 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 6.6 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 8.8 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 870 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 785 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 203
EYES ON
3 ส.ค. ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน US, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน US
4 ส.ค. การประชุม กนง., การจ้างงานภาคเอกชน US จาก ADP, ดัชนี PMI ภาคบริการ ของ US จีน ยูโรโซน, ดัชนี ISM ภาคบริการของ US, ยอดค้าปลีกยูโรโซน
5 ส.ค. ตัวเลขเงินเฟ้อไทย, ดุลการค้า US, ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ US
6 ส.ค. การจ้างงานนอกภาคเกษตร US, อัตราการว่างงาน US
Bangkok Cml. Asset Mgmt. (BAM)
อุปสรรคยังรุมเร้า
HOLD
Share Price THB 16.00
12 m Price Target THB 17.00 (+10%)
Previous Price Target THB 22.70
ประเด็นการลงทุน
แม้กำไรระยะสั้นอาจมีทิศทางฟื้นตัว แต่เป็นภาพที่ยังไม่รวมผลกระทบจาก COVID-19 ระลอกล่าสุด ซึ่งกระทบทั้งกระบวนการทำงานจากการปิดของกรมบังคับคดีตั้งแต่กลาง ก.ค. และอาจลากยาวทั้งไตรมาส ขณะอุปสงค์ของผู้ซื้อใหม่ที่ชะลอออกไป ทำให้เรามองว่ามี downside ต่อประมาณการกำไรและปันผลในปีนี้ กดดัน Div.yield คาดเหลือเพียง 3.8% แม้ราคาลงมาต่ำกว่าช่วง IPO คงคำแนะนำ ถือ ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 17.00 บาท อิง DDM (3.5%)
คาดกำไร 2Q64 ฟื้นตัวจากฐานต่ำ
ประเมินกำไรสุทธิ 2Q64 ที่ 515 ลบ. +108%QoQ,+280%YoY ฟื้นตัวแรงจากปีก่อนที่มี Full lockdown และจากไตรมาสก่อน เงินสดเรียกเก็บ 3.5 พันลบ. +18%QoQ,29%YoY เป็นผลจากการเร่งขายทรัพย์ NPA เพื่อเร่งยอดเก็บเงินสด และ NPL ที่ค้างมาจากไตรมาสก่อน ขณะพอร์ตหนี้มีแนวโน้มทรงตัว QoQ ที่ 2 แสนลบ. เรามองว่า BAM ยังระมัดระวังในการซื้อNPLs เข้ามาเพิ่มเติมและให้น้ำหนักกับการระบายสินทรัพย์ในมือและลดภาระดอกเบี้ยมากกว่า
ปรับเป้ากำไรปี 2564 ลง 27% ตามยอดเก็บเงินสดที่ฟื้นไม่เต็มที่
ภาพ 2H64 ยังมีความเสี่ยงต่อเป้ายอดเก็บเงินสด 1.7 หมื่นลบ. หลังทำได้ 38% ในครึ่งแรก เนื่องจาก i) ลูกหนี้บางส่วนอาจกลับเข้าสู่ความช่วยเหลือพักหนี้ในช่วงปิดเมือง ii) กรมบังคับคดีงดขายทรัพย์ทอดตลาดตั้งแต่ 20 ก.ค. จนถึงเดือน ส.ค. (และอาจถูกขยายตามสถานการณ์) กระทบต่อกระบวนการทำงาน และการรับรู้รายได้ ii) อุปสงค์ของผู้ซื้อ ทั้งในฝั่งรายย่อยที่กำลังซื้อถูกกระทบ-ความเข้มงวดของธนาคารในการปล่อยสินเชื่อใหม่ และรายใหญ่ทีต้องการลงทุนในอสังหาฯทบทวน/ชะลอแผนการลงทุนออกไป ซึ่งบริษัทอาจปรับกลยุทธ์ด้วยการให้ส่วนลด (pricing) บนทรัพย์ชิ้นใหญ่เพื่อเร่งยอดเก็บเงินสดในช่วงปลายปีเพื่อบรรลุเป้าที่เหลือ
บนสมมติฐานการแพร่ระบาดที่อาจต่อเนื่องไปยังปี 2565 เราจึงปรับลดประมาณการยอดเก็บเงินสด 10-14% ในปี 2564-65 และกำไรสุทธิปีนี้ -27% คาดเท่ากับ 2,207 ลบ. +20%YoY และในปีหน้า -9% ที่ 3,127 ลบ. ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติที่มีกำไรสุทธิถึง 5-6,000 ลบ./ปี
คงคำแนะนำ ถือ ปรับราคาเหมาะสมลงเป็น 17.00 บาท
สอดคล้องกับกำไรที่ปรับลง เราปรับราคาเหมาะสมลง 25% เป็น 17.00 บ./หุ้น โดยอิง DDM ที่ 3.5% ค่าเฉลี่ยของ SET เฉลี่ย 3 ปีย้อนหลัง โดยใช้สมมติฐานเงินปันผลในปีนี้ที่เราคาดไว้ที่ 0.60 บ./หุ้น แม้ให้ Payout ratio ที่ 88% สูงใกล้ปีก่อนที่ 90% ราคาปัจจุบันมี Div. yield เพียง 3.8% ยังดูไม่น่าสนใจในช่วง 6-12 เดือนข้างหน้า นักลงทุนควรรอและติดตามการฟื้นตัวกลับไปสู่ช่วงก่อนการระบาดในปี 2566 โดยมีปัจจัยเสี่ยง คือ ยอดเก็บเงินสดที่ไม่เป็นไปตามคาด , การแข่งขันที่สูงในอุตสาหกรรม , การเปลี่ยนแปลงนโยบายของภาครัฐ
Thanatphat Suksrichavalit
(66) 2658 5000 ext 1401
- Karnchang (CK)
กำไร 2Q64 จะดีขึ้น จากบริษัทลูก
T-BUY
Share Price THB 18.60
12 m Price Target THB 22.00 (+18%)
Previous Price Target THB 22.00
ประเด็นการลงทุน
คาดกำไร 2Q64 จะดีขึ้น แรงหนุนจากบริษัทลูก และ ช่วยหนุนไตรมาส 3Q64 ต่อแม้เดือน ก.ค. จะถูกกระทบจากปิดแคมป์คนงาน ซึ่งเดือน ส.ค. เริ่มกลับมาทยอยเปิดไซต์งานก่อสร้างมากขึ้นรวมถึงแคมป์คนงาน แนวโน้มจะได้งานใหม่มากขึ้นหนุน Backlog เข้าสู่ New S-Curve CK มีเงินลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานชั้นนำของประเทศ คือ BEM, CKP และ TTW มีมูลค่าถึง 6 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็น 35 บาทต่อหุ้น ซึ่งมีแนวโน้มเติมโตในระยะยาว และ ช่วยเพิ่มงานให้ CK รวมถึงเพิ่มส่วนแบ่งกำไร และเงินปันผล ประเมินเป้าหมาย โดยวิธี Sum of the Part เท่ากับ 22 บาท คงแนะนำ TRADING BUY
คาดกำไร 2Q64 จะดีขึ้น 300 ล้านบาท แรงหนุนจากบริษัทลูก
คาดกำไร 2Q64 จะดีขึ้น 300 ล้านบาท (+45%QoQ, +371%YoY) แรงหนุนสำคัญจากบริษัทลูก คือ รายรับปันผลจาก TTW 232 ล้านบาท ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนใน BEM และ CKP คาดจะเพิ่มขึ้นเป็น 263 ล้านบาท (+64%QoQ, +480%YoY) หลักๆมาจาก CKP จากปีนี้น้ำมาก และ คาดจะมีกำไรพิเศษจากการขายเงินลงทุนอีกประมาณ 140 ล้านบาท ในขณะที่ยอดรับรู้รายได้ในไตรมาส 2Q64 คาดจะยังอยู่ในระดับต่ำ 2,900 ล้านบาท (-1%QoQ, -27%YoY) เนื่องจาก Backlog ในปัจจุบันยังอยู่ในระดับต่ำ และ ในช่วงปลายไตรมาสเริ่มถูกกระทบจากการปิดแคปม์คนงาน และ ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะลดลงเหลือ 7.9% จาก 8.3% ในไตรมาสก่อน และ 9.0% ในปีก่อน
ไตรมาส3Q64จะได้แรงหนุนจากบริษัทลูกต่อ ชดเชยการก่อสร้างถูกกระทบ
ไตรมาส 3Q64 คาดจะได้แรงหนุนสำคัญจาก CKP ซึ่ง CK ถือหุ้น 30.67% คาดกำไรจะทำ New High ประมาณ 900-1,000 ล้านบาท เพิ่มจากไตรมาสสองที่มีกำไรประมาณ 750 ล้านบาท จากปริมาณน้ำในปีนี้ที่สูงมากกว่าปกติ และ เป็นช่วงฤดูน้ำหลาก และ ยังได้แรงหนุนจากเงินปันผลรับจาก TTW 232 ล้านบาท ในขณะที่รายได้จากงานก่อสร้างจะถูกกระทบจากการปิดแคมป์คนงานในเดือน ก.ค. แต่บางไซต์งานก่อสร้างก็ได้รับการผ่อนผัน ส่วนเดือน ส.ค. เริ่มอนุญาติให้มีการก่อสร้างมากขึ้น รวมถึงเริ่มเปิดแคมป์คนงานในลักษณะ Bubble and Seal
คาดหวัง Backlog เข้าสู่ New S-Curve
CK เริ่มประมูลได้โครงการใหม่ๆเข้ามาเติม Backlog ณ สิ้นไตรมาสแรก 2.6 หมื่นล้านบาท คือ ในไตรมาสสองได้งานก่อสร้างอุโมงค์ส่งน้ำของ กปน. 4.95 พันล้านบาท และ ประมูลราคาต่ำสุดรถไฟทางคู่ เด่นชัย – เชียงราย – เชียงของ 2 สัญญา รวม 4.7 หมื่นล้านบาท (ส่วน CKประมาณ 3 หมื่นล้านบาท) และมีหลายโครงการที่ CK มีศักยภาพจะได้งานเพิ่มเติม เช่น รถไฟฟ้าสายสีส้ม 1.27 แสนล้านบาท สายสีม่วงใต้ 1 แสนล้านบาท โรงไฟฟ้าหลวงพระบาง 8.5 หมื่นล้านบาท จะทำให้ Backlog เข้าสู่ New S-Curve คือ ประมาณ 2.9 แสนล้านบาทในปี 2565
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
GFPT PCL (GFPT)
เริ่มฟื้นตัวหลังจากผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว
BUY
Share Price THB 12.70
12 m Price Target THB 14.60 (+15%)
Previous Price Target THB 13.00
ประเด็นการลงทุน
เราเชื่อว่าผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วใน 1Q64 โดยกำไรจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ 2Q64 เป็นต้นไป เนื่องจากยอดขายในประเทศและ Indirect export เพิ่มขึ้น ประกอบกับกำลังการผลิตไก่แปรรูปเพิ่มขึ้นหลังจากเครื่องจักรใหม่ติดตั้งเสร็จซึ่งจะเริ่มผลิตในเดือน ส.ค. อีกทั้ง McKey มีการส่งออกไก่เพิ่มขึ้น เราปรับคำแนะนำจาก ถือ เป็น ซื้อ โดยปรับราคาเป้าหมายเพิ่มจาก 13 บาท เป็น 14.60 บาท จากการปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2565 และอิง PE 15.8 เท่า (PE +1SD สะท้อนแนวโน้มฟื้นตัว)
คาดกำไร 2Q64 ลดลง 33% YoY แต่ฟื้นตัว 148% QoQ
คาดว่ากำไร 2Q64 ฟื้นตัว 148% QoQ เป็น 150 ล้านบาท โดยยอดขายเพิ่มขึ้น 9% QoQ จากการเติบโตของยอดขายในประเทศและ Indirect export เราประเมินว่าอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัว 119 bps QoQ เป็น 10.7% ตามยอดขายที่เพิ่มขึ้น นอกจากนั้น ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 119% QoQ เนื่องจาก McKey ส่งออกไก่ได้มากขึ้น และ GFN ขาดทุนลดลง อย่างไรก็ดี เมื่อเทียบ YoY เราคาดว่ากำไร 2Q64 ลดลง 33% จากต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้นและปริมาณไก่ส่งออกลดลงตามความต้องการบริโภคที่ชะลอตัวในญี่ปุ่น อีกทั้งการส่งออกไปยุโรปยังมีปัญหาขาดแคลนตู้คอนเทนเนอร์
กำไร 3Q64 มีสัญญาณฟื้นตัวต่อเนื่อง
แม้แนวโน้มผลประกอบการ 3Q64 ยังลดลง YoY แต่จะฟื้นตัว QoQ เนื่องจากเข้าสู่ไฮซีซั่นของการส่งออก การติดตั้งเครื่องจักรใหม่ของโรงงานไก่แปรรูปเสร็จแล้วและคาดว่าจะเริ่มผลิตตั้งแต่กลางเดือน ส.ค. ซึ่งจะทำให้ GFPT มีสายการผลิตครบ 5 ไลน์ กำลังการผลิตเพิ่มขึ้น 25-50% เป็น 2,500-3,000 ตัน/เดือน โดยคาดว่าจะมีอัตราการใช้กำลังการผลิต 50-60% ใน 4Q64 แม้ต้นทุนวัตถุดิบยังสูงจากราคาข้าวโพดและกากถั่วเหลืองเพิ่มขึ้น แต่การส่งออกและ Indirect export ที่เพิ่มขึ้นจะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัว
ปรับลดประมาณการ แต่ปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปีหน้า
เราปรับลดประมาณการกำไรปี 2564-2565 ลง 41% และ 16% ตามลำดับ สะท้อนถึงการส่งออกลดลงและต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์เพิ่มขึ้น อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่าผลประกอบการของ GFPT ผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วใน 1Q64 และจะค่อยๆ ฟื้นตัวดีขึ้นตั้งแต่ 2Q64 เป็นต้นไป โดยคาดว่ากำไรในปี 2565 จะเพิ่มขึ้น 57% YoY เราปรับราคาเป้าหมายไปเป็นปี 2565 ที่ 14.60 บาท โดยอิง PE 15.8 เท่า (PE +1SD)
ความเสี่ยง: Oversupply ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่ม การส่งออกลดลง ขยายกำลังผลิตล่าช้า
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ