- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 10 November 2014 15:32
- Hits: 2029
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
SET ผันผวน แม้มีแรงหนุน LTF ที่คาดว่ายังมีเม็ดเงินไหลเข้าอีกในช่วง 2 เดือนสุดท้าย กลยุทธ์การลงทุนเลือกหุ้นพื้นฐานที่คาดว่าจะชนะดัชนี โดยเฉพาะหุ้นเข้า SET50 ที่มีประวัติให้ผลตอบแทนสูงในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของทุกปี คือ DEMCO(FV@B18) จึงเลือก เป็น Top pick
ดอลลาร์เริ่มอ่อน น้ำมัน ทองคำ เริ่มฟื้นตัว
วันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐ มีการรายงานอัตราการว่างงาน เดือน ต.ค. ลดลงที่ระดับ 5.8% ดีกว่าตลาดคาด และเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 6 ปี ซึ่งสอดคล้องกับการจ้างงานนอกภาคเกษตร ที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่อง โดยเดือน ต.ค. พบว่าเพิ่มขึ้น 214,000 ตำแหน่ง (เพิ่มมากกว่า 200,000 ตำแหน่ง ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 9) และการจ้างงานภาคเอกชน (ADP) เดือน ต.ค. เพิ่มขึ้น 230,000 ตำแหน่ง (สูงกว่าค่าเฉลี่ย 200,000 ตำแหน่ง ต่อเนื่องเป็นเดือนที่ 7)
การฟื้นตัวที่แข็งแกร่งของตลาดแรงงาน จะหนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐ (FED) เดินหน้าใช้นโยบายการเงินเข้มงวดขึ้น และโอกาสที่จะขึ้นดอกเบี้ยฯ กลางปี 2558 มีความเป็นไปสูง หากอัตราการว่างงานลดลงมาใกล้เคียงเฉลี่ย 5.25% (หรืออัตราการว่างงานเต็มที่) อย่างไรก็ตามยังมี คณะกรรมการ FED ส่วนน้อยที่ไม่สนับสนุนการขึ้นดอกเบี้ยในปี 2558 และ น่าจะไปขึ้นในปี 2559 แทน (นาย Chan Evan กรรรมการ FED สาขาชิคาโก) เนื่องจากยังกังวลต่ออัตราเงินเฟ้อที่ชะลอตัว ล่าสุดเดือน ต.ค. อยู่ที่ 1.7% (vs เป้าหมาย 2%) แต่เนื่องจากเป็นการลดลงตามต้นทุนราคาน้ำมัน เชื่อว่าประเด็นนี้น่าจะมีน้ำหนักน้อย อย่างไรก็ตามระยะสั้น Dollar Index ลดการแข็งค่า หลังจากแข็งค่ามาเป็นเวลานานกว่า 4 เดือน หรือแข็งค่ามากสุดกว่า 10% นับจากเดือน ก.ค. 2557 (ขณะที่เผชิญกับแนวต้านระยะสั้น ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิม กลางปี 2553) ตรงกันข้ามกับราคาทองคำ และราคาน้ำมัน ที่มีการฟื้นตัวกลับมา หลังจากที่อ่อนค่าอย่างมาก สวนทางกับ Dollar Index ในช่วงเดียวกัน
โดยสรุปช่วงสั้น การอ่อนตัวของ Dollar Index และมีทิศทางผันผวน น่าจะกดดันให้หุ้นโลก ผันผวน จนกว่าแนวทางการขึ้นดอกเบี้ยฯ จะมีความชัดเจน และกลับมากดดันตลาดอีกครั้ง ทั้งนี้ติดตามผลการประชุม FED ครั้งสุดท้ายของปีนี้คือ 16-17 ธ.ค. 2557
ต่างชาติซื้อต่อเนื่อง ส่วนสถาบันสลับขายออกมา
แม้ว่าวันศุกร์ที่ผ่านมานักลงทุนต่างชาติยังคงซื้อสุทธิหุ้นในภูมิภาคต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 แต่ปริมาณการซื้อกลับลดลงถึง 69% เหลือเพียงราว 31 ล้านเหรียญฯ และภาพรวมยังคงเป็นการซื้อสลับขายเบาบางรายประเทศ เริ่มจากไต้หวันซื้อสุทธิสูงสุดราว 70 ล้านเหรียญฯ (ซื้อสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 10 แต่ลดลง 43% จากวันก่อนหน้า) ตามมาด้วย ไทยที่ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 4 และเพิ่มขึ้นเกือบ 4 เท่าตัวจากวันก่อนหน้า แตะระดับ 41 ล้านเหรียญฯ (1.4 พันล้านบาท) สวนทางกับ เกาหลีใต้ที่ยังคงขายสุทธิเป็นวันที่ 4 ลดลงเล็กน้อย 8% เหลือราว 55 ล้านเหรียญฯ ขณะอินโดนีเซียและฟิลิปปินส์ต่างสลับมาขายสุทธิราว 15 และ 9 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับจะเห็นว่านักลงทุนต่างชาติ เริ่มกลับเข้ามาซื้อสุทธิหุ้นไทยอีกครั้ง และ ต่อเนื่องอีก 4 วันติดต่อกัน รวม 4.4 พันล้านบาท ทั้งนี้หลังจากที่ขายสุทธิในช่วงก่อนหน้าตั้งแต่ปลายเดือน ก.ย. 57 จนถึงเดือน ต.ค. 57 รวมกว่า 1.9 หมื่นล้านบาท ขณะที่แรงซื้อจากทางฝั่งสถาบันเริ่มชะลอตัวลง โดยสลับมาขายสุทธิอีกครั้งราว 785 ล้านบาท และเป็นการขายสลับซื้อใน 4 วันหลังสุด เชื่อว่าเป็นการชะลอการซื้อในระยะสั้นเท่านั้น แต่อย่างไรก็ตาม และเป็นที่น่าสังเกตว่า กลุ่มนักลงทุนที่พยุงดัชนีในช่วงหลัง คือพอร์ตโบรกเกอร์ซึ่งซื้อสุทธิติดต่อกันถึง 8 วัน รวม 7.3 พันล้านบาท ทำให้อาจจะมีแรงจะมีแรงขายกดดันมาจากนักลงทุนกลุ่มนี้ได้
หุ้นเข้า MSCI และ SET50-SET100 ช่วยหนุน SET
ในช่วงนี้มีประเด็นข่าวบวกหนุนตลาดสลับมาอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้หลังจากที่ หุ้น PTT มีกระแสข่าวว่า อาจจะได้รับผลบวกจากการปรับโครงสร้างราคาของก๊าซธรรมชาติ (NGV) และ ก๊าซหุงต้ม (LPG) ให้ลอยตัว จากปัจจุบัน ที่ถูกกำหนดให้ตรึงไว้ที่ราคาต่ำกว่าตลาดโลกซึ่งหากเป็นไปตามกระแสข่าวจริง คาดว่าจะหนุนให้ผลกำไรของ PTT จะดีกว่าประมาณการ และ สมมติฐานเดิมของ ASP อย่างมากดังที่ได้เขียนไว้ใน Market Talk ของวันศุกร์ที่ผ่านมา
ตามมาด้วย การประกาศรายชื่อหุ้นที่ได้รับคัดเลือกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Global Standard เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ประกอบด้วย DELTA, EA, TUF และไม่มีหุ้นใดถูกคัดออก ส่วนหุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าคำนวณในดัชนี MSCI Small Cap คือ AIRA, EFORL, ICHI, KASET, PCSGH, SAWAD, SUPER (ส่วนหุ้นหุ้นที่ถูกคัดออกคือ CENTEL, DRT, MCOT, M, PS, TFD) ทั้งนี้จากสถิติ พบว่า หุ้นที่ถูกคัดเลือกเข้าคำนวณดัชนี MSCI Global Standard ให้ผลตอบแทนเฉลี่ยราว 4.9% ด้วยความน่าจะเป็น 80% โดยซื้อก่อนวันเริ่มคำนวณ 1 สัปดาห์ และขายวันเข้าคำนวณ (26 พ.ย. 57) ซึ่ง DELTA (FV’58@B78) และ TUF (FV’57@B80, FV’58@B91) มีความน่าสนใจ แต่อย่างไรก็ตาม หากพิจาณาราคาหุ้นทั้ง 2 แห่งได้ปรับขึ้นสูงอย่างรวดเร็วจนใกล้ถึง Fair Value แล้ว ปี 2558 แล้ว ผู้ที่มีหุ้นอยู่จึงแนะนำถือ ส่วนผู้ที่ต้องการซื้อลงทุนแนะนำทำตามกลยุทธ์ คือ รอจังหวะซื้อราคาอ่อนตัวเมื่อใกล้วันเริ่มคำนวณ 1 สัปดาห์(ติดตามอ่านรายงาน QA ฉบับเต็มในวันนี้)
ขณะที่ก่อนหน้านี้ 5 พ.ย. ASP ได้ทำการวิเคราะห์หุ้นที่จะเข้า-ออกใน SET50 และ SET100 ซึ่งจะเริ่มใช้ตั้งแต่ 1 ม.ค.–30 มิ.ย. 2558 (ใช้ข้อมูล ธ.ค.2556 - ต.ค. 2557 จึงต้องรอข้อมูลเดือน พ.ย. อีก 1 เดือน จึงจะได้ข้อสรุปสุดท้าย) ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าหุ้นที่จะเข้า SET50 ในช่วงเวลา 45 วัน เดือน ก่อนจะเริ่มนำเข้าคำนวณ มีความเป็นไปได้ถึง 75% ที่ราคาหุ้นจะปรับเพิ่มขึ้นโดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยสูงถึง 8.1% โดยเลือก SPALI (FV’[email protected], FV’[email protected]) และ DEMCO(FV’57@B18, FV’58@B21) รายละเอียดอ่าน QA ฉบับวันที่ 5 พ.ย. 2557
กลยุทธ์การลงทุนในเดือน พ.ค.-ธ.ค.
คาดว่าในช่วงที่เหลืออีก 2 เดือนของปีนี้ ดัชนีน่าจะผันผวน และ มีโอกาสเคลื่อนไหวในกรอบ 1,550 – 1,590 จุด โดยได้รับแรงหนุนจากแรงซื้อของกองทุนประหยัดภาษี หรือ LTF ซึ่งหากพิจารณาข้อมูลในอดีต 5 ปีย้อนหลัง พบว่าราว 89% ของยอดซื้อทั้งปี จะมากระจุกตัวอยู่ในเดือน พ.ย. และ ธ.ค. ของทุกปี และจะมาเทน้ำหนักส่วนใหญ่ในเดือน ธ.ค. ของทุกปี ดังนั้นแม้ดัชนีตลาดหุ้นไทยจะมี Expected P/E ที่สูง แต่ด้วยแรงซื้อของ LTF คาดว่าจะทำให้ SET น่าจะเคลื่อนไหว 1,550-1,590 จุดได้ และกลยุทธ์ให้เลือกรายหุ้นที่มีพื้นฐานรองรับ หรือมีประเด็นบวกดังกล่าวข้างต้น
นอกจากนี้จากการศึกษาเชิงปริมาณโดยใช้ข้อมูลตั้งแต่ปี 2551 พบว่า หุ้นที่มักให้ผลตอบแทนเป็นบวกด้วยความน่าจะเป็นสูง ช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี มักเป็นหุ้นในกลุ่มส่งออก ได้แก่ กลุ่มส่งออกอาหาร อาทิ GFPT ปรับขึ้นเฉลี่ย 17.3% ด้วยความน่าจะเป็น 100%, TUF เฉลี่ย 7.9% ด้วย ความน่าจะเป็น 83.3% และกลุ่มส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เช่น DELTA ปรับขึ้นเฉลี่ย 11.3% ความน่าจะเป็น 100%, HANA เฉลี่ย 8.1% ความน่าจะเป็น 100% รวมถึงกลุ่มวัสดุก่อสร้างอย่าง SCC ปรับขึ้นเฉลี่ย 4.6% และ SCCC เฉลี่ย 5.9% ความน่าจะเป็นเท่ากันที่ 66.7%
อย่างไรก็ตามหากพิจารณาการเคลื่อนไหวของราคาหุ้นในช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา พบว่าหุ้นบางบริษัทได้มีการปรับขึ้นไปค่อนข้างแรง ได้แก่ HANA 19%, DELTA 19.7%, TUF 11% ขณะที่บางหุ้นราคาปัจจุบันเกิน Fair Value ปี 2557 upside จำกัด เช่น KCE ดังนั้น การเข้าลงทุนในระยะนี้จึงอาจไม่ใช่ระยะเวลาที่เหมาะสมนัก ฝ่ายวิจัยจึงแนะนำเพียงทยอยซื้อสะสมหุ้นเมื่อราคาอ่อนตัว
ทั้งนี้ยกเว้นหุ้น DEMCO ที่เข้าเกณฑ์ในการคำนวณ SET 50 พบว่าในช่วง 2 เดือนสุดท้ายจะให้ผลตอบแทนสูง 6.95% ด้วยความน่าจะเป็น 83.33% ขณะที่ราคาหุ้นยังปรับขึ้นเล็กน้อย จึงยังมี upside จาก Fair Value ปี 2557 11% แต่จะเพิ่ม upside 29% จาก Fair Value ปี 2558
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล