- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 06 July 2021 12:12
- Hits: 14445
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 6-7-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 6 กรกฎาคม 2564
INVESTMENT STRATEGY
ฟื้นตัว :
พลังงานหนุนตลาด
วันนี้คาด SET ฟื้นตัว ในกรอบแนวรับ 1,570 จุด และแนวต้าน 1,590 จุด เน้นหุ้น Oil Plays โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “PTTEP, SPRC”
PTTEP
คาดกำไรหลัก 2Q64 +42% QoQ และ +209% YoY สู่ 1.27 หมื่นล้านบาท จากปริมาณขายโต +13% QoQ และราคาขายเฉลี่ย +7.2% QoQ เราเพิ่มคาดกำไรต่อหุ้นปี 64/65 ขึ้น 17%/25% เพื่อสะท้อนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบปีนี้ที่สูงขึ้นที่ 65 จากเดิมที่ 60 เหรียญสหรัฐ /บาร์เรล)
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 157 บาท
SPRC
คาดกำไรหลักช่วง 2Q64 ปรับขึ้นจากการเข้าสู่ช่วงฤดูการขับขี่ และเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว หนุนความต้องการใช้น้ำมันเบนซินปรับตัวขึ้น (Gasoline Spread +87%QoQ) ส่วนระยะกลางขยายตัวต่อจากเศรษฐกิจภายในฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไป และจะนำไปสู่การเปิดประเทศ
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 10.2 บาท
INVESTMENT THEME
พลังงานหนุนตลาด
PMI ภาคบริการยูโรโซนดีกว่าคาด : วานนี้การรายงานดัชนี PMI ภาคบริการของยูโรโซน ประจำเดือนมิถุนายน ปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 58.3 จุด ดีกว่าตลาดคาดที่ 58.0 จุด และถือเป็นจุดสูงสุดใหม่ บ่งชี้ถึงเศรษฐกิจยูโรโซนมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่อง เช่นเดียวกับทางฝั่งสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี สำหรับทางด้านเอเชีย ยังเผชิญกับตัวเลขการติดเชื้อที่มากขึ้น การกลายพันธุ์ของเชื้อโรค รวมถึงการฉีดวัคซีนที่ยังอยู่ในระดับต่ำ ถือเป็นปัจจัยกดดันในระยะสั้น
พลังงานหนุนตลาด : แนวโน้มเศรษฐกิจโลกที่ฟื้นตัวต่อเนื่อง เป็นปัจจัยสนับสนุนความต้องการในการใช้น้ำมัน ซึ่งคาดว่าจะเป็นแรงหนุนเด่นต่อภาพรวมกำไรหลักของธุรกิจโรงกลั่นในช่วง 2Q64 ให้เติบโตดี สะท้อนจากค่าการกลั่นที่ปรับตัวขึ้น รวมถึงส่วนต่างของผลิตภัณฑ์ต่างๆที่เร่งตัวขึ้นเช่นกัน โดยเฉพาะ ส่วนต่างราคาน้ำมันเบนซินเฉลี่ยในช่วง 2Q64 (Gasoline Spread) ที่ขยายตัวเด่น +87%QoQ ส่วนด้านราคาน้ำมันดิบปรับขึ้นทำจุดสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี หลังการประชุม OPEC+ เมื่อคืนที่ผ่านมาที่ยังไม่สามารถหาข้อสรุปได้ เนื่องจาก UAE ไม่ยอมรับข้อตกลงของกลุ่ม ส่งผลให้ยังไม่มีการปรับเพิ่มกำลังการผลิตราว 4 แสนบาร์เรลต่อเดือน ในช่วง สค.-ธค. ตามที่ตลาดคาด ดังนั้นคาดกลุ่มพลังงานต้นน้ำ (PTTEP), โรงกลั่น (SPRC) คาดช่วยพยุงตลาด
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่ง Sideways ยังมีแรงกดดันจากความเสี่ยง COVID-19 ในประเทศ ขณะที่ปัจจัยบวกใหม่ยังไม่มี โดย SET ปิดที่ 1,579.28 (+0.79) มูลค่าการซื้อขาย 5.8 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 8.1 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 148 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 443 ลบ. ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 6,424 สัญญา)
EYES ON
6 ก.ค. PMI ภาคบริการของ US, ISM ภาคบริการของ US
7 ก.ค. รายงานการประชุม FED รอบที่ผ่านมา
8 ก.ค. ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก ของ US, สต๊อกน้ำมันดิบรายสัปดาห์ของ US
9 ก.ค. ดัชนี CPI ของจีน
Major Cineplex Group (MAJOR)
ขายหุ้น SF ให้ CPN
BUY
Share Price THB 25.25
12 m Price Target THB 28.00 (+11%)
Previous Price Target THB 28.00
ประเด็นการลงทุน
แม้การขายหุ้น SF จะกระทบต่อผลประกอบการของ MAJOR แต่จะได้กระแสเงินสดเข้ามาทำให้ฐานะการเงินแข็งแกร่งขึ้น และได้กำไรพิเศษซึ่งเราคาดว่ามีความเป็นไปได้ในการจ่ายเงินปันผลพิเศษส่วนหนึ่ง ขณะที่โรงหนังของ MAJOR และแผนขยายสาขาโรงหนังคาดว่ายังคงเป็นไปตามเดิม ผลประกอบการจะฟื้นตัวเมื่อการระบาดของโควิดคลี่คลาย เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 28 บาท
ขายหุ้น SF ที่ราคา 12 บาท/หุ้น ให้ CPN
เมื่อวานนี้ที่ประชุมคณะกรรมการ MAJOR มีมติให้ขายหุ้น SF ที่ถืออยู่ทั้งหมด 647.16 ล้านหุ้น หรือ 30.36% ให้กับ CPN ที่ราคาหุ้นละ 12 บาท โดย MAJOR จะมีการประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นเพื่อขออนุมัติในวันที่ 27 ส.ค. 64 และคาดว่าจะได้รับเงินจากการขายหุ้นรวม 7,766 ล้านบาท ในวันที่ 30 ส.ค. 64 โดย MAJOR จะนำไปคืนเงินกู้ 5,300 ล้านบาท ใช้ในการขยายธุรกิจ 265 ล้านบาท และ ใช้เป็นเงินทุนหมุนเวียน 2,200 ล้านบาท
กระทบต่อกำไร แต่ได้กระแสเงินสดเข้ามา
MAJOR จะได้กำไรจากขายหุ้นหลังหักภาษี 2,824 ล้านบาท หรือคิดเป็น 3.16 บาท/หุ้น เราเห็นว่ามีโอกาสที่ MAJOR จะจ่ายเงินปันผลพิเศษบางส่วน เราคาดการณ์ที่ 1 บาท/หุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 4% ส่วนการนำเงินที่ได้รับจากการขายหุ้นไปคืนเงินกู้คาดว่าจะทำให้อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อทุนลดลงจาก 0.5 เท่า กลายเป็นเงินสดสุทธิ (Net cash) และประหยัดดอกเบี้ยจ่ายประมาณ 250 ล้านบาท/ปี อย่างไรก็ดี MAJOR จะไม่ได้รับส่วนแบ่งกำไรจาก SF ที่เคยรับรู้ประมาณ 600 ล้านบาท/ปี โดยรวมแล้ว เบื้องต้นเราคาดว่าจะทำให้กำไรของ MAJOR ในปี 2565 ลดลงจากประมาณการเดิมของเรา 35-37% โดยเราจะมีการปรับประมาณการเมื่อดีลนี้ผ่านมติที่ประชุมผู้ถือหุ้น
ยังขยายสาขาโรงหนังได้ตามแผน
MAJOR เข้าลงทุนและเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ใน SF มาตั้งแต่ปี 2546 เพื่อเป็นพันธมิตรทางธุรกิจในการเปิดโรงหนังไปกับโครงการของ SF เราเชื่อว่าโรงหนังของ MAJOR จะยังคงเปิดในโครงการของ SF ต่อไปตามเดิม และคาดว่าไม่กระทบต่อการแผนขยายสาขาโรงหนัง โดย MAJOR ยังคงมีการขยายสาขาไปกับ Modern trade และ CPN
ความเสี่ยง: โควิด-19 ระบาดมากขึ้น หนังฟอร์มใหญ่เลื่อนฉาย เหตุการณ์ไม่สงบ
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
PTT Exploration & Production (PTTEP TB)
น้ำมันดิบ/ปริมาณหนุนกำไรหลัก 2Q64
BUY
Share Price THB 119.00
12 m Price Target THB 157.00 (+32%)
Previous Price Target THB 148.00
คาดกำไรหลัก 2Q64 พุ่ง 42% QoQ
เราคาดว่ากำไรหลักไตรมาส 2/64 จะเพิ่มขึ้น 42% QoQ และ 209% YoY แตะ 1.27 หมื่นล้านบาท จากการเติบโตของปริมาณ 13% QoQ และ ASP เพิ่ม 7.2% QoQ โดยปริมาณขาย 2Q64 คาดอยู่ที่ 434KBOED ซึ่งดีกว่าที่คาดก่อนหน้าที่ 416KBOED จากการรับก๊าซที่สูงขึ้นจากโครงการไทยและยอดขายที่เพิ่มขึ้นจากโอมาน (42KOED) และ Sabah H. ราคาของเหลวและก๊าซ 2Q21 เพิ่มขึ้น 10% และ 2% QoQ เป็น 66.4 เหรียญสหรัฐ /บาร์เรล และ 5.73 เหรียญสหรัฐ/mmbtu ต้นทุนต่อหน่วยคาดว่าจะขยับขึ้น 2.5% เป็น 28.7 เหรียญสหรัฐ/BOE (รวมการตัดจำหน่ายแหล่งในเมียนมาร์) ปริมาณที่สูงขึ้นช่วยลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน/บาร์เรล (OPEX/bbl) ให้ต่ำได้ ทั้งนี้ PTTEP จะบันทึกขาดทุนป้องกันความเสี่ยงด้านน้ำมัน 70-90 ล้านเหรียญสหรัฐฯ เทียบกับขาดทุน 107 เหรียญสหรัฐฯ ใน ไตรมาส 1/64 ส่วนผลขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนจะถูกชดเชยด้วยสัญญาซื้อขายล่วงหน้า จะมีการประชุมนักวิเคราะห์ในวันที่ 30 ก.ค.นี้
เพิ่มคาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 64/65 ขึ้น 17%/ 25%
เราเพิ่มคาดการณ์กำไรต่อหุ้นปี 64/65 ขึ้น 17%/25% เพื่อสะท้อนสมมติฐานราคาน้ำมันดิบปีนี้ที่สูงขึ้นที่ 65 เหรียญสหรัฐ /บาร์เรล (เทียบกับ 60 เหรียญสหรัฐ /บาร์เรล) และต้นทุนต่อหน่วยที่ลดลง (28 เหรียญสหรัฐ/BOE เทียบกับ 29 เหรียญสหรัฐ/BOE) ราคาน้ำมันดิบ Brent YTD เฉลี่ย 66 เหรียญสหรัฐ /บาร์เรล และคาดจะยังดีต่อเนื่องตลอดปีจากอุปทานที่ตึงตัว ผู้บริหารยังคงสมมติฐานราคาน้ำมันดิบดูไบปี 64 ไม่เปลี่ยนแปลงที่ 60 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เรามองมีอัพไซด์ต่อกำไรจากราคาก๊าซที่สูงขึ้นสำหรับปี 64 ผู้บริหารคาดราคาก๊าซทั้งปีอยู่ที่ 5.6-5.7 เหรียญสหรัฐ/mmbtu โดยสัญญาซื้อขายจะมีการรีเซ็ตทุกไตรมาสที่ 2 และ 4 โดยราคาก๊าซที่เพิ่มขึ้น 1 เหรียญสหรัฐ / mmbtu จะเพิ่ม NPAT ปี 64 ขึ้น 900 ล้านบาทหรือ 2.1%
ประเด็นแหล่งเอราวัณ ไม่น่ากังวล
ความไม่แน่นอนในการเข้าถึงแหล่งเอราวัณนั้นส่งผลต่อราคาหุ้น แต่เราเชื่อว่าตลาดกังวลเกินไป เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว บทความใน นสพ.บางกอกโพสต์ระบุว่าก๊าซที่เพิ่มขึ้นจากแหล่งบงกชและแหล่งอาทิตย์อาจไม่เพียงพอที่จะชดเชยปริมาณที่หายไปจากแหล่งเอราวัณ 200-300mmscfd และ PTTEP จะต้องนำเข้า LNG 20% ของปริมาณที่ขาดหายไป (5-10KBOED) โดยมีการคาดการณ์ก่อนหน้านี้ว่าก๊าซจากแหล่งบงกชและอาทิตย์น่าจะเพียงพอ ส่งผลให้เกิดความไม่แน่นอน PTTEP กำลังศึกษาสมมติฐานภายใน สมมติว่า 10KBOED ของการนำเข้า LNG ที่ราคาสปอต 6.6 เหรียญสหรัฐ/mmbtu (ASP ก๊าซอยู่ที่ 5.7 เหรียญสหรัฐ/mmbtu) กระทบกำไรปี 65 ประมาณ 2% ซึ่งถือว่าน้อยมาก
คงแนะนำ ซื้อ เพิ่มราคาเป้าหมายเป็น 157 บาท
เราเพิ่มราคาเป้าหมายจาก 148 บาทเป็น 157 บาท (14.5x 21E P/E, +0.3 SD) เพื่อให้สอดคล้องกับการปรับแก้ EPS เราปรับลดเป้าหมายหลายเท่าจาก 16 เท่า เนื่องจาก upside ในระยะสั้นของราคาน้ำมันดิบลดลงและความไม่แน่นอนใหม่เกี่ยวกับความล่าช้าของแหล่งเอราวัณ อย่างไรก็ตาม PTTEP ควรซื้อขายที่ราคาพรีเมียมจากการขายสินทรัพย์ Oil Major ซึ่งจะทำให้ PTTEP สามารถเลือก M&A ได้มากขึ้น
Kaushal Ladha, CFA
(66) 2658 5000 ext 1392
TOA Paint (Thailand) (TOA)
คาดกำไร 2Q64 จะชะลอ แต่ปีนี้จะเติบโต
BUY
Share Price THB 32.50
12 m Price Target THB 40.00 (+23%)
Previous Price Target THB 40.00
ประเด็นการลงทุน
คาด2Q64จะมีกำไรที่ชะลอตัวลงเหลือ 550ล้านบาท (-18%QoQ, -7%YoY) แต่ถ้าหากไม่รวมรายการพิเศษจะมีกำไรปกติที่ดีขึ้นจากปีก่อน 5%YoY ผลประกอบการที่ชะลอตัวเนื่องจากตลาดในประเทศเข้าสู่ช่วงโลซีซั่น การแพร่ระบาดของ Covid-19 ทั้งไทยและต่างประเทศ แนวโน้มผลประกอบการปี2564คาดจะเติบโตได้ดี จากการเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “MEGA PAINT Warehouse” บวกกับ TOA เป็นผู้นำผลิตภัณฑ์สีในประเทศไทยมีส่วนแบ่งตลาด 49% และ อาเซียน 13% ราคาหุ้นทรุดลงจากบริเวณ 38 บาท เหลือ 32.5 บาท ทำให้มีอัพไซด์ 23% เราคงแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 40 บาท
คาดกำไร 2Q64 จะชะลอตัว 550 ล้านบาท (-18%QoQ, -7%YoY)
คาดผลประกอบการ 2Q64 จะมีกำไรที่ชะลอตัวลงเหลือ 550 ล้านบาท (-18%QoQ, -7%YoY) แต่ถ้าหากไม่รวมรายการพิเศษจะมีกำไรปกติที่ดีขึ้นจากปีก่อน 5%YoY ผลประกอบการที่ชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อน เนื่องจากประเทศไทยเข้าสู่ช่วงโลซีซั่นมีวันหยุดเทศกาลหลายวัน ในขณะที่ตลาดหลักที่เวียดนาม (สัดส่วน 6%-8%) มีการระบาดของ Covid-19 ระลอกใหม่ มีการคุมเข้มมากขึ้น เราคาดยอดขายจะชะลอตัวลงเหลือ 4,040 ล้านบาท (-9%QoQ, +1%YoY) การปรับราคาขึ้นชดเชยต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับขึ้นคาดจะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นทรงตัวจากไตรมาสก่อน และ ปีก่อนได้ 36.5%
คาดผลประกอบการปี 2564 จะเติบโตได้ดี
แนวโน้มยอดขายในปี 2564 เราคาดจะเติบโต 7.5% สู่ระดับ 17,518 ล้านบาท โดยตลาดในประเทศคาดจะเติบโตเล็กน้อย 3-5% ส่วนต่างประเทศจะเติบโตดีกว่า 10-15% และ ได้แรงหนุนจากการเปิดตัวโมเดลธุรกิจใหม่ “MEGA PAINT Warehouse” ศูนย์รวมวัสดุก่อสร้างและบริการจากทีโอเอครบวงจร แบบ One stop service ไตรมาสสามมีแผนจะเปิดเพิ่มเป็น 4 สาขา จากปัจจุบัน 1สาขา และ ในไตรมาสสี่ จะเปิดเพิ่มเป็นมากกว่า 10 สาขา เพื่อสนับสนุนการเติบโตในอนาคต ทั้งนี้ TOA ได้ทยอยปรับราคาขายขึ้น 5-10% ในเดือน มี.ค.ประมาณ 15% ของพอร์ต และ ในเดือน พ.ค.-มิ.ย. ราคาที่ปรับขึ้นจะเป็น 80% ของพอร์ต จะทำให้อัตรากำไรขั้นต้นปีนี้ไม่ลดลงมากนัก เราคาด 36.3% เทียบกับปีก่อน 36.9% และ มี EBITDA margin 19.4% ลดลงจากปีก่อนเล็กน้อย 19.6% ทำให้มีกำไรเท่ากับ 2,327 ล้านบาท เติบโต 14%
คงแนะนำ ซื้อ เป้าหมาย 40 บาท
เราประเมินราคาเป้าหมายเท่ากับ 40 บาท บนฐาน Forward P/E เฉลี่ยประมาณ 35 เท่า ราคาหุ้นปัจจุบันได้ปรับลดลงจนมีอัพไซด์ 23% เราคงแนะนำ ซื้อ
ความเสี่ยง : ภาวะเศรษฐกิจ ก่อสร้าง ในภูมิภาคและในประเทศ / ต้นทุนวัตถุดิบหลักเป็นไปตามราคาน้ำมัน / ภาวะการแข่งขันกับบริษัทคู่แข่ง
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ