- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 04 June 2021 21:18
- Hits: 3557
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 4-6-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 4 มิถุนายน 2564
INVESTMEAT STRATEGY
ย่อสร้างฐาน :
โอกาสลด QE มากขึ้น
วันนี้คาด SET ย่อสร้างฐาน ในกรอบแนวรับ 1,610 จุด และแนวต้าน 1,630 จุด เน้นหุ้น Pent-up demand ในประเทศ โดย ATO Picks วันนี้แนะ“CRC, PTG”
CRC
คาด SSSG ในช่วง 2Q64 เร่งขึ้นจากฐานที่ต่ำ หนุนกำไรหลักฟื้นตัว ผสานกับธุรกิจต่างประเทศ ที่อิตาลีมีแนวโน้มที่กลับมาเติบโต ส่วนด้านการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายยังทำได้ดีต่อเนื่อง และระยะสั้นคาดได้แรงบวกจากการเร่งฉีดวัคซีน รวมถึงมาตรการยิ่งใช้ยิ่งได้ของภาครัฐฯ
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 40.0 บาท
PTG
ความคืบหน้าในการเร่งฉีดวัคซีนในประเทศ เพิ่มโอกาสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจไทยในช่วงครึ่งปีหลัง ซึ่งจะเป็นแรงหนุนบวกต่อการใช้น้ำมันที่สูงขึ้น คาดบวกต่อยอดขาย PTG ฟื้นตัว ผสานกับธุรกิจ Non-Oil และธุรกิจไบโอดีเซลที่คาดจะฟื้นตัวมากขึ้นในช่วงครึ่งปีหลังเช่นกัน
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 24.0 บาท
INVESTMENT THEME
โอกาสลด QE มากขึ้น
เศรษฐกิจ US ฟื้นเด่น เพิ่มโอกาสลด QE : วานนี้สหรัฐฯรายงานตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนเดือนพฤษภาคม จาก ADP พบว่าปรับตัวขึ้นโดดเด่นถึง 9.78 แสนตำแหน่ง สูงสุดในรอบ 11 เดือน จากเดือนเมษายน ที่ขยายตัว 7.42 แสนตำแหน่ง และถือว่าดีกว่าตลาดคาดที่ 6.5 แสนตำแหน่ง สอดคล้องกับการรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานสหรัฐฯรายสัปดาห์ที่ 3.85 แสนราย จากสัปดาห์ก่อนที่ 4.06 แสนราย ต่ำกว่าคาดที่ 3.87 แสนราย เป็นจุดต่ำสุดใหม่ตั้งแต่สหรัฐฯเผชิญกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 บ่งชี้ภาคแรงงานสหรัฐฯยังฟื้นตัวได้โดดเด่น เช่นเดียวกับดัชนี ISM ภาคบริการเดือนพฤษภาคมที่เติบโตสู่ระดับ 64 จุด ดีกว่าคาดที่ 63.2 จุด สูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยสัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯเร่งตัวขึ้นเด่นเช่นนี้ อาจจะส่งผลต่อการตัดสินใจปรับลดขนาดวงเงินของ QE ในการประชุม FED ครั้งถัดไปได้ (15-16 มิถุนายน) ดังนั้นตลาดสินทรัพย์เสี่ยงอาจมีแรงกังวลเพิ่มเติมขึ้น แนะจับตาตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯในช่วง 2 สัปดาห์แรกของเดือนมิถุนายนอย่างใกล้ชิด ส่วนปัจจัยในประเทศ ยังคงต้องติดตามการฉีดวัคซีนในช่วงเดือนมิถุนายน ที่คาดจะเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถือว่าเป็นความคาดหวังที่สำคัญต่อการผ่อนคลายสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศ และจะนำไปสู่การฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในช่วงถัดไป หากทำได้ตามเป้าหมายที่ภาครัฐฯได้ตั้งเป้าไว้
MARKET SUMMARY
วันพุธที่ผ่านมา SET แกว่ง Sideways โดยมีแรงขายมากในกลุ่มธนาคารพาณิชย์ โดย SET ปิดที่ 1,617.55 (-1.04) มูลค่าการซื้อขาย 1.01 แสนล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 1.16 แสนล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย1,335 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 44 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 12,658 สัญญา)
EYES ON
3 มิ.ย. การจ้างงานภาคเอกชน US (ADP), ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, PMI ภาคบริการ ของ US & Eurozone
4 มิ.ย. ดัชนี CPI ของไทย, การจ้างงานนอกภาคเกษตร US, อัตราการว่างงาน US
Prima Marine (PRM)
การเติบโตเด่น จะไปเกิดเอาปี 2565
BUY
Share Price THB 7.45
12 m Price Target THB 8.50 (+14%)
Previous Price Target THB 10.00
ประเด็นการลงทุน
เราคงคำแนะนำ “ซื้อ” ทว่าปรับลดกำไรสุทธิ และราคาเหมาะสมปีนี้ลง 15% เป็น 8.50 บาท อิง P/E 14.4 เท่าตามเดิม เพราะมองว่าปีที่ดีที่สุดได้ผ่านไปแล้วในปี 2563 ที่เติบโตทั้งกำไร และสร้างมาร์จิ้นที่สูงเป็นประวัติการณ์ ขณะที่ปี 2564 PRM กำลังท้าท้ายกับการรับมอบและปรับปรุงประสิทธิภาพกองเรือใหม่ TM กว่า 19 ลำ เพื่อให้มาสนับสนุนกำไรของ PRM ในระยะยาว ซึ่งเราเชื่อว่า จะเริ่มเห็นผลลัพธ์ที่ดีอย่างชัดเจนในปี 2565 โดยเราจะทบทวนสมมติฐานอีกครั้งหลังงบไตรมาส 2/64 เริ่มแสดงผลออกมา
ดีลซื้อ ไทยออยล์มารีน (TM) เสร็จแล้วเมื่อ 30 เม.ย. 2564
โดย PRM ได้จ่ายเงินเข้าซื้อราว 900 ลบ. และได้รับมอบเรือ 19 ลำ ได้แก่ Tanker 5 ลำ Crew boat 13 ลำ และ VLCC 1 ลำ มาบริหาร ทำให้กองเรือรวมจะมีขนาดใหญ่ขึ้นเป็น 59 ลำ เริ่มทำงานทันทีในเดือน พ.ค. 64 โดย PRM จะต้องจัดหาเรือ VLCC ให้ TOP อีก 2 ลำภายในปีหน้า และจะมีธุรกิจด้วยกันในเรื่องการจัดหาเรือต่างๆในอนาคตอีกด้วย ทำให้ความสัมพันธ์เชิงธุรกิจระหว่าง PRM และ TOP จะแน่นแฟ้นยิ่งขึ้นไปอีกอย่างมีนัยสำคัญ
ทิศทางไตรมาส 2/64 คาดกำไรแกว่งรอบๆไตรมาสแรก
หลังจากรายงานกำไรสุทธิเป็นไปตามตลาดคาดที่ 400 ลบ. ลดลง -3.2% QoQ และ +50.3% YoY เราคาดว่าทิศทางไตรมาส 2/64 จะฟื้นตัวได้ แม้ว่าอุปสงค์น้ำมันอากาศยานจากการท่องเที่ยวในภาคใต้ยังไม่ฟื้นเพราะ COVID-19 แต่ทว่า (1) กลุ่มเรือ Domestic Tanker 30 ลำ เริ่มได้อุปสงค์จากน้ำมันแก๊สโซลีน ดีเซล ฟื้นตัวเข้ามาชดเลย (2) เรือ Aframax ซึ่งมี 1 ลำ จะเริ่มเข้าสู่สัญญาแบบ Time-charter ด้วยค่าระวางที่ดีขึ้นตั้งแต่กลางไตรมาส (3) เรือ FSU 2 ใน 8 ลำ จะกลับเข้าทำงานหลังเข้าซ่อมบำรุงในไตรมาสก่อน แต่ทว่าด้วยต้นทุนน้ำมัน LSFO ในระดับสูง และสถานะการณ์ Backwardation ในตลาดน้ำมัน ทำให้คาด FSU ฟื้นไม่มากนัก (4) เรือ AWB เริ่มกลับมาทำงานหลังได้สัญญายาว 2 ปีตั้งแต่เดือน เม.ย. (5) PRM ได้รับเรือ จาก TM เมื่อ 1 พ.ค. เราคาดรายได้จะเพิ่มขึ้นประมาณ 10-15% จากการเริ่มรวมงบ โดยคาด PRM มีกำไรสุทธิไตรมาส 2/64 ที่ 380-415 ลบ. (vs 1Q64 ที่ 400 ลบ. และ 2Q63 ที่ 442 ลบ.) ยังมีความไม่แน่นอนสูงแปรผันไปตามค่าใช้จ่ายที่เกิดจากการรวมงบการเงิน
ปี 2564 สุดท้าทาย เพื่อเติบโตก้าวกระโดดในปี 2565
เราทดลองนำกลุ่มเรือใหม่ 19 ลำ เข้าในประมาณการตั้งแต่ พ.ค. 64 อย่างระมัดระวัง พบว่ารายได้รวมปี 2564 จะเริ่มแสดงการเติบโตดี +11.3% YoY ทว่ากำไรปกติคาดจะอ่อนตัว -4.4% YoY เนื่องจากผลของการรวมงบแล้ว เราคาดว่า GPM จะลดลง 520bps สู่ 36.3% จากอุปสงค์น้ำมันอากาศยานฟื้นช้า, ต้นทุน LSFO ทรงตัวสูง และอุปสงค์คลังน้ำมันลอยน้ำ (FSU) คาดจะไม่รุนแรงเท่าปี 2563 และ GPM mixed ที่ถูกฉุดของโดยเรือ VLCC อย่างไรก็ดีในปี 2565 คาดจะเห็นกำไรทำสถิติใหม่ที่ 1.7 พัน ลบ. +15.6% YoY เมื่อ PRM จัดการ TM ได้อย่างเสร็จสรรพ
Jaroonpan Wattanawong
(66) 2658 6300 ext 1404
Nawarat Patanakarn (NWR)
Backlog สูงสุดใหม่ แต่กำไรไม่แน่นอน
SELL (Prior:HOLD)
Share Price THB 1.38
12 m Price Target THB 1.20 (-13%)
Previous Price Target THB 0.65
ประเด็นการลงทุน
NWR ได้งานโครงการขนาดใหญ่ต่อเนื่อง ทำให้ Backlog ปัจจุบันพุ่งขึ้นทำสถิติสูงสุดใหม่ 36,100 ล้านบาท และ กำไร1Q64ก็ฟื้นตัวมีกำไรที่ดีขึ้น คาดปี 2564 จะรับรู้รายได้สูง 12,550 ล้านบาท เติบโต 27% ทำให้ผลประกอบการจะฟื้นตัวดีขึ้น แต่ฐานกำไรคาดยังต่ำ และ ผันผวน คาดกำไร 121 ล้านบาท โดยกำไรช่วงที่เหลือของปีคาดจะชะลอตัวจากไตรมาสแรกเนื่องจากต้นทุนวัสดุที่เพิ่มขึ้นสูง เราประเมินราคาเป้าหมาย 1.20 บาท ใกล้เคียงมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเพิ่มจากเดิม 0.65 บาท ที่ให้ส่วนลดจากมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันปรับขึ้นแรงนับจากต้นปี 122%YTD และ ขึ้นมามากกว่าเป้าหมายเรา ดังนั้น เราจึงลดเกรดคำแนะนำลงเป็น ขาย จากเดิม ถือ
1Q64 ฟื้นตัวมีกำไรดีขึ้น
NWR มีผลประกอบการ 1Q64 ที่พื้นตัวมีกำไรที่ดีขึ้น 52 ล้านบาท จากไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 293 ล้านบาท และ ปีก่อนที่มีกำไรเพียง 10 ล้านบาท แรงหนุนจากยอดรับรู้รายได้ที่เพิ่มขึ้น 2,962 ล้านบาท (+11%QoQ, +23%YoY) และ อัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มเป็น 8.9% จาก 0.2% ในไตรมาสก่อน และ 9% ในปีก่อน
Backlog ทำสถิติสูงสุดใหม่ รายได้ปีนี้จะเติบโตสูง
NWR ปัจจุบันมี Backlog ที่สูงถึง 36,100 ล้านบาท ทำสถิติสูงสุดใหม่ สามารถรองรับรายได้ถึง 3 ปี ปัจจุบันมีงานที่กำลังติดตาม 34,116 ล้านบาท ซึ่งตั้งแต่ต้นปีได้งานใหม่แล้ว 13,819 ล้านบาท ปีนี้ตั้งเป้าหมายจะได้งานใหม่ 16,000 ล้านบาท ด้านรายได้ปี 2564 ผู้บริหารตั้งเป้าหมายยอดรับรู้รายได้ 12,000-13,000 ล้านบาท เติบโต 20%-30% แบ่งเป็น งานรับก่อสร้าง 9,200-10,000 ล้านบาท ( โต 20%-30%) จำหน่ายผลิตภัณฑ์คอนกรีต 1,800 ล้านบาท (+15%) ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ 500-600 ล้านบาท (+38%) ธุรกิจร้านอาหาร 100 ล้านบาท (+32%) และ มีเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นธุรกิจก่อสร้าง 6% ชะลอตัวจาก1Q64เท่ากับ 7.4% และ ดีขึ้นมากจากปีก่อน 4.9%
กำไรช่วงที่เหลือของปีคาดจะชะลอตัว
แนวโน้มผลประกอบการช่วงที่เหลือจะชะลอตัวลงจาก 1Q64 เนื่องจากต้นทุนวัสดุ เช่นเหล็กที่สูงขึ้น โดยบางโครงการ เช่น งานสถานีรถไฟสายสีเหลือง และ ชมพู จะเป็นช่วงการใช้เหล็กอาจจะทำให้ต้นทุนมากกว่าประมาณการ เรายังคงประมาณการปี 2564 คาดจะมีรายได้รวม 12,550 ล้านบาท เติบโต 27% โดยประเมินจะมีอัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจรับเหมาก่อสร้าง 6% เมื่อรวมกับธุรกิจอื่นๆจะมีอัตรากำไรขั้นต้น 8.4% ดีขึ้นจากปีก่อนที่มีอัตรากำไรขั้นต้น 6.9% และ คาดจะทำให้มีผลประกอบการที่พลิกมามีกำไรเท่ากับ 121 ล้านบาท ซึ่งไม่เด่นนัก แต่ดีขึ้นจากปี2563ที่ขาดทุน 241 ล้านบาท
ความเสี่ยง : อุปสรรคในการก่อสร้าง ต้นทุนวัสดุก่อสร้าง ปัญหาแรงงาน งานล่าช้า
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web