- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 24 May 2021 19:38
- Hits: 2574
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 24-5-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 24 พฤษภาคม 2564
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
ระมัดระวังปลายสัปดาห์
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ในกรอบแนวรับ 1,540 จุด และแนวต้าน 1,570 จุด เน้นหุ้นได้ประโยชน์จาก COVID-19 โดย ATO Picksวันนี้แนะ “BKI, BCH”
BKI
คาดกำไรปี 64 เติบโต +15%YoY รับอานิสงส์บวกจากการขายประกัน COVID-19 ที่เร่งตัวขึ้น รวมทั้งยอดในการเคลมอุบัติเหตุ และเคลมประกันสุขภาพลดลงอย่างมีนัยสำคัญ ผสานแนวโน้มในการกลับเข้าสู่ดอกเบี้ยขาขึ้น จะทำให้รายได้อกเบี้ยจากการลงทุนปรับตัวสูงขึ้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 320 บาท
BCH
คาดแนวโน้มกำไร 2Q64 จะขยายตัวเด่นทั้ง QoQ และ YoY แรงหนุนเชิงบวกจากการรับรู้รายได้การตรวจวัคซีนในช่วง 2Q64 ที่คาดเร่งตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ (จำนวนเคสตรวจเดือนเมษายน มากกว่าเคสทั้งหมดในช่วง 1Q64) ผสานกับรายได้เพิ่มเติมจาก Hospitel
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 21 บาท
INVESTMENT THEME
PMI สหรัฐฯ แข็งแกร่งเกินคาด : วันศุกร์ที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานดัชนี PMI ภาคการผลิตเดือนพฤษภาคม ขยายตัวต่อเนื่องสู่ระดับ 61.5 จุด จากเดือนก่อนหน้าที่ 60.5 จุด สวนทางกับที่ตลาดคาดที่ 60.2 เช่นเดียวกับตัวเลข PMI ภาคบริการที่ปรับตัวขึ้นอย่างก้าวกระโดดสู่ระดับ 70.1 จุด จากเดิมที่ 64.7 และสวนตลาดคาดมากที่ 64.3 จุด บ่งชี้สัญญาณการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐฯยังคงเดินหน้าอย่างแข็งแกร่ง
PMI ยูโรโซน ภาคบริการขยายตัวเด่น : ส่วนทางด้านยูโรโซน พบว่าการรายงาน PMI ภาคการผลิตที่ 62.8 จุด ใกล้เคียงเดิมแต่ดีกว่าคาดที่ 62.5 จุด ส่วนทางด้าน PMI ภาคบริการปรับตัวขึ้นเด่นสู่ระดับ 55.1 จุด จาก 50.5 และดีกว่าคาดที่ 52.5 จุด สะท้อนสัญญาณการฟื้นตัวของภาคบริการผ่านการทยอยเปิดประเทศมากขึ้นในแถบยุโรปส่งผลบวกต่อเศรษฐกิจ
เพิ่มความระมัดระวังช่วงปลายสัปดาห์ : สัญญาณ PMI ของทั้งสหรัฐฯ และยูโรโซนที่ร้อนแรงขึ้นในระยะสั้น เปิดความเสี่ยงให้ธนาคารกลางมีโอกาสปรับลดมาตรการช่วยเหลือในช่วงถัดไป อีกทั้งปัจจัยในประเทศยังคงได้รับแรงกดดันจากตัวเลขผู้ติดเชื้อที่อยู่ในระดับสูง จึงควรเพิ่มความระมัดระวังมากยิ่งขึ้น โดยสัปดาห์นี้แนะติดตามประเด็นสำคัญในช่วงวันที่ 27 พ.ค. ได้แก่ 1) 1Q64 US GDP 2) Core PCE US และ 3) การปรับดัชนี MSCI ซึ่งรอบนี้คาดมี Fund Flow ไหลออกราว 1.0-1.5 หมื่นล้านบาท
MARKET SUMMARY
วันศุกร์ที่ผ่านมา SET แกว่ง Sideways สอดคล้องกับตลาดหุ้นต่างประเทศ โดยยังไม่มีปัจจัยบวก-ลบใหม่ โดย SET ปิดที่ 1,552.44 (-2.10) มูลค่าการซื้อขาย 8.1 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 9.0 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 2,015 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 814 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 2,491 สัญญา)
EYES ON
25 พ.ค. ส่งออกไทย, ยอดขายบ้านใหม่ US, ความเชื่อมั่นผู้บริโภค US
27 พ.ค. MSCI Rebalancing, 1Q64 US GDP, Core PCE US, ยอดขายสินค้าคงทน US, ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
28 พ.ค. ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค ยูโรโซน
Berli Jucker (BJC)
คาดกำไรฟื้นตัวจากธุรกิจบรรจุภัณฑ์
BUY
Share Price THB 33.75
12 m Price Target THB 44.00 (+30%)
Previous Price Target THB 44.00
ประเด็นการลงทุน
แม้กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภค และบิ๊กซีจะยังคงได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด แต่ธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีคำสั่งซื้อของลูกค้ากลับเข้ามามากขึ้น และได้ผลบวกจากกระแส Sustainable packaging อีกทั้งกลุ่มสินค้าเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์ยังเติบโตต่อเนื่อง เราคาดว่ากำไร 2Q64 ของ BJC จะกลับมาเติบโตได้ทั้ง QoQ และ YoY แนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย 44 บาท (DCF, WACC 7.1%, G.3%)
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะฟื้นตัวได้อย่างต่อเนื่อง
ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ใน 2Q64 คาดว่าจะเติบโตทั้ง QoQ และ YoY จากยอดขายขวดแก้วเพิ่มขึ้นจากกลุ่มลูกค้าเครื่องดื่ม (non-alcohol) และกลุ่มอาหาร มีการส่งออกได้มากขึ้นหลังจากโควิดในต่างประเทศคลี่คลายลง ขณะที่ยอดขายกระป๋องอลูมิเนียมจะฟื้นตัวเนื่องจากลูกค้าที่ส่งออกสินค้าไปเมียนมาร์กลับมาส่งสินค้าไปได้มากขึ้นกว่า 1Q64 ที่มีปัญหาด้าน Supply chain และระบบธนาคาร อัตรากำไรขั้นต้นของธุรกิจบรรจุภัณฑ์มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากการควบคุมต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ส่วนกลุ่มสินค้าเครื่องมือแพทย์และเวชภัณฑ์คาดว่ายังอยู่ในเกณฑ์ดีจากการขายเครื่องเอ็กซ์เรย์ และมีการส่งมอบวัคซีนไข้หวัดใหญ่
กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคและบิ๊กซียังมีแนวโน้มชะลอตัว
กลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคใน 2Q64 ยังถูกกดดันจากการจับจ่ายใช้สอยชะลอ และต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น แต่การควบคุมต้นทุนได้ดีช่วยลดผลกระทบได้ส่วนหนึ่ง ส่วนยอดขายของบิ๊กซี QTD ยังลดลงกว่า 10% YoY จากผลกระทบของโควิด แต่แนวโน้มอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวจากการปรับปรุงคุณภาพสินค้าอาหารสด และเน้นขายสินค้าที่มีอัตรากำไรดี ขณะที่รายได้ค่าเช่าคาดว่าจะยังลดลงจากการให้ส่วนลดค่าเช่า 10% ส่วนการกลับเข้าไปซื้อ MM Mega Market Vietnam ยังอยู่ในแผน แต่ยังไม่มีกำหนดระยะเวลา
คาดกำไรปีนี้ฟื้นตัวจากทั้งยอดขายและอัตรากำไรขั้นต้น
ผู้บริหารยังคงตั้งเป้ายอดขายปีนี้เพิ่มขึ้น 1-7% จากการเติบโตของทุกกลุ่มธุรกิจ โดยธุรกิจบรรจุภัณฑ์ได้ผลบวกจากกระแส Sustainable packaging และการเปลี่ยนจากการใช้กระป๋องเหล็กมาเป็นอลูมิเนียม อีกทั้งมีการผลิตกระป๋องขนาดใหม่ และการเติบโตของ Functional drink ส่วนเป้าหมายอัตรากำไรขั้นต้นของบริษัทคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 50 bps จากกลุ่มสินค้าบรรจุภัณฑ์และสินค้าอุปโภคบริโภค ค่าใช้จ่ายยังควบคุมได้ดี อีกทั้งค่าใช้จ่ายพนักงานลดลงหลังปรับโครงสร้างองค์กรเมื่อกลางปีก่อน
ความเสี่ยง: โควิด-19 ระบาดมากขึ้น ต้นทุนวัตถุดิบเพิ่มขึ้น ลูกค้าชะลอคำสั่งซื้อ
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
TMT Steel (TMT)
2Q64 จะเด่นต่อ แต่ 2H64&2565 จะชะลอ
BUY
Share Price THB 11.20
12 m Price Target THB 13.00 (+16%)
Previous Price Target THB 13.00
ประเด็นการลงทุน
2Q64 มีแนวโน้มจะยังเด่นต่อ 350-400 ล้านบาท ครึ่งหลัง 2564 กำไรจะกลับสู่ปกติ ไตรมาสละประมาณ 120-180 ล้านบาท รวมปี 2564 จะเด่นโตสูง 1,136 ล้านบาท โต 111%YoY ปี 2565 จะลดลงจากปีนี้คาดกำไร 832 ล้านบาท ลดลง 27% แต่ยังเป็นระดับที่ดี สัปดาห์ก่อนหุ้นลงแรง 11% ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ปีนี้ต่ำ 8.6 เท่า ปีหน้า 11.7 เท่า มีอัตราเงินปันผลตอบแทนปีนี้ 9.4% ปีหน้า 6.9% จึงน่าสนใจ เราเพิ่มเกรดเป็น TRADING BUY (จากเดิม ถือ) ด้วยความระมัดระวังจากที่ราคาเหล็กจีนเริ่มผันผวน ประเมินเป้าหมายปีนี้ 13 บาท บนฐานค่าเฉลีย 10 ปี Forward P/E 10 เท่า
2Q64 มีแนวโน้มจะยังเด่นต่อ 350-400 ล้านบาท
ราคาขายของ TMT ในเดือน เม.ย. ปรับขึ้นต่อ 27,900 บาท/ตัน และ 2 สัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. ยังปรับขึ้นต่อ 30,400 บาท/ตัน ล่าสุดขึ้นมาเป็น 35,000 บาท/ตัน เทียบกับราคาขายเดือน มี.ค. 25,480 บาท/ตัน โดย TMT มีสต็อกประมาณ 1.5 เดือน ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเดือน เม.ย. – พ.ค. จะยังดีประมาณ 14%-15% แต่เดือน มิ.ย. คาดราคาขายเหล็กจะอ่อนตัวตามราคาเหล็ก HRC ในประเทศจีนที่สัปดาห์ก่อนทรุดลงแรง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นจะลดลงเหลือ 4%-7% รวมแล้วเฉลี่ยทั้งไตรมาส 2Q64 อัตรากำไรขั้นต้นจะประมาณ 12% ทำให้กำไรจะยังเด่น 350-400 ล้านบาท
ครึ่งหลัง2564กำไรจะกลับสู่ปกติ ปี2565จะลดลงจากปีนี้
เรากังวลผลประกอบการในครึ่งปีหลัง ถ้าหากเหล็กราคาทรง TMT จะมีกำไรปกติไตรมาสละประมาณ 120-180 ล้านบาท จะไม่เด่นเหมือนครึ่งปีแรกที่มีกำไรสูงถึง 350-423 ล้านบาทต่อไตรมาส แต่ถ้าหากเหล็กเปลี่ยนทิศทางปรับลดลง กำไรจะลดลงเหลือเพียงไตรมาสละ 40-80 ล้านบาท ประมาณเราบนสมมติฐานราคาเหล็กขึ้นครึ่งปีแรก และ ทรงในครึ่งปีหลัง ทำกำไรในปี 2564 จะเท่ากับ 1,136 ล้านบาท โต 111% แต่ปี 2565 คาดกำไรจะลดลงเหลือ 832 ล้านบาท ลดลง 27% บนสมมติฐานราคาเหล็กทรงตัวทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในระดับปกติประมาณ 8%
สถานการณ์เหล็กในจีนเริ่มผันผวน เป็นปัจจัยเสี่ยง
จากข้อมูลของ Shanghai SteelHome ราคาเหล็กรีดร้อนชนิดม้วน (HRC) สัปดาห์ก่อนเมื่อวันศุกร์ปรับลดลงแรงเหลือ 5,811 หยวน/ตัน ลดลง 9.5%WoW หลังจากที่ขึ้นไปสูงสุดที่ 6,771 หยวน/ตัน เนื่องจากจีนมีเพิ่มความพยายามในการควบคุมราคาเหล็กที่พุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว ราคาเหล็กรีดร้อนจีนปัจจุบันที่ 5,811 คิดเป็นเงินบาทเท่ากับ 28,322 บาท/ตัน เทียบกับราคาเหล็กรีดร้อนในประเทศ 2 สัปดาห์แรกของเดือน พ.ค. เท่ากับ 35,000 บาท/ตัน จึงมีความเสี่ยงที่ราคาเหล็กในช่วงปลายเดือน พ.ค. และ มิ.ย. จะปรับลดลงตามจีน โดยถ้าหากเหล็กรีดร้อนปรับลดลงจะกดดันกำไรของ TMT
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
TPI Polene (TPIPL)
กำไร 2Q64 จะยังเด่น ปีนี้จะโตสูง
BUY
Share Price THB 1.93
12 m Price Target THB 2.50 (+30%)
Previous Price Target THB 2.20
ประเด็นการลงทุน
กำไร 2Q64 จะยังสูงเด่นเกิน 1 พันล้านบาท แนวโน้มปี 2564 จะเติบโตทั้งสามธุรกิจ คือ ปูนซีเมนต์ ปิโตรเคมี และ โรงไฟฟ้า โดยเฉพาะ ปิโตรเคมี จะเป็นดาวเด่นเติบโตสูงสุด ปรับประมาณการขึ้น คาดกำไรปีนี้ 3,927 ล้านบาท เติบโต 162%YoY จากประมาณการที่ปรับเพิ่มขึ้นทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 2.50 บาท (เดิม 2.20 บาท) บนฐาน บนฐานค่าเฉลี่ย 10 ปี Forward P/E ของกลุ่มวัสดุก่อสร้าง ซึ่งเท่ากับ 14 เท่า แล้วหักด้วยคดีฟ้องร้อง เพิ่มเกรดเป็น ซื้อ จากเดิม ถือ
ผลประกอบการ 2Q64 จะยังเด่น แรงหนุน สเปรด EVA - Ethylene
แนวโน้มผลประกอบการ 2Q64 คาดจะยังเด่นเบื้องต้นประเมินกำไรจะยังเกิน 1 พันล้านบาท หลังไตรมาสแรกมีกำไรสุทธิที่สูงถึง 1,164 ล้านบาท (+189%YoY) ยังได้แรงหนุนสำคัญจาก ธุรกิจปิโตรเคมี 2Q64 มีแนวโน้มจะดีขึ้นจาก 1Q64 ซึ่งมี EBITDA สูงเท่ากับ 904 ล้านบาท (+59%YoY) เนื่องจากสเปรด EVA – Ethylene ที่ยังอยู่ในระดับสูงเกิน 1,500 เหรียญ/ตัน และ รับผลบวกเต็มที่ใน 2Q64 จากราคาที่ปรับขึ้น เพราะไตรมาสแรกจะมี Lag ในการปรับราคา ธุรกิจปูนซีเมนต์-วัสดุก่อสร้าง จะเข้าสู่ช่วงโลซีซั่น แต่การปรับปรุงประสิทธิภาพจะทำให้ EBITDA ยังดีต่อเนื่อง ธุรกิจโรงไฟฟ้า ธุรกิจพลังงานจะได้แรงหนุนจากโรงไฟฟ้า TG8 กลับมาผลิตเต็มที่มากขึ้น และ มีการติดตั้ง Boiler B13-B15 เสร็จ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต
คาดกำไรปีนี้จะเติบโตเด่น ปรับประมาณการขึ้น
แนวโน้มผลประกอบการปีนี้จะเติบโตเด่น ได้แรงหนุนจากทั้งสามธุรกิจ ธุรกิจปิโตรเคมี สเปรด EVA – Ethylene จะอยู่ในระดับสูงเกินประมาณ 1,500 เหรียญ/ตัน ไปถึงไตรมาส 3Q64 เนื่องจากความต้องการที่สูงในตลาดโลกโดยเฉพาะจีน ในขณะที่ชัพพลายจำกัด โดยไตรมาสสี่จะอ่อนลงบ้าง ธุรกิจปูนซีเมนต์ได้แรงหนุนจาก การปรับปรุงเตาเผาปูนทั้ง 4 สายการผลิต และเพื่อให้ใช้เชื้อเพลิง RDF ทดแทนถ่านหินประมาณ 30-40% จะช่วยลดต้นทุนประมาณ 150-200 บาท/ตัน หรือ ประมาณ 1,500 – 2,000 ล้านบาท เมื่อเต็มเฟสในปี 2565 ธุรกิจโรงไฟฟ้า ได้ผลบวกจาก การติดตั้ง Boiler B13-B15 เสร็จ ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้น คาดกำไร 3,927 ล้านบาท เติบโต 162%YoY
ธุรกิจปิโตรเคมี ขึ้นมาเป็นดาวเด่น และ เติบโตสูง
ธุรกิจปิโตรเคมีของ TPIPL มีกำลังการผลิต LDPE / EVA 158,000 ตัน จะเน้นผลิตภัณฑ์ EVA มีสัดส่วนยอดขายประมาณ 90% (ส่วนใหญ่ส่งออก 76%) และ เป็นผลิตภัณฑ์ LDPE มีสัดส่วนเพียง 10% ซึ่งปัจจุบันผลิตภัณฑ์ EVA มีราคาสูงมากกว่า 2,500 เหรียญ/ตัน เหนือราคา LDPE ที่มีราคาประมาณ 1,500 เหรียญ/ตัน
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web