- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 23 April 2021 18:19
- Hits: 3099
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 23-4-2021
AT THE OPEN (#ATO)
S T R A T E G Y R E P O R T / 23 เมษายน 2564
INVESTMENT STRATEGY
ย่อตัว :
สถานการณ์ COVID ยังเสี่ยง
วันนี้คาด SET ย่อตัว แนวรับ 1,550 จุด และแนวต้าน 1,580 จุด เน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรฟื้นตัว โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “BEC, OSP”
BEC (initiation)
การปรับโครงสร้างธุรกิจจะหยุดภาพกำไรที่เป็นขาลงมา 7 ปี โดยคาดปีนี้จะพลิกกลับมามีกำไรถึง 741 ล้านบาท จาก 1) รายได้ค่าโฆษณาที่จะฟื้นตัว +4%YoY จากการกลับมาของคุณสรยุทธ์ 2) อัตรากำไรแข็งแรงขึ้น หลัง Ad.rate ฟื้น และมีการลดต้นทุนคงที่ในสองปีที่ผ่านมา
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 12 บาท
OSP
คาดกำไร 1Q64 เพิ่มขึ้น 7% QoQ และ 7% YoY เป็น 912 ล้านบาท จากส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น การควบคุมต้นทุน และได้รับเงินปันผลจากบริษัทลูก ขณะที่ยอดขายในเมียนมาร์ลดไม่มาก แนวโน้มกำไร 2Q64 ยังอยู่ในเกณฑ์ดีจากการออกสินค้าใหม่ รวมทั้งการลดค่าใช้จ่าย
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 45 บาท
INVESTMENT THEME
สถานการณ์ COVID ยังเสี่ยง
ตัวเลขแรงงาน US ดี แต่ภาคอสังหาหดตัวลง : เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯรายงานตัวเลขผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกรายสัปดาห์ (Initial Jobless Cliams) ปรับตัวลดลงสู่ระดับ 5.47 แสนราย จากสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 5.76 แสนราย และลดลงสวนคาดที่ตลาดประเมินจะเพิ่มขึ้น 6.1 แสนราย แต่อย่างไรก็ดีตัวเลขภาคอสังหาสหรัฐฯยังไม่เด่น โดยวานนี้มีการรายงานยอดขายบ้านมือสอง (Existing Home Sales) เดือนมีนาคม หดตัว 3.7%MoM โดยยังคงต้องติดตามภาพรวมเศรษฐกิจของสหรัฐฯในช่วงถัดไป
ไบเดนส่งสัญญาณขึ้นภาษี : ความกังวลในตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับตัวสูงขึ้นหลังจากวานนี้ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ได้มีการส่งสัญญาณการปรับขึ้นภาษี โดยจะเสนอให้มีการปรับขึ้นอัตราภาษีส่วนเพิ่ม (marginal income tax rate) จาก 37% เป็น 39.6% และปรับขึ้นภาษีกำไรที่ได้จากการลงทุน (capital gains tax) เพิ่มจาก 20% เป็น 39.6% สำหรับผู้ที่มีรายได้มากกว่า 1 ล้านดอลลาร์ต่อปี ประเด็นนี้กดดันให้ตลาดหุ้นสหรัฐฯปรับลดลง 321.41 จุด หรือ -0.94%
ระมัดระวัง COVID-19 ไทย และจับตาส่งออกไทย : ภาพระยะสั้นอาจต้องเพิ่มความระมัดระวังมากขึ้นหลังแนวโน้มการแพร่ระบาด COVID-19 ในประเทศยังน่าเป็นห่วง ส่วนประเด็นในประเทศวันนี้แนะจับตาการรายงานตัวเลขส่งออกไทย เดือนมีนาคม โดยตลาดคาดที่ -1.5%YoY (Max +7.5%, Min -4.5%)
MARKET SUMMARY
23 เม.ย. ส่งออกไทยเดือน มี.ค., PMI ภาคการผลิตและบริการ ของ US และ Eurozone, ยอดขายบ้านใหม่ US
Siam Commercial Bank (SCB TB)
ลด OPEX ผ่านช่องทางดิจิทัล
BUY
Share Price THB 106.50
12m Price Target THB 130.00 (+22%)
Previous Price Target THB 130.00
รับอานิสงส์จากกลยุทธ์ Digital transformation ที่เริ่มต้นขึ้น
เราคาดว่าต้นทุนสินเชื่อจะลดลงและการควบคุมต้นทุนจะดีขึ้น (ได้ประโยชน์จาก digital transformation) ช่วยหนุนการเติบโตของกำไรในปีนี้ เราเห็นอัพไซด์ต่อประมาณการกำไรของเรา (ผลประกอบการไตรมาส 1/64 แตะ 33% ของประมาณการทั้งปี) แต่จะเก็บไว้เป็นบัฟเฟอร์ โดยรอดูการติดเชื้อระลอกที่ 3 จะยืดเยื้อแค่ไหน คงคำแนะนำ ซื้อ ด้วย TP 130 บาท (P / BV ปี 64 ที่ 1 เท่า, ROE 10%) ความเสี่ยงที่สำคัญ คือ NIM ที่อ่อนแอกว่าคาดและคุณภาพสินทรัพย์
Non-NII อาจลดลง QoQ ใน 2Q64
SCB ปรับลดคาดการณ์การเติบโตของ GDP ปี 2564 ลงเหลือ 1.8-2.2% จาก 2.6% เนื่องจากการฟื้นตัวในประเทศช้าจากการระบาดของ COVID ระลอกใหม่ แม้ว่าผลประกอบการไตรมาส 1/64 จะแข้งแกร่งในแง่ของการเติบโตของรายได้ค่าธรรมเนียมและการควบคุม OPEX ที่ดี แต่ธนาคารยังคงเป้าหมายทางการเงินทั้งหมดในปีนี้ไม่เปลี่ยนแปลง โดย Non-NII ที่แข็งแกร่งในไตรมาส 1/64 อาจเป็นช่วงสั้น ๆ เนื่องจากธนาคารมีกำไรจากการทำตลาดล่วงหน้าจากการลงทุนในตลาดจำนวน 3.1 พันล้านบาท ส่วนใหญ่มาจากเงินร่วมลงทุนที่ SCB 10X ซึ่งเป็นบริษัทย่อย สำหรับรายได้ค่าธรรมเนียม ธนาคารยังคงให้ความสำคัญกับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งและธุรกิจประกัน แต่คาดค่าธรรมเนียมอาจลดลงจากการระบาดของโควิดระลอกใหม่ในเดือนเมษายน
สินเชื่อภายใต้โครงการบรรเทาหนี้เพิ่มขึ้นในไตรมาส 1/64
CFO ชี้แนะว่าเงินให้กู้ยืมภายใต้โครงการบรรเทาหนี้เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเป็น 19% หรือ 4.29 แสนล้านบาทในไตรมาส 1/64 เทียบกับ 18% ของสินเชื่อรวมหรือ 4.02 แสนล้านบาทในไตรมาส 4/63 มาจากรายย่อย โดย 80% เป็นการกลับเข้ามาใหม่และ 20% เป็นรายใหม่จาก COVID ระลอกที่ 2 ซึ่งธนาคารเห็นความสามารถในการชำระหนี้ลดลง โดย 60% สามารถชำระหนี้ได้แบบขอเปลี่ยนแปลงเงื่อนไข และ 40% ต้องการความช่วยเหลือมากขึ้น สำหรับการจัดชั้นเงินกู้ในการบรรเทาหนี้ 80-85% จัดอยู่ในขั้นที่ 1 และที่เหลือคือขั้นที่ 2 และ 3
เดินหน้ากลยุทธ์ก้าวสู่ดิจิทัลเพื่อควบคุม opex
SCB ระบุ OPEX ลดลง (-8% YoY ในไตรมาส 1/64) เนื่องจากการควบคุมต้นทุนที่เข้มงวดและได้รับประโยชน์จากกลยุทธ์ก้าวสู่ดิจิทัล จำนวนพนักงานของ SCB ลดลง 11% YoY เป็น 22,900 คน ในขณะที่จำนวนสาขาลดลง 10% YoY เป็น 809 สาขาในไตรมาส 1/64 ธนาคารยังคงเป้าต้นทุนต่อรายได้ไว้ที่ 40-42% ในปีนี้ และอาจลงทุนใหม่เพื่อสร้างรายได้ในอนาคตหากรายได้ยังคงแข็งแกร่งใน 2H64 SCB มีแผนลงทุนในธุรกิจสินเชื่อเพื่อผู้บริโภคเนื่องจากให้ผลตอบแทนจากการปรับความเสี่ยงสูงสุดในขณะนี้
Jesada Techahusdin, CFA
(66) 2658 6300 ext 1395
Osotspa (OSP)
ยังเติบโตได้ในสถานการณ์ที่ยาก
BUY
Share Price THB 36.00
12m Price Target THB 45.00 (+25%)
Previous Price Target THB 45.00
ประเด็นการลงทุน
แม้ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19 แต่คาดว่ากำไร 1Q64 ยังเติบโตได้จากส่วนแบ่งตลาดเพิ่มขึ้น การควบคุมต้นทุน และได้รับเงินปันผลจากบริษัทลูก ขณะที่ยอดขายในเมียนมาร์ลดลงไม่มาก แนวโน้มกำไร 2Q64 ยังอยู่ในเกณฑ์ดีโดยได้อานิสงส์จากมาตรการภาครัฐและการออกสินค้าใหม่ รวมทั้งโครงการ Fit Fast Firm ช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่าย เราคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย (DCF) 45 บาท
คาดกำไรปกติ 1Q64 เพิ่มขึ้น 7% QoQ, YoY
ตลาดเครื่องดื่มชูกำลังใน 1Q64 ติดลบจากโควิด-19 รอบใหม่ แต่ส่วนแบ่งตลาดของ OSP เพิ่มขึ้น YoY ซึ่งตอกย้ำถึงแบรนด์ที่แข็งแกร่ง ขณะที่ตลาด Functional drink ประเภทวิตามินซียังเติบโต และส่วนแบ่งตลาดของ C-Vitt ฟื้นตัวหลังจากลดลงใน 4Q63 ส่วนยอดขายในเมียนมาร์ได้รับผลกระทบไม่มากจากการรัฐประหาร เราจึงคาดว่ายอดขายรวมจะทรงตัว YoY อัตรากำไรขั้นต้นลดลงเล็กน้อย เนื่องจากการปิดซ่อมบำรุงเตาแก้ว แต่จะถูกชดเชยด้วย Fit Fast Firm และโรงงานใหม่ในเมียร์มาร์ที่มีอัตรากำไรดี OSP จะบันทึกเงินปันผลจากบริษัทลูกเข้ามาใน 1Q64 ซึ่งต่างจากปีก่อนที่บันทึกใน 2Q63 เราคาดกำไร 1Q64 เพิ่มขึ้น 7% QoQ และ 7% YoY เป็น 912 ล้านบาท
แนวโน้ม 2Q64 ฟื้นตัวต่อเนื่อง
คาดตลาดเครื่องดื่มชูกำลังฟื้นตัวใน 2Q64 จากฐานต่ำในปีก่อนที่มีการล็อกดาวน์ ประกอบกับการขยายกลุ่มเป้าหมายและขยายเวลาโครงการเราชนะ รวมทั้งมีโครงการคนละครึ่งเฟส 3 ซึ่งเป็นบวกต่อเครื่องดื่มชูกำลังซึ่งมีช่องทางขายหลักในร้านค้าปลีกแบบดั้งเดิม อีกทั้งเตาแก้วจะกลับมาเปิด OSP จะออกสินค้า C-Vitt ใหม่ ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีแนวโน้มเติบโต นอกจากนั้น OSP ได้เริ่มเป็นผู้จัดจำหน่ายหลักของเครื่องดื่ม ยันฮี วิตามิน วอเตอร์ (กลุ่มวิตามินบี) จะทำให้มีรายได้เพิ่มขึ้นใน 2Q64 เป็นต้นไป
ยังเติบโตได้อย่างมั่นคงแม้ในสถานการณ์ที่ยาก
ยอดขายในไทยคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวได้ดีหากจากการระบาดของโควิดผ่อนคลายลง ส่วนอุปสงค์ของเครื่องดื่มชูกำลังในเมียนมาร์ยังคงมีอยู่ในสถานการณ์ปัจจุบันจากการมีแบรนด์ที่แข็งแกร่งและความเชี่ยวชาญในการบริหารจัดการเนื่องจากอยู่ในตลาดมานาน ส่วนโรงงานขวดแก้วที่เมียนมาร์คาดว่าจะเสร็จใน 2H64 ได้ตามแผน โครงการ Fit Fast Firm คาดว่าจะช่วยลดต้นทุนและค่าใช้จ่ายไม่ต่ำกว่า 1 พันล้านบาทในปีนี้จากการปรับสูตรเครื่องดื่ม การใช้ขวดน้ำหนักเบา และบริหารคลังสินค้า รวมทั้งใช้ Fit Fast Firm ที่เมียนมาร์ด้วย ฐานะการเงินแข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ ทำให้มีโอกาสลงทุนเพิ่มได้อีกมาก จ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอ (Pay-out 93-94% ปี 62-63) อัตราผลตอบแทน 3%
ความเห็น: ราคาวัตถุดิบเพิ่มขึ้น การเพิ่มภาษีเครื่องดื่ม เงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยยะ การขยายไปต่างประเทศไม่ประสบความสำเร็จ ประเด็นการเมืองในเมียนมาร์
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web