- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Friday, 09 April 2021 19:02
- Hits: 1818
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 9-4-2021
INVESTMENT STRATEGY
Sideways :
มองหาโอกาสซื้อ
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways แนวรับ 1,550 จุด และแนวต้าน 1,575 จุด เน้นหุ้นที่คาดกำไร 1Q64 เด่น โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “DCC, SCC”
DCC
คาดผลประกอบการ 1Q64 มีแนวโน้มทำสถิติสูงสุดใหม่ราว 460 ล้านบาท (+27%QoQ, +25%YoY) และภาพ ปี 2564 คาดจะเติบโตต่อแรงหนุนจากการออกผลิตภัณฑ์ใหม่ ปรับราคาขึ้น ชดเชยต้นทุนก๊าซที่เพิ่มขึ้น เสริมด้วยรายได้ค่าเช่า และคาดอัตราปันผลที่สูงถึง 7.0% ต่อปี
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 3.18 บาท
SCC (Upgrade)
คาดกำไร1Q64จะเด่นและโตสูง 12,700 ล้านบาท (+58%QoQ, +82%YoY) แรงหนุนสำคัญจากธุรกิจปิโตรเคมี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และ การขยายกำลังการผลิต คาดจะหนุนผลประกอบการปีนี้เติบโตได้ดี ปรับประมาณการและเป้าหมายเพิ่มขึ้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 450 บาท
INVESTMENT THEME
ย่อสะสมอะไรดี
-ปรับฐานรอบนี้เป็นโอกาสสะสม : ภาพรวมการลงทุนในช่วงที่ผ่านมาตลาดหุ้นไทยปรับฐานจากบริเวณ 1600 จุด โดยมีปัจจัยกดดันจากทั้งในเชิง Valuation ที่อยู่ในช่วงที่ค่อนข้างตึงตัว ผสานกับได้รับแรงกดดันใหม่จากการกลับมาแพร่ระบาดของ COVID-19 ในประเทศที่ค่อนข้างรุนแรง ส่งผลให้ตลาดเกิดความกังวลค่อนข้างมากต่อภาพเศรษฐกิจไทยที่อาจฟื้นตัวได้ช้ากว่าคาดหากเหตุการณ์บานปลายออกไป โดยล่าสุดท่าทีของภาครัฐฯที่จะไม่ดำเนินมาตรการการ Lockdown ทั้งหมด ส่งผลให้ภาวะการลงทุนดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดีตัวเลขผู้ติดเชื้อรายวันยังค่อนข้างรุนแรง ดังนั้นคงต้องติดตามการแพร่ระบาดในรอบนี้อย่างใกล้ชิด
-แล้วย่อสะสมอะไรดี? : การปรับฐานรอบนี้ ยังมองเป็นจังหวะทยอยซื้อ เนื่องจากยังคาดว่าภาพรวมของเศรษฐกิจในช่วงครึ่งปีหลังยังมีแนวโน้มที่ฟื้นตัวขึ้น โดยสำหรับธีมการลงทุนในการปรับฐานนี้ที่น่าสนใจ นำโดย 1) กลุ่มที่ได้รับผลกระทบจาก COVID-19 แต่มีการคุมต้นทุนจากการดำเนินการได้ดี และมี pent-up demand (BDMS, HMRPO, M, MAJOR, MINT) 2) หุ้นที่อยู่ Zone บน รอจังหวะย่อซื้อ (DOHOME, EPG, HANA, JMART, KCE) 3) หุ้นที่คาดกำไร 1Q64 เด่น และมีปัจจัยหนุนต่อใน 2Q64 (BANPU, IRPC, SCC, SPALI, SONIC) และ 4) หุ้นที่ปี 2564 กำไรเติบโตดี และมีการจ่ายปันผลเด่น (BBL, DCC, ICHI, NER, STGT)
SET
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
1,558.83 +2.27
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 8 เม.ย. 64
นักลงทุน สุทธิ
สถาบัน -909.20
บัญชี บล. -512.93
ต่างชาติ 334.18
ในประเทศ 1,087.95
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่งแคบ โดยมีแรงซื้อเล็กน้อยหลังตลาดปรับฐานช่วงก่อนหน้า แต่อย่างไรก็ดีสถานการณ์ยังมีความเสี่ยง โดย SET ปิดที่ 1,558.83 (+2.27) มูลค่าการซื้อขาย 8.4 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 1.08 แสนล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 334 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 909 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 4,870 สัญญา)
EYES ON
9 เม.ย. ดัชนี CPI และ PPI จีน, ดัชนี PPI US
Siam Cement (SCC)
กำไร 1Q64 จะเด่น ปรับประมาณการขึ้น
BUY
Share Price THB 389.00
12m Price Target THB 450.00(+16%)
Previous Price Target THB 430.00
ประเด็นการลงทุน
คาดกำไร 1Q64 จะเด่นและโตสูง 12,700 ล้านบาท (+58%QoQ, +82%YoY) แรงหนุนสำคัญจากธุรกิจปิโตรเคมี การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก และ การขยายกำลังการผลิต คาดจะหนุนผลประกอบการปีนี้เติบโตได้ดี ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น ในอนาคต 2-3 ปีข้างหน้าจะเข้าสู่เฟสของการเติบโต แรงหนุนจากทั้งสามธุรกิจ คือ ธุรกิจปิโตรเคมี กำลังการผลิตจะเพิ่ม70% ธุรกิจปูนซีเมนต์-ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง เน้นเซอร์วิสและโซลูชั่น ไปรีเทล ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร ตั้งเป้าจะโตเป็น 2 เท่าใน 5 ปีข้างหน้า คงแนะนำ ซื้อ เพิ่มเป้าหมายเป็น 450 บาท บนฐาน Forward P/E+0.5SD = 13.9 เท่า จาก 430 บาท
คาดกำไร 1Q64 จะเด่นเติบโตสูง แรงหนุนธุรกิจปิโตรเคมี
SCC จะประกาศผลประกอบการ 1Q64 ในวันที่ 28 เม.ย. นี้ เราคาดจะมีกำไรที่เด่น และ เติบโตสูง 12,700 ล้านบาท (+58%QoQ, +82%YoY) แรงหนุนสำคัญจากธุรกิจปิโตรเคมี ที่มีความต้องการในจีนและภูมิภาคนี้ที่สูง ทำให้ปริมาณขายของ SCC จะเพิ่มเป็น 470,000 ตัน (+22%QoQ, +12%YoY) และ มีสเปรดที่ดี คือ HDPE – Naphtha เท่ากับ 591 เหรียญ/ตัน (0%QoQ, +48%YoY) และ PP – Naphtha เท่ากับ 795 เหรียญ/ตัน (+8%QoQ, +44%YoY) รวมถึงสเปรดใน PVC ที่สูงถึง 608 เหรียญ/ตัน (+16%QoQ, +39%YoY) นอกจากนี้ By product คือ Benzene , Toluene ก็มีสเปรดที่ดี รวมไปถึง ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุน และ กำไรในสต็อกอีก 1.2 พันล้านบาท ดังนั้น เราคาดกำไรปิโตรเคมีในไตรมาสแรกจะสูงถึง 8,000 ล้านบาท (+37%QoQ, +350%YoY)
ธุรกิจปูนซีเมนต์ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง และ บรรจุภัณฑ์ครบวงจร คาดจะเติบโต
ความต้องการปูนซีเมนต์ และ ผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ใน 1Q64 มีสัญญาณที่ดีขึ้น เราคาดจะเติบโตเล็กน้อย 2% บวกกับการบริหารจัดการต้นทุน (Cost optimization) ดังนั้นเราคาดกำไรจะปรับตัวดีขึ้น 2,820 ล้านบาท เติบโตจากปีก่อน 1%YoY และ ไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 194 ล้านบาท ส่วนธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร จะได้ผลบวกจากการครบรวมกิจการ Sovi และ Go-Pak หนุนผลประกอบการเติบโตต่อเนื่อง คาดกำไร 1,554 ล้านบาท (+5%QoQ, -10%YoY) โดยลดลงจากปีก่อนเนื่องจากสัดส่วนถือหุ้น SCGP ลดลง
แนวโน้มปีนี้จะเติบโตได้ดี ปรับประมาณการเพิ่มขึ้น
ผู้บริหารมีมุมมองในด้านบวกต่อแนวโน้มธุรกิจปิโตรเคมีในปีนี้ แรงหนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก ซึ่ง IMF คาดเศรษฐกิจโลกปี 2564 จะขยายตัวสูงสุดในรอบ 12 ปี 5.5% นับว่าเป็นการฟื้นตัวแบบ V-Shape โดยเฉพาะเศรษฐกิจจีนจะเติบโตสูงถึง 8.1% ธุรกิจปูนซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง แนวโน้มฟื้นตัว บวกด้วย Cost optimization ธุรกิจบรรจุภัณฑ์ครบวงจร จะได้แรงบวกการครบรวมกิจการ และ ขยายกำลังการผลิต เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้น คาดกำไรปีนี้ 38,877 ล้านบาท เติบโต 14%YoY
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
NR Instant Produce (NRF)
สะดุดสั้นๆ คือโอกาสสะสม
BUY
Share Price THB 8.80
12m Price Target THB 11.00 (+25%)
Previous Price Target THB 11.00
ประเด็นการลงทุน
คาดบริษัทจะเจอกับ 2 ปัจจัยลบในระยะสั้นนี้คือ (1)คาดกำไร 1Q64 ที่ 31 ลบ. (+55%YoY, -11%QoQ) ซึ่งเป็นการหดตัว QoQ จากเดิมที่ตลาดคาดจะเห็นการทำ All Time High ใน 1Q-2Q64 ต่อเนื่อง ด้วยผลกระทบการขนส่ง และ (2)โรงงาน Plant-based ที่ UK มีโอกาสที่ออเดอร์จะล่าช้ากว่าคาด 1-3 เดือน จากโควิด-19 เป็นอุปสรรคต่อการเข้าตรวจสอบรับรองมาตรฐานโรงงาน อย่างไรก็ดี ปัจจัยลบดังกล่าวเพียงทำให้การรับรู้รายได้บริษัท “แค่เลื่อน ไม่ได้เลิก” โดยพื้นฐานระยะกลาง-ยาวไม่ได้เปลี่ยน และผลกระทบต่อประมาณการกำไรของเราจำกัด หากราคาหุ้นปรับตัวลงด้วยปัจจัยดังกล่าว มองเป็นโอกาสในการสะสม คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 11 บาท
คาดกำไร 1Q64 สะดุดระยะสั้น จากปัญหาการขนส่ง
โดยภาวะตู้คอนเทนเนอร์ขาด และ เหตุการณ์คลองสุเอซ ใน 1Q64 ทำให้การขนส่งสินค้าทำได้จำกัด กระทบยอดขายให้ทำได้เพียง Flat QoQ แต่ไม่กระทบมาร์จิ้นจากสัญญาซื้อขายเป็นแบบ FOB อย่างไรก็ดี เรามองเป็นเพียงผลกระทบระยะสั้น ด้วย Demand ออเดอร์ลูกค้าที่เข้ามาของจริงยังมีทิศทางเพิ่มขึ้นทั้ง YoY และ QoQ อีกทั้งยอดสินค้าที่ติดปัญหาขนส่งส่วนใหญ่ไม่ได้หายไปไหน แต่จะไปทบอยู่ในยอดของ 2Q64 ทำให้เหตุการณ์ดังกล่าวไม่ได้กระทบต่อประมาณการกำไรทั้งปีของเรา
ออเดอร์ Plant-based ที่ UK มีโอกาสมาช้า แต่ยังมา
คาดมีโอกาสเห็นยอดขาย Plant-based จากโรงงาน UK มาช้ากว่าคาด 1-3 เดือน จากปัญหาโควิดระบาดในยุโรป ทำให้การตรวจสอบโรงงานด้าน Food Safety จากเจ้าหน้าที่ BRC ต้องเลื่อนออกไป จากเดิมคาดในเดือนเม.ย.-พ.ค. เป็นเดือนมิ.ย.-ก.ค. ซึ่งการจะส่งออกสินค้าไปให้ลูกค้ารายใหญ่ในต่างประเทศอย่าง Unilever, Nestle และ Quorn จำเป็นต้องผ่านมาตรฐานดังกล่าวก่อน ซึ่งอาจจะทำให้การ Breakeven ของโรงงานนี้เลื่อนจาก 3Q64 เป็น 4Q64 กระทบกับประมาณการกำไรทั้งปีเราเพียง 3-4%
ยังมองเป็นโอกาสหากราคาปรับตัวลงมา
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ด้วยราคาเป้าหมายเดิมที่ 11 บาท (วิธี DCF: WACC 7.7%, G.3%) โดยเรามองบริษัทเพียงโดนผลกระทบระยะสั้นจากปัจจัยภายนอก ไม่ได้กระทบต่อพื้นฐานระยะกลาง-ยาว หรือศักยภาพการทำกำไรของบริษัทแต่อย่างใด อีกทั้งหากมองไปข้างหน้า 2Q-4Q64 จะพบ Upside risk รออยู่ตลอดทางไม่ว่าจะเป็น (1)ดีล M&A บริษัท Third party บน E-commerce อย่างน้อย 2 ดีล (2)ธุรกิจกัญชงที่จะทำตั้งแต่ต้น-ปลายน้ำ และ (3)การเปิดตัวสินค้า Plant-based ภายใต้แบรนด์ของ NRF เอง
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
Thanalop Preedamanoch
(66) 2658 5000 ext 1511
Thai Union Group (TU)
คาดกำไร 1Q64 ไม่เด่นแต่ยังมีประเด็นบวก
BUY
Share Price THB 14.40
12m Price Target THB 16.50 (+15%)
Previous Price Target THB 16.50
ประเด็นการลงทุน
ยอดขายอาหารทะเลแปรรูปลดลงจากฐานสูง แต่อาหารทะเลแช่แข็งฟื้นตัวจากการเปิดเมือง และ Red Lobster ขาดทุนลดลง เราจึงคาดว่ากำไร 1Q64 เพิ่มขึ้น 4% YoY ผลประกอบการ 2Q64 มีแนวโน้มชะลอตัวลงจากฐานสูง แต่ TU ยังมีประเด็นบวกจากการลงทุนใหม่ๆ และทยอยออกสินค้านวัตกรรม รวมทั้งการ IPO ของบริษัทย่อยคือ TFM เราจึงแนะนำ Trading Buy ราคาเป้าหมาย (PER 13 เท่า) 16.50 บาท
ยอดขายอาหารแช่แข็งฟื้นตัว แต่อาหารแปรรูปลดลง
ยอดขายอาหารทะเลแช่แข็งในสหรัฐฯ ใน 1Q64 เริ่มฟื้นตัวจากการที่ร้านอาหารกลับมาเปิด แต่ยอดขายอาหารทะเลแปรรูปลดลง เนื่องจากฐานสูงในปีก่อนที่มีการตุนสินค้าก่อนการล็อกดาวน์ในยุโรป ประกอบกับค่าเงินบาทเฉลี่ย 1Q64 แข็งค่า 3% YoY เมื่อเทียบกับดอลล่าร์สหรัฐฯ เราจึงคาดว่ายอดขายของ TU จะทรงตัว YoY ที่ 31,139 ล้านบาท แต่คาดว่าอัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้น 82 bps YoY เป็น 17% เนื่องจากยอดขายอาหารสัตว์เลี้ยงและสินค้ามูลค่าเพิ่มซึ่งมีอัตรากำไรสูงยังคงเติบโตได้ดี อีกทั้งต้นทุนวัตถุดิบปลาทูน่ายังต่ำ ในด้านค่าใช้จ่ายเราคาดว่าจะเพิ่มขึ้น 6% YoY จากปัญหาการขาดแคลนคอนเทนเนอร์
คาดกำไรปกติ 1Q64 เพิ่มขึ้น 4% YoY
เราคาดว่าผลประกอบการของ Red Lobster ขาดทุนลดลง เนื่องจากร้านอาหารกลับมาเปิดแล้ว 96% ส่วนร้านที่เป็น Delivery และ To Go เปิดแล้ว 99% โดยมีจำนวนลูกค้าเพิ่มขึ้นหลังจากการเริ่มฉีดวัคซีนโควิดในสหรัฐฯ ประกอบกับ Red Lobster ได้มีการปรับโครงสร้างธุรกิจในช่วงที่ผ่านมาซึ่งส่งผลให้ค่าใช้จ่ายลดลง โดยรวมแล้วเราจึงประเมินว่ากำไรปกติของ TU เพิ่มขึ้น 4% YoY เป็น 1,333 ล้านบาท
แนวโน้มชะลอตัวใน 2Q64
แนวโน้มกำไร 2Q64 เพิ่มขึ้น QoQ ตามผลของฤดูกาล แต่อาจลดลง YoY จากฐานสูงในปีที่แล้วซึ่งอาหารทะเลแปรรูป อาหารกระป๋อง ซึ่งเป็นกลุ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง ขายได้ดีในช่วงล็อกดาวน์ อย่างไรก็ดี Red Lobster จะฟื้นตัวได้อย่างมีนัยสำคัญจากขาดทุนหนักในช่วงการปิดเมือง ทั้งนี้ เรายังคงประมาณการกำไรปี 2564 ลดลงจากอัตรากำไรขั้นต้นลดลงตามการชะลอตัวของยอดขายอาหารทะเลแปรรูป
ความเสี่ยง: Red Lobster ขาดทุนมากขึ้น ราคาปลาทูน่าผันผวน เงินบาทแข็งค่าอย่างมีนัยยะ ต้นทุนวัตถุดิบสูงขึ้น
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web