- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 03 March 2021 23:32
- Hits: 15822
บล.เมย์แบงก์ : กิมเอ็ง บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 3-3-2021
INVESTMENT STRATEGY
แกว่ง Sideways :
คงเป้า SET สิ้นปี 1,600 จุด
วันนี้คาด SET แกว่ง Sideways ประเมินแนวรับ 1,490 จุด และแนวต้าน 1,515 จุด เน้นหุ้นที่แนวโน้มกำไรขยายตัวเด่น โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “JMART, VGI”
JMART
ในปี 2564 คาดกำไรสุทธิจะทำ New high ต่อที่ 1,081 ลบ. +35%YoY เรามองบวกต่อพัฒนาการสำคัญของ KBJ ที่จะเริ่มปล่อยสินเชื่อในช่วงปลาย 1Q63 เป็นอีกธุรกิจที่จะเป็น Growth driver ทั้งนี้จะมีการบันทึกกำไรพิเศษจากการตีมูลค่าราว 150-160 ลบ. บันทึกใน 1Q64 เป็น sentiment บวกช่วงสั้น
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 31.5 บาท
VGI
คาดผ่านจุดต่ำสุดในช่วงปี 2563 แล้ว โดยประเมินปี 2564 จะเป็นปีแห่งการ Turnaround จากแนวโน้มธุรกิจที่ฟื้นตัวตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในประเทศ ผสานการลดต้นทุนเริ่มเห็นผลในไตรมาสที่ผ่านมา รวมถึงปันผลรับจากบริษัทร่วม โดยเฉพาะ PLANB ที่รุก Segment ใหม่การบริหารสื่อในร้านค้า
เป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 8.1 บาท
INVESTMENT THEME
คงเป้า SET สิ้นปี 1600 จุด
-กำไรสุทธิรวมของบริษัทจดทะเบียนในช่วง 4Q63 ที่ระดับ 90,846 ล้านบาท (-39%QoQ, -61%YoY) โดยหากพิจารณาเป็นรายกลุ่มอุตสาหกรรมพบว่า กลุ่มที่มีผลการดำเนินงานที่อ่อนแอ ส่วนใหญ่ยังคงเกี่ยวข้องกับภาคบริการ ตอบรับผลกระทบของการแพร่ระบาดของ COVID-19 เช่น ธุรกิจสนามบิน, สายการบิน และโรงแรม โดยพบว่า กลุ่มขนส่งมีผลขาดทุนสุทธิมากถึง -9.1 หมื่นล้านบาท และกลุ่มท่องเที่ยว ขาดทุนรวมกว่า -4.5 พันล้านบาท อย่างไรก็ดีหลายกลุ่มอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้องกับการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เริ่มมีการฟื้นตัวที่ดีในช่วง 4Q63 (ทั้ง QoQ และ YoY) เช่น กลุ่มปิโตรเคมี (+182%QoQ, +957%YoY), ยานยนต์ (+29%QoQ, +237%YoY) และ บรรจุภัณฑ์ (+24%QoQ, +42%YoY)
-แนวโน้มเศรษฐกิจไทยปี 2564 คาดจะฟื้นตัว โดยเราคงประมาณการกำไรตลาด และคงเป้าหมายดัชนีสิ้นปีนี้ที่ 1,600 จุด ตอบรับพัฒนาการเชิงบวกต่อการกระจายวัคซีน ผสานกับการกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการเงินและการคลังทั่วโลก ซึ่งจะเป็นแรงขับเคลื่อนกำไรในหลายกลุ่มอุตสาหกรรมสามารถเติบโตในปีนี้ได้โดดเด่น โดยคาดกลุ่มอุตสาหกรรมที่จะมีการเติบโตของกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) ในปี 64-65 ได้ดี เช่น กลุ่มปิโตรเคมี, สื่อ และ ยานยนต์ ส่วนกลุ่มหลักที่หากย่อตัวยังน่าสะสม ได้แก่ กลุ่มพลังงาน, ธนาคาร และอิเล็กทรอนิกส์
SET
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
1,503.36 +2.44
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 2 มี.ค. 64
นักลงทุน สุทธิ
สถาบัน 1,090.50
บัญชี บล. -570.92
ต่างชาติ -528.40
ในประเทศ 8.82
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่ง sideway มีแรงขายในกลุ่มพลังงานจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ย่อตัวสั้น โดย SET ปิดที่ 1,503.36 (+2.44 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 8.9 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 8.5 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 528 ลบ. (นักลงทุนสถาบันซื้อ 1,091 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 3,758 สัญญา)
EYES ON
3 มี.ค. Caixin China PMI ภาคบริการ (ก.พ.), PMI ภาคบริการของ US, Eurozone (ก.พ.), การจ้างงานภาคเอกชน US (ก.พ.), สต๊อกน้ำมันดิบ US รายสัปดาห์
4 มี.ค. ประชุม OPEC, ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคไทย (ก.พ.), ผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US, ยอดสั่งซื้อสินค้าคงทน US (ม.ค.), ยอดสั่งซื้อภาคโรงงาน US
5 มี.ค. อัตราเงินเฟ้อไทย (ก.พ.), การจ้างงานนอกภาคเกษตร US (ก.พ.), อัตราการว่างงาน US (ก.พ.), ดุลการค้า US (ม.ค.)
Jubilee Enterprise (JUBILE)
อนุรักษ์นิยม แต่แฝงไปด้วยความมั่นใจ
BUY
Share Price THB 24.40
12m Price Target THB 31.25 (+28%)
Previous Price Target THB 27.90
ปี 2563 กำไรทำสถิติใหม่ ส่วนปี 2564 จะยอดเยี่ยมยิ่งกว่า
แม้ว่าผู้บริหารจะยังคงมอบเป้าหมายปี 2564 อย่างอนุรักษ์นิยมให้แก่นักลงทุน แต่เราพบว่าการวางเป้าหมายในแต่ละจุด ได้สะท้อนความมั่นใจภายในถึงการที่บริษัทจะทำได้อย่างดีอีกครั้งในปี 2564 หลังสร้าง surprise กำไรสุทธิปี 2563 สูงกว่าคาด 20% และสูงสุดทำสถิติใหม่ของบริษัทในปีที่สุดแสนยากที่สุด เราปรับประมาณการกำไรปี 2564 ขึ้น 13% เป็น 310 ลบ. ขยายตัว +16.4% YoY คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม 31.25 บาท/ หุ้น อิง P/E เฉลี่ย 4 ปี ที่ 17.8 เท่า
เป้ารายได้ +10% ในปี 2564 ของผู้บริหาร ต่ำเกินไปในมุมมองของเรา
ผู้บริหารตั้งเป้ายอดขายในปีนี้เติบโตไม่ต่ำกว่า 10% (vs ปี 2563 หดตัว -5.7% YoY) และพร้อมจะทบทวนอีกครั้งตอนกลางปี ขณะที่อัตรากำไรขั้นต้น ตั้งเป้าไม่ต่ำกว่า 45% (vs ปี 2563 ที่ 47.8%) ยอดขายช่องทาง e-commerce ที่ 5-6% ของรายได้รวม (vs ปี 2563 ที่ 3%) และเริ่มกลับมาพิจารณาขยายสาขาอีกครั้ง 3-5 แห่ง/ ปี หากมีพื้นที่ศักยภาพเพียงพอ (vs ปี 2563 ปิดไป 1 สาขา) ซึ่งจากกำไรสุทธิที่ทำสถิติใหม่ 267 ลบ. +1.7% YoY ในปี COVID-19 ที่ยากลำบากที่สุด และโมเมนตัมกำลังซื้อในเดือน ก.พ. 64 ที่กลับมาใกล้เคียงกับเดือน ต.ค. 63 อย่างรวดเร็ว ยอดขนาดบิลเฉลี่ย (ticket size) กลับมาปกติแล้ว 3-4 หมื่นบาท/ ชิ้น บนฐานลูกค้าหนาแน่นกว่า 1.8 แสนราย เรามองว่า เป้ารายได้นี้ต่ำเกินไปกว่าศักยภาพที่ JUBILE ได้แสดงออกในปี 2563 ที่ผ่านมา
ปรับประมาณการกำไรขึ้น 13% กำไรสุทธิจะผ่าน 300 ลบ. ครั้งแรก
ด้วยกำไรปี 2563 ที่สูงกว่าคาดถึง 20% และการบริหารต้นทุนที่ยอดเยี่ยม เราคาดว่าปี 2564 ยอดรายได้จะขยายตัว +15.9% YoY บนอัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ย 47.0% เปิดสาขาใหม่ 2 แห่ง จะได้กำไรสุทธิคาดการณ์ 310 ลบ. ขยายตัว +16.4% YoY และเมื่ออิงกับ P/E เฉลี่ย 4 ปีที่ 17.80 ตามเดิม จะได้ราคาเหมาะสมใหม่ 31.25 บาท/ หุ้น
ความเสี่ยง
สภาพเศรษฐกิจที่ตกต่ำสุดขีด หรือ การเกิดการแพร่ระบาด COVID-19 ในระยะที่ 3 จนอารมณ์การจับจ่ายสินค้าเครื่องประดับหมดไป
Jaroonpan Wattanawong
(66) 2658 6300 ext 1404
Italian-Thai Dev (ITD)
4Q63 กำไรปกติเป็นบวกเล็กน้อย
HOLD
Share Price THB 1.11
12m Price Target THB 1.20 (+8%)
Previous Price Target THB 1.60
ผลประกอบการ 4Q63
ITD ประกาศผลประกอบการไตรมาส 4Q63 ยังขาดทุนสุทธิเท่ากับ 130 ล้านบาท ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขาดทุนสุทธิ 488 ล้านบาท ในขณะที่ปีก่อนมีกำไรสูงถึง 1,691 ล้านบาท จากการปรับปรุงงบใหม่ ถ้าหากหักขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนและรายการพิเศษอื่น จะมีผลการดำเนินงานปกติที่ฟื้นตัวมีกำไรเท่ากับ 70 ล้านบาท ดีขึ้นจากไตรมาสก่อนที่ขาดทุน 532 ล้านบาท แต่ต่ำกว่า ปีก่อนที่มีกำไร 365 ล้านบาท บริษัทลูกในอินเดีย ITD Cem ซึ่ง ITD ถือหุ้น 46.6% ได้พลิกมามีกำไร 300 ล้านรูเปีย (ประมาณ 123 ล้านบาท) หลังจากไตรมาสก่อน ขาดทุนถึง 498 ล้านรูเปีย (ประมาณ 202 ล้านบาท) ยอดรับรู้รายได้จากงานก่อสร้างรวมเท่ากับ 14,568 ล้านบาท (+13%QoQ, -7%YoY) อัตรากำไรขั้นต้นเริ่มดีขึ้น 8.4% จาก 6.0% ในไตรมาสก่อน และ 12.8% ในปีก่อน พิจารณาในแง่กระแสเงินหรือ EBITDA ปรากฏว่าดีขึ้นมาก 1,870 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากไตรมาสก่อน 61%QoQ ในขณะที่ชะลอตัวลงจากปีก่อน 11%YoY
แนวโน้มผลประกอบการ
ITD มี Backlog รวมประมาณ 4.25 แสนล้านบาท แต่ถ้าตัด สัมปทานโครงการท่าเรือและทางรถไฟในโมซัมบิค และ ทางด่วนที่ Dhaka 1.48 แสนล้านบาท จะเหลือ Backlog 2.77 แสนล้านบาท จะช่วยหนุนยอดรับรู้รายได้ของ ITD ยังอยู่ในระดับสูง แต่โครงการขนาดใหญ่หลายโครงการที่ ITD ลงทุน คือ โครงการทวาย ได้ใช้เงินลงทุนไปแล้ว 7,825 ล้านบาท โครงการเหมืองแร่โปแตช 3,247 ล้านบาท และ โครงการในโมซัมบิก 2,284 ล้านบาท ยังสร้างภาระทั้งค่าใช้จ่าย และ ภาระดอกเบี้ยหนี้เงินกู้ สำหรับโครงการทวาย ล่าสุดคณะกรรมการบริหารเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย แจ้งยกเลิกสิทธิสัมปทานทุกโครงการ แต่ภายใต้สัญญา Tripartite Memorandum กลุ่มบริษัทจะได้รับเงินคืนจากผู้ลงทุนรายใหม่ของแต่ละโครงการสัมปทาน
คำแนะนำการลงทุน
ITD มีภาระหนี้ที่มีดอกเบี้ยสูง ณ สิ้นปี 2563 เท่ากับ 4.95 หมื่นล้านบาท หรือ คิดเป็นสัดส่วน หนี้สินสุทธิต่อทุนที่สูงเท่ากับ 2.77 เท่า เทียบกับ Debt Covenant ไม่เกิน 3 เท่า ถ้าหาก ITD ต้องตั้งสำรองโครงการทวายจะทำให้ผิดเขื่อนไข Debt Covenant นี้ ITD มีมูลค่าตามบัญชีต่อหุ้นเท่ากับ 2.5 บาท เราประเมินราคาเป้าหมายบนฐานข้อมูลของ Bloomberg เฉลี่ย 10 ปี Forward P/BV – 1.5SD ประมาณ 0.50X ได้เท่ากับ 1.2 บาท ลดลงจาก 1.60 บาท จากความเสี่ยงโครงการทวาย คงคำแนะนำ ถือ แต่ช่วงนี้ชะลอตัวการลงทุนก่อน
ความเสี่ยง
อุบัติเหตุระหว่างก่อสร้าง / ปัญหาระหว่างก่อสร้างทำให้ต้นทุนเพิ่ม / ความล่าช้าของโครงการ / ภาระหนี้สูง / โครงการลงทุนขึ้นกับพันธมิตร / ปัญหาแรงงานขาดแคลน
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Home Prod Ctr (HMPRO)
มีโอกาสกลับมาเติบโตตั้งแต่ 1Q64
BUY
Share Price THB 13.60
12m Price Target THB 16.00 (+18%)
Previous Price Target THB 16.00
ประเด็นการลงทุน
เราปรับคำแนะนำจาก Trading Buy เป็น ซื้อ ราคาเป้าหมาย (DCF) 16 บาท SSSG 2 เดือนแรกติดลบน้อยลง และคาดว่าจะดีขึ้นในเดือน มี.ค. เป็นต้นไป เนื่องจากฐานต่ำในปีก่อนที่มีการล็อกดาวน์ เราคาดว่ากำไร 1Q64 มีโอกาสกลับมาเติบโต YoY และจะดียิ่งขึ้นใน 2Q64 จากอัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวหลังจากสินค้า House brand นำเข้าจากจีนได้มากขึ้น อีกทั้งประสิทธิภาพการดำเนินงานสูงขึ้น ขณะที่ราคาหุ้น underperform เมื่อเทียบกับกลุ่ม โดยลดลง 1% YTD ส่วน DOHOME +50%, GLOBAL +29% โดย HMPRO เทรดที่ PE 29 เท่า, DOHOME 42 เท่า และ GLOBAL 39 เท่า
กำไร 4Q63 ลดลง 12% YoY ตามคาด
กำไรเพิ่มขึ้น 10% QoQ จากไฮซีซั่น แต่ลดลง 12% YoY เป็น 1,545 ล้านบาท ใกล้เคียงกับที่เราคาด ยอดขายลดลง 5% YoY จาก SSSG ชะลอลงเป็น -6.3% (เทียบกับ -3.7% ใน 3Q63 และ -3% ใน 4Q62) จากฝนตกหนักในเดือน ต.ค. และได้รับผลกระทบส่วนหนึ่งจากการปิดสาขามหาชัย และ ระยอง ช่วงปลายเดือน ธ.ค. จากการระบาดของโควิด-19 อัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากการปรับงบการเงินโดยย้ายค่าใช้จ่ายบางประเภทไปบันทึกในต้นทุน อีกทั้งสัดส่วนสินค้า Private brand ลดลง เนื่องจากปัญหาการขนส่งสินค้าจากจีน กำไรปี 2563 ลดลง 17% เป็น 5,155 ล้านบาท เงินปันผล 2H63 เท่ากับ 0.20 บาท/หุ้น (XD 22 เม.ย.) คิดเป็นอัตราผลตอบแทนครึ่งปี 1.5%
กำไร 1Q64 มีโอกาสเติบโต YoY ก่อนจะฟื้นตัวสูงใน 2Q64
SSSG ม.ค.-ก.พ. ติดลบประมาณ 2-3% ซึ่งน้อยลงจาก -6.3% ใน 4Q63 เราคาดว่า SSSG ติดลบน้อยลงในเดือน มี.ค. เนื่องจากฐานต่ำในปีก่อนที่มีการปิดโฮมโปร 66 สาขาในช่วงล็อกดาวน์ 22-31 มี.ค. ซึ่งทำให้ SSSG 1Q63 เป็น -6.1% อัตรากำไรขั้นต้นคาดว่าทรงตัว YoY จากการที่สัดส่วนสินค้า House brand ยังไม่ปกติ เนื่องจากปัญหาการขนส่ง ซึ่งคาดจะมีการนำเข้าสินค้าได้มากขึ้นใน 2Q64 ประกอบกับ SSSG 2Q64 จะเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะจากฐานต่ำในปีก่อนที่ -17% จากการล็อกดาวน์
ปีนี้ฟื้นจากทั้ง SSSG และอัตรากำไร
ผู้บริหารตั้งเป้า SSSG ปีนี้ใกล้ GDP หรือมากกว่าเล็กน้อย โดยลูกค้า HMPRO 80% เป็นกลุ่มบ้านเก่าซึ่งปีนี้คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 1.5% เป็น 27.6 ล้านหน่วย อัตรากำไรขั้นต้นคาดจะเพิ่มขึ้น 30-40 bps จากการเพิ่มสินค้าที่มีอัตรากำไรสูง และเพิ่มประสิทธิภาพดำเนินงาน ปีนี้จะเปิดโฮมโปร 1 สาขา และมาเลเซีย 1 สาขา ซึ่งมาเลเซียมีแนวโน้มขาดทุนลดลง HMPRO ยังเน้นธุรกิจออนไลน์ด้วยเป้าหมาย 5% ของยอดขาย (ก่อนโควิดมีสัดส่วน 1%) นอกจากนั้น เริ่มทำธุรกิจออนไลน์ในเวียดนามในปลาย มี.ค.และจะไปเปิดสาขาภายหลัง เราคาดยังไม่มีผลกระทบที่มีนัยยะแต่เป็นโอกาสเติบโตระยะยาว
ความเสี่ยง: โควิด-19 ระบาดมากขึ้นจนทำให้มีการล็อกดาวน์ เศรษฐกิจหดตัว
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web