- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 22 February 2021 11:38
- Hits: 1571
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 22-2-2021
กลยุทธ์การลงทุนรายวัน
SET
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
1,500.51 -10.52
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 19 ก.พ. 64
นักลงทุน สุทธิ
สถาบัน -2,070.63
บัญชี บล. -329.12
ต่างชาติ -3,038.93
ในประเทศ 5,438.68
MARKET SUMMARY
วันศุกร์ที่ผ่านมา SET ปรับฐาน สอดคล้องกับตลาดภูมิภาค โดย SET ปิดที่ 1,5100.51 (-10.52 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 9.1 หมื่นล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 9.8 หมื่นล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติขายหุ้นไทย 3,039 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 2,071 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Short Futures ที่ 11,318 สัญญา)
STOCK PICKS & TRADING IDEA
AEONTS (ราคาเป้าหมาย 260 บาท) คาดสินเชื่อเติบโตดี รวมถึงโอกาสในการกลับรายการค่าเผื่อสำรองหนี้สูญ ผสานกับการควบคุมค่าใช้จ่ายการดำเนินงานที่ทำได้เด่น จะช่วยหนุนให้กำไรสุทธิปีนี้เติบโตสู่ระดับ 4 พันล้านบาท +17%YoY และ ROE ขยายตัวขึ้นสู่ระดับ 22.5%
INVESTMENT THEME
มาตรการภาครัฐฯกระตุ้นการบริโภคในประเทศฟื้นตัว : สัญญาณของภาคการบริโภคในประเทศในช่วง 4Q63 กลับมาขยายตัวราว +0.9%YoY เพิ่มขึ้นจาก 3Q63 ที่ -0.6%YoY โดยปัจจัยหนุนหลักมาจากมาตรการกระตุ้นในช่วงปลายปี เช่น โครงการคนละครึ่ง, ช๊อปดีมีคืน เป็นต้น แต่อย่างไรก็ดีสัญญาณของภาคการบริโภคมีแนวโน้มกลับมาอ่อนแอในช่วง 1Q64 จากการแพร่ระบาดของ COVID-19 ในระลอกที่สอง แต่เราเชื่อว่ามาตรการภาครัฐฯ ที่ทยอยออกมาในระยะสั้น เช่น โครงการ “เราชนะ” (สนับสนุนเงินช่วงเหลือสูงสุด 7,000 บาทต่อคน โดยมีมูลค่าวงเงินรวมราว 2.1 แสนล้านบาท) และ “ม.33 เรารักกัน” (สนับสนุนเงินช่วยเหลือผู้ประกันตนในมาตรา 33 ในระบบประกันสังคมราว 9.2 ล้านคน คนละ 4,000 บาท) จะช่วยบรรเทาภาระค่าครองชีพของประชาชน ส่งผลบวกทั้งทางตรงและทางอ้อมต่อการฟื้นตัวของภาคบริโภคในประเทศในระยะสั้น หนุนกำลังซื้อมากขึ้น และภาวะหนี้เสียมีโอกาสลดต่ำลง เป็นบวกต่อกลุ่ม Finance ที่เน้นตลาดกลาง-ล่าง ส่วนวันนี้แนะติดตามการประชุม ศบค.ชุดใหญ่ คาดจะมีการพิจารณาการผ่อนคลายมาตรการอนุญาตให้นั่งดื่มในร้านอาหาร และการเปิดสถานบันเทิง ซึ่งถือเป็นเรื่องสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อธุรกิจขนาดเล็กเป็นจำนวนมาก
Investment Strategy : วันนี้คาด SET ฟื้นตัว แนวรับ 1,493 จุด และแนวต้าน 1,520 จุด เน้นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรขยายตัวเด่น โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “AEONTS, MINT”
EYE ON
ปัจจัยต่างประเทศ :
-22 ก.พ. ดัชนี Ifo Business ของเยอรมนี
-25 ก.พ. Core PCE US, 4Q63 US GDP
ปัจจัยในประเทศ :
-23 ก.พ. ตัวเลขการส่งออกไทย (ม.ค.)
-การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
SET
แนวรับ : 1493/1478
แนวต้าน : 1507/1511
TMT Steel (TMT)
กำไร 4Q63 สูงสุด 3 ปี 1Q64 จะดีขึ้นอีก
Share Price THB 7.10
12m Price Target THB 7.80 (+10%)
Previous Price Target THB 7.00
ผลประกอบการ 4Q63
TMT ประกาศผลประกอบการ 4Q63 มีกำไรที่เด่น 173 ล้านบาท (+11%QoQ, +697%YoY) สูงสุดในรอบ 3 ปี ใกล้เคียงที่เราคาดไว้ 183 ล้านบาท แรงหนุนจากราคาขายเฉลี่ยปรับขึ้นเป็น 20,350 ล้านบาท (+7%QoQ, +7%YoY) ตามการปรับขึ้นของราคาเหล็กในจีน และ ไทย ส่วนวอลุ่มขายชะลอตัวลงเหลือ 183,362 ตัน (-7%QoQ, -6%YoY) รวมแล้วมูลค่ายอดขายเท่ากับ 3,731 ล้านบาท (-1%QoQ, +1%YoY) การปรับขึ้นของราคาเหล็กทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเพิ่มขึ้นเป็น 9.8% จาก 9.4% ในไตรมาสก่อน และ 4.9% ในปีก่อน รวมแล้วปี 2563 ยอดขายลดลง 12%YoY เหลือ 14,576 ล้านบาท แต่กำไรเพิ่มขึ้นแรง 133%YoY สู่ระดับ 538 ล้านบาท
แนวโน้มผลประกอบการ
จากข้อมูลของสถาบันเหล็กราคาเหล็กแผ่นรีดร้อนขนาด 2 มม. ในไทยเดือน ม.ค. 64 เพิ่มขึ้นต่อเนื่องเป็น 25,250 บาท/ตัน (+5%MoM, +19%QoQ) ส่วนราคาขายของ TMT เดือน ม.ค. เพิ่มขึ้นเป็น 23,800 บาท/ตัน (+11%MoM, +17%QoQ) ในขณะที่ TMT มีสต็อกเหล็กณสิ้นปี2563 ที่สูงกว่าปกติ 2.2 พันล้านบาท (+50%QoQ) เทียบได้กับยอดขายเกือบ 2 เดือน ดังนั้น ทุก 5% ที่ราคาขึ้น จะทำให้กำไรเพิ่มขึ้นประมาณ 100 ล้านบาท และ ไตรมาส 1Q64 จะเข้าสู่ช่วงไฮซีซั่น ทำให้ผลประกอบการไตรมาส 1Q64 คาดจะมีกำไรที่สูงเด่น 200-300 ล้านบาท ภายใต้สถานการณ์ราคาเหล็กในปัจจุบัน เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้น คาดยอดขาย 17,360 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 19% จากราคาเหล็กเพิ่มขึ้น 13% และ ปริมาณขายเพิ่มขึ้น 5.7% และ คาดจะมีกำไรสุทธิเท่ากับ 675 ล้านบาท เติบโต 26%
คำแนะนำการลงทุน
TMT ได้ประกาศจ่ายเงินปันผลกำไรปี 2563 เท่ากับ 0.50 บาท คิดเป็น 80% ของกำไร มีอัตราเงินปันผลตอบแทนที่ 7% ราคาหุ้นปัจจุบัน ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขาย P/E ปี 2564 ที่ค่อนข้างต่ำ 9.2 เท่า เราประเมินราคาเป้าหมายปี 2564 เท่ากับ 7.8 บาท บนฐานค่าเฉลีย 10 ปี Forward P/E 10 เท่า เพิ่มขึ้นจากเดิม 7.0 บาท จากประมาณการที่ปรับเพิ่มขึ้น คงแนะนำTRADING BUY รับปันผล
ความเสี่ยง
ราคาเหล็กผันผวน / ภาวะเหล็กล้นตลาด / สัดส่วนหนี้ต่อทุนที่สูง
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
Central Pattana (CPN)
คาดหวังการฟื้นตัวหลังจากชะลอใน 1Q64
BUY
Share Price THB 51.50
12m Price Target THB 64.00 (+24%)
Previous Price Target THB 64.00
คำชี้แจงที่สำคัญ: บริษัทหลักทรัพย์เมย์แบงก์กิมเอ็ง (ประเทศไทย) จำกัด (มหาชน) อาจมีธุรกรรมกับ บมจ. เซ็นทรัลพัฒนา (CPN)
ผลประกอบการ 4Q63
กำไรสุทธิ 4Q63 เท่ากับ 2,017 ล้านบาท (-19% QoQ, -44% YoY) หากไม่รวมกำไรเกี่ยวกับเครื่องมือทางการเงิน และการปรับรายการภาษีรอตัดบัญชีเกี่ยวกับรายได้สัญญาเช่าทางการเงิน กำไรปกติเท่ากับ 2,147 ล้านบาท (-9% QoQ, -37% YoY) ใกล้เคียงกับที่คาด รายได้ค่าเช่าลดลง 2% QoQ และ 19% YoY จากการให้ส่วนลดค่าเช่าประมาณ 25% และช่วงปลายเดือน ธ.ค. ปิด 4 ศูนย์การค้าจากการระบาดรอบใหม่ แต่อัตราเข้าเช่าของ CPN ยังอยู่ที่ 91% ใกล้เคียงกับปีก่อน รายได้จากธุรกิจโรงแรมฟื้นตัว 124% QoQ จากการท่องเที่ยวมากขึ้น และโรงแรมฮิลตัน พัทยา กลับมาเปิดในกลางเดือน พ.ย. หลังจากปิดปรับปรุง รายได้จากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์เพิ่มขึ้น 227% QoQ จากการโอนโครงการได้มากขึ้น อัตรากำไรขั้นต้นลดลงตามรายได้ค่าเช่าซึ่งเป็นธุรกิจที่มีอัตรากำไรสูง ค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น 50% QoQ ตามผลของฤดูกาล กำไรปกติปี 2563 เท่ากับ 7,253 ล้านบาท ลดลง 38% จากการล็อกดาวน์ และให้ส่วนลดค่าเช่า
แนวโน้มผลประกอบการ
ปัจจุบันศูนย์การค้าของ CPN ในไทยทั้ง 33 แห่งเปิดตามปกติ ยกเว้นพื้นที่เช่าด้านการศึกษาและบันเทิงบางส่วนที่เซ็นทรัลมหาชัย โดยพื้นที่เช่าศูนย์การค้าของ CPN โดยรวมเปิดเกิน 95% และมีจำนวนลูกค้า (Traffic) 65-75% แนวโน้มกำไร 1Q64 ชะลอตัวจากการให้ส่วนลดค่าเช่าเพิ่มขึ้นเป็นประมาณ 30% เนื่องจากการระบาดรอบใหม่ แต่คาดว่าส่วนลดจะน้อยลงใน 2Q64 เป็นต้นไป และกลับมาปกติในปี 2565
คำแนะนำการลงทุน
เรายังคงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย (DCF) 64 บาท แม้คาดว่ากำไรปี 2564 จะยังไม่กลับสู่ระดับปกติ แต่จะฟื้นตัวจากการให้ส่วนลดค่าเช่าน้อยลง อีกทั้งมีการควบคุมต้นทุนและค่าใช้จ่ายได้ดีตั้งแต่ช่วงล็อกดาวน์เป็นต้นมา นอกจากนั้นจะมีการเปิดโครงการใหม่ที่ อยุธยา และ ศรีราชา ในปีนี้ อีกทั้งคาดว่า CPN จะบันทึกกำไรพิเศษประมาณ 1.5-2 พันล้านบาท จากการขายทรัพย์สินของเซ็นทรัลมารีนาพัทยา และ เซ็นทรัลลำปาง ให้กับ CPNREIT ทั้งนี้ CPN ประกาศจ่ายเงินปันผลปี 2563 เท่ากับ 0.70 บาท/หุ้น (XD 4 มี.ค.) คิดเป็นอัตราผลตอบแทน 1.4%
ความเสี่ยง
การระบาดของโควิด-19 ขยายวงกว้าง ปรับขึ้นค่าเช่าได้น้อยกว่าคาด เลื่อนเปิดโครงการ การชุมนุมทางการเมือง
Suttatip Peerasub
(66) 2658 6300 ext 1430
Tipco Asphalt (TASCO)
ได้แหล่งน้ำมันใหม่ ครึ่งปีแรกจะยังเด่น
HOLD
Share Price THB 21.20
12m Price Target THB 21.00 (-1%)
Previous Price Target THB 17.80
ประเด็นการลงทุน
แนวโน้มผลประกอบการครึ่งแรกปี 2564 จะดีกว่า 4Q63 เนื่องจากราคายางมะตอยปัจจุบันปรับขึ้น 15%YTD ในขณะที่ TASCO มีน้ำมันดิบต้นทุนถูกกลั่นถึงกลางปี 2564 เป็นอย่างน้อย ปัจจัยลบเรืองแหล่งน้ำมันดิบใหม่ผ่อนคลายลง จากที่เริ่มสั่งซื้อน้ำมันดิบจากแหล่งใหม่เข้ามา 2 ลำเรือ และ จะสั่งต่อเนื่องเดือนละ 1 ลำเรือ เราปรับประมาณการเพิ่มขึ้น และ บนฐาน10ปี Forward P/E+1SD = 14.1 เท่า ตามดัชนีกลุ่มวัสดุก่อสร้าง จะทำให้ราคาเป้าหมายเพิ่มเป็น 21.0 บาท จาก 17.8 บาท แนวโน้มที่ดีขึ้น แต่เรากังวลครึ่งปีหลัง เราเพิ่มเกรดคำแนะนำ เป็น ถือ จากเดิม ขาย
4Q63 กำไรชะลอตัว แต่ยังอยู่ในเกณฑ์ดี
กำไร 4Q63 เท่ากับ 794 ล้านบาท ใกล้กับที่เราคาดหมายไว้เมื่อวันที่ 11 พ.ย. เท่ากับ 800 ล้านบาท โดยชะลอตัวลงจากไตรมาสก่อ 57%QoQ แต่เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 24%YoY ยอดขายลดลงเหลือ 5,927 ล้านบาท (-31%QoQ, -38%YoY) เนื่องจากเน้นลูกค้ารีเทลมากขึ้น ลดการขายส่งลง ทำให้อัตรากำไรขั้นต้นอยู่ในเกณฑ์ดี 19.2% จากปีก่อน 10.6% แต่ต่ำกว่าไตรมาสก่อน 29.9% จากไตรมาสก่อนได้ผลบวกต้นทุนน้ำมันดิบในสต็อกต่ำ รวมปี 2563 มีกำไรสุทธิ 3,592 ล้านบาท เติบโต 15%
เริ่มสั่งซื้อน้ำมันดิบแหล่งใหม่ 2 ลำเรือ
ปัจจัยลบเรืองแหล่งน้ำมันดิบใหม่ผ่อนคลายลง จากที่เริ่มสั่งซื้อน้ำมันดิบจากแหล่งใหม่เข้ามา 2 ลำเรือ โดยลำแรกจะเข้ามาเดือน มี.ค. 64 อีกลำจะเข้ามาในเดือน เม.ย. 64 ผู้บริหารคาดในอนาคตจะมีการซื้อต่อเนื่องเดือนละ 1 ลำเรือ เพื่อรองรับการกลั่นในครึ่งปีหลัง ในขณะที่นำมันดิบจากเวเนซูเอลา ซึ่งถูกสหรัฐฯ Sanction ได้หยุดซื้อตั้งแต่ปลายเดือน พ.ย. 63 ซึ่ง TASCO มีการเช่า Floating storage สามารถเก็บน้ำมันดิบได้ถึง 1.8 ล้านบาร์เรล รวมกับถังเก็บน้ำมันดิบ 8 ถังอีก 2.3 ล้านบาร์เรล และ เมื่อรวมกับน้ำมันดิบระหว่างเดินทาง จะรองรับการกลั่นได้ถึงกลางปี 2564 เป็นอย่างน้อย
ตั้งเป้าหมายยอดขายปี 2564 ต่ำ 1.25 ล้านตัน
ผู้บริหารตั้งเป้าหมายยอดขายในปี 2564 ต่ำ 1.25 ล้านตัน ลดลง 28.5% แบ่งเป็น ตลาดในประเทศ 500,000 ตัน ใกล้เคียงปีก่อน และ ตลาดต่างประเทศ 725,000 ตัน ลดลง 41.5% เนื่องจากน้ำมันดิบจากแหล่งใหม่มีราคาสูง และ ให้ Yield ในการกลั่นน้อย 50-55% เทียบกับแหล่งเวเนซูเอลา 70% ทำให้ทาง TASCO จะเน้นลูกค้ารีเทล มากขึ้น ซึ่งมีมาร์จิ้นที่ดีกว่าขายส่งมาก สำหรับประมาณการของเราประเมินปริมาณขาย 1.5 ล้านตัน โดยขายในประเทศ 5 แสนตัน แต่จากราคายางมะตอยปัจจุบันพุ่งขึ้นแรง 368 เหรียญ/ตัน (+15%YTD) และ แนวโน้มจะเพิ่มต่อ ในขณะที่ TASCO สต็อกราคาเก่าราคาถูกสามารถกลั่นได้ถึงกลางปีนี้ เราปรับประมาณการกำไรปี 2564 เพิ่มขึ้น 15% สู่ระดับ 2,338 ล้านบาท แต่ยังลดลงจากปีก่อน 34%
Surachai Pramualcharoenkit
(66) 2658 6300 ext 1470
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web