- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 16 February 2021 12:43
- Hits: 11047
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 16-2-2021
กลยุทธ์การลงทุนรายวัน
SET
ดัชนีตลาดหลักทรัพย์
1,522.72 +14.37
สรุปมูลค่าการซื้อขาย 15 ก.พ. 64
นักลงทุน สุทธิ
สถาบัน -3,593.02
บัญชี บล. 351.35
ต่างชาติ 1,650.94
ในประเทศ 1,590.72
MARKET SUMMARY
วานนี้ SET แกว่งขึ้น สอดคล้องกับตลาดภูมิภาค แรงหนุนจากความหวังเศรษฐกิจโลกฟื้นตัว โดย SET ปิดที่ 1,522.72 (+14.37 จุด) มูลค่าการซื้อขาย 1.07 แสนล้านบาท (เทียบกับวันก่อนหน้า 1.06 แสนล้านบาท)
โดยนักลงทุนต่างชาติซื้อหุ้นไทย 1,651 ลบ. (นักลงทุนสถาบันขาย 3,593 ลบ.) ส่วนตลาด TFEX นักลงทุนต่างชาติเปิด Long Futures ที่ 6,619 สัญญา)
STOCK PICKS & TRADING IDEA
KCE (ราคาเป้าหมายเชิงกลยุทธ์ 60 บาท) คาดแนวโน้มยอดขาย PCB จะฟื้นตัวตามยอดขายรถยนต์ปีนี้ที่ 10-15%YoY (Vs ปี 2020 ที่หดตัว -20%YoY) และในแง่กำไรคาดจะกลับมาขยายตัวแรงกว่า +80%YoY ทำจุดสูงสุดใหม่ในรอบ 2 ปี จากการเกิด Economy of scale และการลดค่าใช้จ่ายในช่วงที่ผ่านมา
INVESTMENT THEME
คาด GDP ไทยปี 64 ที่ +3.5%YoY : วานนี้สภาพัฒน์รายงาน 4Q63 GDP ของไทยที่ -4.2%YoY ดีกว่าที่ตลาดประเมินไว้ที่ -5.4%YoY โดยพบว่าการบริโภคภาคเอกชน +0.9% ขยายตัวสวนคาด ถือเป็นการปรับเพิ่มขึ้นครั้งแรกตั้งแต่ 1Q63 โดยได้แรงหนุนจากการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐฯ (โครงการคนละครึ่ง, เราเที่ยวด้วยกัน, ช๊อปดีมีคืน) ส่งผลให้ GDP ปี2563 หดตัว -6.1%YoY แย่สุดตั้งแต่เกิดวิกฤติการณ์ต้มยำกุ้ง 2540 ที่ -7.6%YoY โดยสำหรับภาพรวมปี 2564 สภาพัฒน์ได้ปรับลดคาดการณ์ GDP ลงสู่กรอบ 2.5%-3.5% จากคาดการณ์เดิมตอนเดือน พ.ย.63 ที่ 3.5%-4.5% โดยมุมมองของเราประเมินที่ +3.5%YoY ซึ่งคาดว่าภาคการส่งออกในปี 64 จะมีแนวโน้มขยายตัวได้ดี ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลก เป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ ส่วนทางด้านภาคการท่องเที่ยวอาจยังฟื้นตัวช้า โดยสภาพัฒน์ได้มีการคาดการณ์จำนวนนักท่องเที่ยวปี 64 ที่ 3.2 ล้านคน ลดลงจากคาดเดิมที่ 5 ล้านคน ซึ่งคงต้องติดตามการทยอยฉีดวัคซีนทั่วโลก ซึ่งจะเป็นปัจจัยที่หนุนภาคการท่องเที่ยวให้ฟื้นตัวกลับได้ โดยสำหรับวัคซีนล๊อตแรกที่จะเข้าไทย คาดจะอยู่ในช่วงปลายเดือน ก.พ.นี้
Investment Strategy : วันนี้คาด SET แกว่งขึ้น แนวรับ 1,510 จุด และแนวต้าน 1,540 จุด เน้นหุ้นที่มีแนวโน้มกำไรขยายตัวเด่น โดย ATO Picks วันนี้แนะนำ “KCE, KBANK”
EYES ON
ปัจจัยต่างประเทศ :
-17 ก.พ. ยอดค้าปลีกของ US, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม US, รายงานการประชุม FOMC รอบที่ผ่านมา, ดัชนี GDP 4Q63 ของ Eurozone
-18 ก.พ. ยอดผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์ US
ปัจจัยในประเทศ :
-การอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรี 16-20 ก.พ.
-การรายงานผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน
SET
แนวรับ : 1513/1500
แนวต้าน : 1530/1560
KrungThai Card (KTC TB)
กระจายพอร์ตสู่สินเชื่อที่มีหลักประกัน
HOLD
Share Price THB 67.50
12m Price Target THB 68.00 (+1%)
Previous Price Target THB 46.00
ได้ใบอนุญาตทำธุรกิจเช่าซื้อ ขยายโอกาสธุรกิจ อัพเกรดเป็น ถือ
เรามีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อ KTC และอัพเกรดจาก SELL เป็น HOLD หลังจากที่บริษัทจะเข้าซื้อ Krungthai Leasing (KTL ไม่มีคำแนะนำ) เพื่อกระจายพอร์ตไปยังสินเชื่อที่มีหลักประกัน เราปรับเพิ่มคาดการณ์กำไรปี 64-65 ขึ้น 6-7% เพื่อสะท้อนต้นทุนสินเชื่อที่ลดลงและหนี้เสียได้รับคืนที่สูงขึ้นตามคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น พร้อมปรับเพิ่ม TP เป็น 68 บาท (P / BV ปี 64 ที่ 6.5 เท่า, P / E 28 เท่า และ ROE 27%) จาก 46 บาท KTC ประกาศจ่ายเงินปันผล 0.88 บาท /หุ้น คิดเป็น 43% ขึ้น XD ในวันที่ 19 เมษายน
ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 8%
KTC ตั้งเป้ายอดใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเติบโต 8% YoY ในปี 64 เนื่องจากฐานต่ำที่ -7.7% ในปี 63 CEO ตั้งเป้าสินเชื่อเติบโต 5% YoY ในปี 64 หนุนโดยทั้งบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล เราคาดว่าการใช้จ่ายผ่านบัตรและสินเชื่อจะฟื้นตัวเต็มที่หลังจากการท่องเที่ยวต่างประเทศกลับมาในปี 65 ต้นทุนทางการเงินน่าจะลดลงอีกเนื่องจาก KTC มีแผนจะเพิ่มสัดส่วนการระดมทุนระยะสั้น อย่างไรก็ตาม NIM จะยังคงถูกกดดันเนื่องจากผลกระทบทั้งปีของการลดอัตราดอกเบี้ยลง
คุณภาพสินทรัพย์ดีขึ้นพร้อมต้นทุนสินเชื่อที่ลดลง
CEO ตั้งเป้า NPL Ratio ทรงตัว YoY ที่ 1.8% ในปี 64 เนื่องจากบริษัทได้กำหนดเกณฑ์การอนุมัติเงินกู้ที่เข้มงวดขึ้นจากอัตราดอกเบี้ยเรียกเก็บที่ลดลง อัตราการอนุมัติลดลงเหลือ 34% / 20% ในเดือน ธ.ค. 63 จาก 45% / 34% ในเดือน ม.ค.63 สำหรับสินเชื่อบัตรเครดิตและสินเชื่อส่วนบุคคล ด้วยเกณฑ์การอนุมัติสินเชื่อที่เข้มงวดขึ้นในสินเชื่อที่ไม่มีหลักประกันและกลยุทธ์ทางธุรกิจในการขยายสินเชื่อที่มีหลักประกัน เราเชื่อว่า KTC จะเพิ่มขีดความสามารถในการทำกำไรที่สูงขึ้นในระยะยาวเนื่องจากต้นทุนสินเชื่อที่ลดลง
มุมมองบวกกับการเข้าซื้อกิจการของ KTL
KTC ได้อนุมัติการเข้าถือหุ้น 75.05% ใน KTL ซึ่งดำเนินธุรกิจเช่าซื้อและให้เช่ารถยนต์ รถบรรทุกและเครื่องจักร สินทรัพย์รวมของ KTL ลดลงเหลือ 3.2 พันล้านบาท โดยมีกำไร 176 ล้านบาทในปี 63 การซื้อกิจการครั้งนี้เป็นผลดีต่อ KTC เนื่องจากจะทำให้มีโอกาสเติบโตในระยะยาวในธุรกิจเช่าซื้อ และการปล่อยสินเชื่อจำนำทะเบียนรถยนต์ เราเชื่อว่า KTC จะมุ่งเน้นการติดตามหนี้และลด NPL ของพอร์ต KTL ปัจจุบันในปีนี้ และเปิดสาขาใหม่และขยายตัวแทนจำหน่าย / ตัวแทนเพื่อขยายสินเชื่อที่มีหลักประกันในปีหน้า
Jesada Techahusdin,CFA
(66) 2658 6300 ext 1395
Thai Oil (TOP TB)
ฟื้นตัวแน่ ช้าแต่ชัวร์
HOLD
Share Price THB 59.00
12m Price Target THB 58.00 (-2%)
Previous Price Target THB 48.00
อัพเกรดเป็น ถือ กำลังฟื้นตัว
เรามองว่าตลาดยังคงจับตาความเสี่ยงของกลุ่มนี้ที่ยังมีอยู่ จาก 1) การส่งออกในภูมิภาคของจีน 2) การเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของการใช้กำลังการผลิตของโรงกลั่นในภูมิภาค 3) ค่าพรีเมียมน้ำมันดิบที่สูงขึ้น แต่ล่าสุดพบว่ามีพัฒนาการเชิงบวก 2 ประการ คือ 1) การฉีดวัคซีนทั่วโลกเร็วกว่าคาดจะช่วยเร่งความต้องการให้ฟื้น 2) ฤดูหนาวที่หนาวจัดทำให้ความต้องการน้ำมันชนิดกลางเพิ่มมากขึ้น เราอัพเกรดคำแนะนำเป็น ถือ เพิ่ม TP เป็น 58 บาท (1.0x, 2021E P / B) ค่าการกลั่นจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างต่อเนื่อง แม้ว่าน้ำมันเครื่องบินจะยังคงเป็นตัวฉุดไปจนถึงไตรมาส 3/64 สเปรดน้ำมันระดับกลางที่ฟื้นตัวแกร่งจากความหนาวจัดถือเป็นปัจจัยหนุน TOP ซึ่งมีสัดส่วนน้ำมันระดับกลางสูง (50% ของผลิตภัณฑ์)
NPAT ไตรมาส 4/63 พุ่ง จากรายการพิเศษ
NPAT ไตรมาส 4/63 อยุ่ที่ 7.2 พันล้านบาท (915% QoQ, 266% YoY) การฟื้นตัวที่แข็งแกร่งเป็นผลมาจากรายการพิเศษที่ไม่เกิดขึ้นซ้ำ 1) กำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน 2.3 พันล้านบาท 2) กำไรจากสต็อก 1.8 พันล้านบาท 3) กำไรจากการขาย GPSC 5.8 พันล้านบาท ผลประกอบการสูงกว่าประมาณการของเราและตลาด 7% และ 5% ขณะที่ Market GIM (การดำเนินงานหลัก) เพิ่มขึ้น 2.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เป็น 3.6 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล แบบ่งเป็น 1) +2.3 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรลจากการกลั่นน้ำมันดิบที่ลดลงและส่วนต่างราคาน้ำมันเครื่องบินที่ดีขึ้น 2) อะโรเมติกส์เพิ่มขึ้น 0.4 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล เนื่องจากสเปรด BZ เพิ่มขึ้น 360% แต่สเปรด PX ทรงตัว การใช้กำลังการกลั่นเพิ่มขึ้น 8% เป็น 101% ในขณะที่การผลิตอะโรเมติกส์เพิ่มขึ้น 14% เป็น 70% ในไตรมาส 4/63
มองไปข้างหน้า ปี 64
เราประเมินค่าการกลั่นปี 64 ที่ 2.8 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล ค่าการกลั่น 1H21 จะยังคงอ่อนตัวที่ 1.5 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล แต่น่าจะเร่งขึ้นใน 2H21 โดยอุปสงค์ส่วนใหญ่จะฟื้นตัวกลับสู่ระดับก่อนโควิด-19 ยกเว้นน้ำมันเครื่องบิน น้ำมันเบนซินและน้ำมันเครื่องบินในประเทศกลับสู่ระดับก่อนโควิดแล้ว แต่น้ำมันเครื่องบินยังคงอยู่ที่ 20-30% ของระดับก่อนหน้า ระดับสินค้าคงคลังของผลิตภัณฑ์ในภูมิภาคอยู่ในค่าเฉลี่ย 5 ปี แต่เพิ่มสูงขึ้นในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเนื่องจากผู้กลั่นเพิ่มกำลังการผลิต ซึ่งอาจส่งผลให้เกิดอุปทานส่วนเกินในระยะใกล้ คาด TOP จะคงอัตราการใช้กำลังการผลิตไว้ที่ 100-105% ในปี 64 ในด้าน capex TOP ต้องใช้เงิน 1.6/0.9 พันล้านเหรียญสหรัฐในปี 64/65 สำหรับโครงการ Clean Fuel แม้จะมีเงินสดอยู่ในมือ 2 พันล้านเหรียญสหรัฐ แต่ TOP ก็กำลังสำรวจทางเลือกในการระดมทุน 1) การขยายสินเชื่อของปตท. (500-800 ล้านเหรียญสหรัฐ) 2) การสร้างรายได้จากสินทรัพย์ในปี 64 จะยังคงถูกกดดัน ส่วนต้นทุนการกลั่นเป็นเงินสดอยู่ที่ 2.5 เหรียญสหรัฐ / บาร์เรล
อากาศหนาว + วัคซีนมาเร็วกว่าคาด
สภาพอากาศที่หนาวเย็นจัดในเอเชียตะวันออกเฉียงเหนือ ยุโรปและสหรัฐอเมริกาถือเป็นปัจจัยบวกหนุนกลุ่มนี้ ความต้องการน้ำมันระดับกลางเพิ่มขึ้น ได้แก่ น้ำมันก๊าด / น้ำมันทำความร้อน ขณะที่บริษัทผลิตไฟฟ้าหันไปใช้น้ำมันดีเซลและ LSFO แทนก๊าซเนื่องจากราคาที่พุ่งสูงขึ้น โดย Middle Distillate และ LSFO คิดเป็น 50% และ 4% ของผลิตภัณฑ์ของ TOP การเปิดตัววัคซีนที่เร็วกว่าคาดทั่วโลกจะหนุนกลุ่มนี้ ขณะนี้วัคซีน 174 ล้านโดสได้รับการจัดสรรไป 177 ประเทศ (สหรัฐอเมริกา 53 ล้านโดส) โดยมีปริมาณ 5.96 ล้านโดส/วัน ไฟเซอร์คาดว่าจะจัดหา 200 ล้านโดสให้สหรัฐภายในสิ้นเดือนพฤษภาคมนี้ ซึ่งเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ 2 เดือน
Kaushal Ladha, CFA
(66) 2658 5000 ext 1392
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web