- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 26 May 2014 17:08
- Hits: 3357
บล.เคเคเทรด : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
HIGHLIGHT ผลกระทบจากรัฐประหารอาจแย่กว่าปี 2549 ดีดขึ้นช่วงสั้น ยังมองขายลดความเสี่ยงก่อน
SET View
ประเด็นหลักวันนี้ ในระยะสั้นไม่เกิน 1 สัปดาห์เรายังคงมองการดีดตัวขึ้นมาของ SET ซึ่งแม้ว่าจะเป็นไปตามที่เราคาดไว้ในวันศุกร์ที่ผ่านมาเป็นโอกาสในการขายลดความเสี่ยงออกมาก่อน เนื่องจากเราประเมินว่าตราบใดที่ SET ยังคงไม่สามารถกลับไปปิดเหนือ 1,410 จุดได้ ยังมีโอกาสที่จะลงไปสร้างฐานในกรอบ 1,380-1,350 จุด โดยที่ปัจจัยกดดันสำคัญคือความเป็นไปได้ที่นักลงทุนต่างชาติจะขายลดความเสี่ยงออกมาก่อนตรงข้ามกับปี 2549 เนื่องจากจากสถานการณ์เศรษฐกิจในปีนี้ที่มีความเปราะบางมากกว่า โดยเฉพาะ GDP และการส่งออกที่ในปี 2549 ขยายตัวราว 4.5% YoY และ 10% YoY ตามลำดับ เทียบกับในปีนี้ที่ GDP และการส่งออกแทบไม่ขยายตัวเลย นอกจากนี้เศรษฐกิจไทยหลังรัฐประหารปี 2549 ยังมีตัวช่วยจากการผ่อนคลายนโยบายการเงิน โดยที่แบงก์ชาติลดดอกเบี้ยลงถึง 1.75% สู่ระดับ 3.25% ในปี 2548 แต่ในสถานการณ์ปัจจุบันแบงก์ชาติแทบไม่เหลือความคล่องตัวในการลดดอกเบี้ยแล้ว เนื่องจากดอกเบี้ยนโยบายปัจจุบันอยู่ในระดับที่ต่ำเพียง 2% เท่านั้นอยู่แล้ว ขณะที่เราประเมินว่าอัตราเงินเฟ้อ ณ สิ้นปี 2557 จะขยับขึ้นมาอยู่ที่ 3% และเฟดจะเริ่มขึ้นดอกเบี้ยในปี 2558
ทิศทางของกระแสเงินทุนในตลาดการเงินโลกยังคงเป็นอีกหนึ่งปัจจัยกดดัน จากที่ในสัปดาห์ที่ผ่านมา (15-21 เม.ย.2557) ตลาดหุ้นโลกกลับมามีเม็ดเงินไหลออกราว 7.0 พันล้านดอลลาร์ สวนทางกับตลาดพันธบัตรโลกที่มีเม็ดเงินไหลเข้าราว 5.9 พันล้านดอลลาร์ สะท้อนให้เห็นระดับการยอมรับความเสี่ยง หรือ Risk Appetite ของนักลงทุนในตลาดการเงินโลกที่ลดลง โดยที่ตลาดหุ้นสหรัฐมีเม็ดเงินไหลออกมากที่สุดราว 1.1 หมื่นล้านดอลลาร์ ขณะที่ในส่วนของตลาดหุ้นในกลุ่ม TIP โดยรวมมีกระแสเงินทุนไหลเข้าราว 134 ล้านดอลลาร์ แต่เป็นการไหลเข้าเฉพาะตลาดหุ้นอินโดนีเซีย และฟิลิปปินส์ราว 437 และ 76 ล้านดอลลาร์ ขณะที่ปัจจัยการเมือง ทำให้ตลาดหุ้นไทยมีกระแสเงินทุนไหลออกถึง 379 ล้านดอลลาร์
กลยุทธ์การลงทุน การลงทุนระยะสั้น (ไม่เกิน 1 สัปดาห์) กรณีที่ SET ยังกลับไปปิดเหนือ 1,410 จุดไม่ได้ แนะนำ “ถือเงินสด 100%” ต่อไป ขณะที่การลงทุนระยะกลาง (3-6 เดือน) แนะนำ “รอเพิ่มพอร์ตหุ้น” จากเดิม 50% มาเป็น 75% ในกรอบ 1,350-1,330 จุด โดยยังคงเน้นหุ้นกลุ่ม “Value Investing” ได้แก่ AP, SIRI, HEMRAJ, AAV, MAJOR, ESSO และ SAMART
Stock Picks
EGCO (+) ถือว่าเป็นหุ้นที่ราคายัง Laggard หุ้นอื่นในกลุ่มพลังงาน โดยปัจจุบันซื้อขายที่ P/BV เพียงระดับ 0.95 เท่า ทั้งนี้ในภาวะที่ตลาดผันผวนหุ้นไฟฟ้าถือเป็น Defensive Stock โดย EGCO ให้อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยประมาณ 4.5% ต่อปี สูงที่สุดในกลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้า (อัตราผลตอบแทนจากเงินปันผลเฉลี่ยของกลุ่มธุรกิจผลิตไฟฟ้าในปี 2557 อยู่ที่ 3.3%) ขณะที่ราคา EGCO ยังคงมี Upside จากมูลค่าเหมาะสมที่ 150.00 บาท อีก 14% ยังคงแนะนำ “ซื้อ”
MFEC (+) แม้ว่าเราจะปรับประมาณการผลประกอบการของ MFEC ลงเพื่อสะท้อนปัจจัยเสี่ยงทางการเมืองและการเลื่อนโครงการของภาครัฐ ซึ่งมีผลต่อมูลค่าเหมาะสมให้ลดลง แต่ราคาหุ้นปัจจุบันยังคงมี Upside 10% อีกทั้งยังมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลต่อปี 6-7% ราคาหุ้น MFEC ซื้อขาย PE ปี 2557 ที่ 12.6 เท่า ถูกลงเมื่อเทียบกับราคาหุ้นช่วง 1 เดือนที่ผ่านมาซื้อขาย PE เกือบ 16 เท่า แนวโน้ม 2Q57 คาดว่ากำไรสุทธิฟื้นตัว QoQ จากการรับรู้รายได้งานโครงการที่เลื่อนรับรู้จาก 1Q57 และ 4Q56 มองเป็นประเด็นบวกต่อราคาหุ้น แนะนำเป็น “ซื้อ” มูลค่าเหมาะสม 8.00 บาท
Technical Plays
ดัชนี หุ้นเมื่อวันก่อนปิดดีดตัวขึ้นจากระดับ 1375 จุด คาดว่าจะแกว่งตัวในกรอบ 1390-1400 จุด อาจมีการแกว่งตัวเล็กน้อย 1-2 วันในกรอบนี้ ถ้าดัชนีหุ้นยืนเหนือระดับ 1390 จุด แนวโน้มระยะสั้นยังแกว่งขึ้นได้