- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 29 October 2014 15:32
- Hits: 2019
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Trim More
ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ทะลุ 1,555 จุด ปิดที่ 1,556.53 จุด บวกเป็นวันที่ 4 อีก 8.64 จุด มูลค่าการซื้อขายหนาแน่น 51,139 ล้านบาท
แม้ว่าต่างชาติจะขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 เร่งขึ้นเป็น 2,321 ล้านบาท แต่คงการ Long สุทธิใน SET50 Index เป็นวันที่ 3 มากถึง 7,582 สัญญา น่าจะเป็นการเร่งปิดสถานะ Short ที่เปิดไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมพลิกกลับมาซื้อสุทธิตลาดตราสารหนี้อีกครั้ง 3,199 ล้านบาท
SET INDEX วานนี้ปิดยืนเหนือ 1,555 จุดพร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่น ส่งสัญญาณเชิงบวกทางด้านเทคนิค อย่างไรก็ตาม MBKET ประเมินว่าด่านสำคัญ 1,560 จุด จะยังไม่ผ่านในวันนี้ คาด SET INDEX ต้องเผชิญกับแรงขายทำกำไรมากยิ่งขึ้นในบริเวณดังกล่าว เพื่อปิดความเสี่ยงของการประชุมเฟดในคืนนี้ เพราะ
•กรณี Base Case เฟดตัดสินใจยุติ QE และส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง อาจเกิดแรงขายทำกำไร (Sell on Fact) MBKET ให้น้ำหนักกับแนวทางนี้มากที่สุด
•กรณี Best Case เฟดตัดสินใจคงวงเงิน QE ที่ US$1.5 หมื่นล้าน/เดือนต่อไปอีกระยะหนึ่ง เนื่องจากอัตราเงินเฟ้อในสหรัฐฯ อยู่ในระดับต่ำกว่าเป้าหมาย หากเป็นแนวทางนี้ ตลาดหุ้นทั่วโลกจะตอบรับในเชิงบวกอย่างโดดเด่น SET INDEX มีโอกาสดีดตัวขึ้นทดสอบ 1,580 จุด ตามที่ตลาดประเมินไว้ ณ ปัจจุบัน ซึ่ง MBKET ให้น้ำหนักกับแนวทางนี้เป็นลำดับที่ 2
•กรณี Wose Case เฟดตัดสินใจยุติ QE พร้อมส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายภายใน 1H58 จะกลายเป็นปัจจัยลบกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกในทันที MBKET ให้น้ำหนักกับแนวทางนี้น้อยที่สุด
เมื่อ SET INDEX ฟื้นตัวขึ้นตามที่ เราประเมินไว้ในสัปดาห์ที่ผ่านมา แนวรับ 1,520 จุดจะทำงานได้อย่างแข็งแกร่ง ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำให้ “นักลงทุนขายทำกำไรมากขึ้นบริเวณ 1,560 จุด +/-“ หรือ Switch เข้าหาหุ้น laggard ที่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนปัจจัยพื้นฐานที่เด่น
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “เก็งกำไร” VGI / TTA
Portfolio Top Pick in 4Q14: BEUATY / IFEC/ LPN/ PTT/ VGI
HOLD: SAMART/ SPCG/ IFEC/ BTS/ SIM/ CK/ LPN/ VGI/ PTT/ KTB
Speculative Buy: VGI / TTA
Action and Stock of the Day
SET INDEX ปิดทะลุ 1,555 จุด
คาด SET INDEX วันนี้แกว่งแคบ และยังไม่น่าปิดยืนเหนือ 1,560 จุดได้
เงินทุนต่างชาติชะลอการลงทุน ต่างรอดูผลการประชุมเฟดในคืนวันนี้
หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง อย่าง BEAUTY / IFEC / LPN / TTA / VGI เป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรในระลอกของการดีดตัวช่วงสั้น
กลยุทธ์การลงทุน ขายทำกำไรบางส่วนบริเวณ 1,560 จุด +/-
หรือปรับพอร์ตเข้าหาหุ้น Laggard ตลาดหุ้นเอเชียทั่วเอเชียวานนี้ปิดบวก – ลบ สลับกันเช่นเดียวกับวันก่อนหน้า เพียงแต่ ตลาดหุ้นจีน / HSKI ปิดบวกเด่น 2.07% ตลาดหุ้นจีน และ 1.63% HSKI หลังรายงานตัวเลขกำไรภาคอุตฯ ของจีนออกมาดีกว่าคาด
ด้านตลาดหุ้นไทย SET INDEX แกว่งทดสอบ 1,550 จุด +/- ตลอดชั่วโมงการซื้อขาย ผลักดันโดยหุ้นหลักในกลุ่ม ICT เช่นเดิม อย่าง ADVANC / TRUE รวมถึงหุ้นขนาดใหญ่อื่น เช่น AOT, SCB, PTT เป็นต้น ส่งผลให้ SET INDEX ทะลุ 1,555 จุดได้ มาอยู่ที่ 1,556.53 จุด บวกเป็นวันที่ 4 อีก 8.64 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขายมากถึง 51,139 ล้านบาท
กลุ่มที่ปิดบวกดีสุด ได้แก่ กลุ่มขนส่ง +2.47%, กลุ่ม ICT +2.30% และกลุ่มยานยนต์ +1.75% ส่วนกลุ่มหลักกลุ่มธนาคาร +0.60%, กลุ่มอสังหาฯ +0.24% และกลุ่มพลังงาน -0.39%
ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นเอเชีย (7.21 น.) เช้านี้ Nikkei – Kospi เปิดบวก โดย Nikkei +0.52% เมื่อตัวเลขผลผลิตภาคอุตฯ เดือนก.ย.ของญี่ปุ่นออกมาดีกว่าคาด
เราคงมุมมองต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยเป็ฯ “กลางถึงบวก” เป็นวันที่ 2 แม้ว่า SET INDEX จะยังไม่ผ่านแนวต้าน 1,560 จุด ในช่วงสั้นนี้ก็ตาม แต่ภาพรวมของการลงทุนในตลาดหุ้นไทย กลับมี downside risk ที่จำกัดมากยิ่งขึ้น แนวรับ 1,520-1,530 จุด จะยังทำงานได้อย่างแข็งแกร่ง หากเกิดกรณีที่เหนือความคาดหมาย อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติ ขายสุทธิตลาดหุ้นไทย YTD สูงกว่า 2.0 หมื่นล้านบาท ณ ปัจจุบัน ภายใต้ภาวะเศรษฐกิจที่มีแนวโน้มฟื้นตัวดีขึ้น หลังการส่งออกเดือนก.ย.เติบโตกว่า 3% yoy สูงกว่าคาด
อย่างไรก็ตาม ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก แกว่งในกรอบแคบ เพื่อรอดูผลการประชุมเฟดในคืนวันนี้ ต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งจะมีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ดังนั้น SET INDEX จะขยับขึ้นทดสอบและปิดยืนเหนือแนว 1,580 จุด ในช่วงสั้นนี้ ตามที่ความเห็นของนักเทคนิคส่วนใหญ่ในตลาดประเมินภาพ SET INDEX ณ ปัจจุบัน ได้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการประชุมเฟดในคืนนี้
•กรณีที่ดีที่สุด Best Case: เฟด ตัดสินใจคง วงเงิน QE ในชุดสุดท้าย US$15,000 ล้าน/เดือน ด้วยเหตุผลของ ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงมากต่อการชะลอตัวมากขึ้น อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ชะลอตัว สร้างความกังวลต่อเฟด
หากเป็นกรณีนี้ คาดว่า DJIA จะกลับไปยืนเหนือ 17,000 จุดได้ พร้อมกับ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่า เป็นบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมัน และ ทองคำ และแน่นอนว่า SET INDEX จะดีดตัวขึ้นทดสอบ 1,580 จุด ผลักดันโดยหุ้น Big Cap อย่างกลุ่มธนาคาร / กลุ่มพลังงาน
•กรณีเป็นกลาง Base Case: เฟดตัดสินใจลดวงเงิน QE ตามที่ตลาดประเมินไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมส่งสัญญาณ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ต่อไปอีกระยะหนึ่ง หลังสิ้นสุด QE
หากเป็นกรณีนี้ คาดว่า DJIA จะแกว่งในกรอบแคบ เพราะผลการประชุมเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ณ ปัจจุบัน DJIA จึงเคลื่อนไหวตามผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศในคืนนี้ ส่วนผลกระทบต่อ SET INDEX จึงเป็นกลาง หรืออาจเกิด Sell on fact กดดันให้ SET INDEX ย่อตัวเล็กน้อย
•กรณีเลวร้าย Worst Case: เฟดตัดสินใจลดวงเงิน QE ตามที่ตลาดคาด พร้อมกับส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในบางช่วงเวลาภายในกลางปีหน้า
หากเป็นกรณีนี้ คาดว่า DJIA จะปรับฐานลงแรงหลุดแนว 16,000 จุด ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ส่งผลลบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งน้ำมันและทองคำ และแน่นอนว่า SET INDEX มีโอกาสปรับฐานลงแรงทดสอบแนว 1,520-1,525 จุด ด้วยแรงขายจากต่างชาติในการปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อนำไปปิดความเสียหายในตลาด DJIA และสินค้าโภคภัณฑ์
MBKET ให้น้ำหนักกับกรณี Base Case มากที่สุดราว 60% ขณะที่กรณี Bast case ก็มีโอกาสราว 30% และกรณี Worst case เพียง 10% เท่านั้น
ขณะที่ปัจจัยบวกเฉพาะของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ช่วยจำกัด Downside risk ของ SET INDEX อีกด้านหนึ่ง ได้แก่
•การโรดโชว์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ บจ. 10 แห่งที่จะไปพบผู้จัดการกองทุนทิ่นิวยอร์ค และซานฟรานซิสโก ในวันที่ 27-30 ต.ค. อาจเห็นเม็ดเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยหลังเสร็จสิ้นโรดโชว์
•การปฎิรูปโครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคาก๊าซ LPG และ NGV เป็นบวกต่อ PTT ซึ่งเป็นหุ้น Big Cap ที่ Underperform มาหลายปี
•การเก็งกำไรต่อผลการดำเนินงานใน 3Q57
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุน MBKET แนะนำให้ “ขายทำกำไรมากขึ้นบริเวณ 1,560 จุด +/-“ และกลับมาถือเงินสดมากขึ้นอีกครั้ง หรืออาจปรับพอร์ตการลงทุนบางส่วนไปลงทุนในหุ้น Laggard ที่ราคายังขยับขึ้นได้ช้ากว่ากลุ่ม ขณะที่ผลการดำเนินงานใน 3Q57 ยังเติบโตโดดเด่น
ปัจจัยสำคัญวันนี้
1.น่าสนใจที่ต่างชาติขายตลาดหุ้น แต่ Long สุทธิใน SET50 Index Futures: ตลอด 2 วันทำการที่ผ่านมา ต่างชาติขายสุทธิตลาดหุ้นไทยต่อเนื่องและในอัตราเร่ง ขณะที่ Long สุทธิใน SET50 Index Futures ในอัตราเร่งเช่นกัน
MBKET ประเมินว่า นักลงทุนต่างชาติอาจพยายามกดดัน SET50 Index ไม่ให้ฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว เพื่อเร่งปิดสถานะ Short ที่เปิดไว้ใน SET50 Index Futures ก่อนหน้านั้น เพื่อปิดความเสียหาย เพราะการลงทุนในตราสารอนุพันธ์จะเป็นอัตราทดของการลงทุนในตลาดปกติ
2.จับตาการประชุมเฟดคืนนี้: นักลงทุนทั่วโลกต่างประเมินไว้ ณ ปัจจุบันคือ
•สิ้นสุดโครงการ QE ส่วนที่เหลือ US$1.5 หมื่นล้าน/เดือน
•เฟด จะส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
MBKET ตั้งข้อสังเกตของสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในอียู ณ ปัจจุบัน สูญเสียโมเมนตัมอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภค ลดลงเช่นกัน อาจกลายเป็นความเสี่ยงที่ เฟด ที่ต้องชั่งน้ำหนักมากขึ้น ต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของตนเอง เพราะความแตกต่างของแนวโน้มนโยบายการเงินระหว่างเฟด และ ECB จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่ามากขึ้น กดดันอัตราเงินเฟ้อ และภาคการส่งออกของสหรัฐฯ
3.แต่ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ออกมาต่ำกว่าคาด อาจเป็นตัวแปรสำคัญ: คืนวานนี้ตัวเลขเศรษฐกิจ ทั้งดัชนีราคาบ้าน S&P CS หรือยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทน ออกมาสวนทางกับที่ตลาดคาดการณ์ ขณะที่อัตราเงินเฟ้อเดือนก.ย. เพิ่มขึ้นเพียง 0.1% mom จากเดือนก่อนหน้าที่ -0.2% mom
MBKET ประเมินโอกาสที่เฟดจะใช้ตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ณ ปัจจุบัน บวกกับความเสี่ยงต่อเศรษฐกิจโลกที่เติบโตชะลอตัว เป็นข้ออ้างในการคงนโยบายการเงิน ณ ปัจจุบันต่อไป หรือเกิดในกรณี Best case ก็มีความเป็นไปได้
4.ขณะที่ตัวเลขการส่งออกไทยเริ่มฟื้นตัว:
•การส่งออกเดือนก.ย.ขยายตัว 3.19% yoy เทียบกับ Bloomberg consensus คาด -0.35% yoy โดยเป็นการเร่งส่งออกสินค้าเกษตร โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้าวที่เพิ่มขึ้น 49% yoy ในเดือนก.ย.
•การนำเข้าเดือนก.ย. ขยายตัว 14.42% yoy เทียบกับ Bloomberg consensus คาด -5.65% yoy และเป็นการฟื้นตัวครั้งแรกในรอบปี
แม้ว่าเดือนก.ย. ดุลการค้าจะขาดดุล US$1.80 พันล้าน ก็ตาม แต่การฟื้นตัวของภาคการส่งออก ขณะที่การนำเข้าเพิ่มขึ้นโดดเด่น จากการนำเข้าเครื่องบิน และแท่นขุดเจาะน้ำมันเป็นสำคัญ สะท้อนภาพเชิงบวกต่อการลงทุนภาคเอกชน นอกเหนือไปจากการฟื้นตัวของการนำเข้าวัตถุดิบเหล็ก และชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ เพื่อนำมาผลิตเพื่อการส่งออกอีกทอดหนึ่ง
วานนี้ วันก่อนหน้า
PER14 PER15 PER14 PER15
SET INDEX 15.96 13.66 15.81 13.56
PSE 19.85 17.14 19.95 17.23
JSE 16.25 13.87 16.33 13.93
KOSPI 12.20 10.17 12.20 10.23
TAIEX 13.91 12.74 13.67 12.51
Straits Time 14.12 13.03 14.18 13.08
SHCOMP 9.39 8.35 9.20 8.18
ที่มา: Bloomberg
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ได้แก่
1.VGI : ราคาปิด 12.70 บาท ราคาเหมาะสม 20.80 บาท
a)VGI จะรายงานงบ 2Q57/58 ในวันศุกร์นี้ โดยคาดว่ากำไรจะกลับมาเติบโต +53% qoq เป็น 295 ล้านบาท และเป็นสัญญาณบวกว่าผลประกอบการได้ผ่านพ้นจุดต่ำสุดแล้วจาก 2 ไตรมาสก่อนหน้าที่กำไรชะลอตัวลงจากผลกระทบจากปัจจัยด้านเศรษฐกิจ
b)คงมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตในระยะยาว เนื่องจาก VGI เป็นผู้นำสื่อโฆษณาแบบครบวงจร ได้แก่ สื่อรถไฟฟ้า, สื่อในห้าง และป้ายโฆษณานอกบ้าน นอกจากนั้น การเกิดรถไฟฟ้าสายใหม่อีกเป็นจำนวนมากในอนาคตจะสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันให้กับ VGI ในฐานะบริษัทลูกของ BTS และเป็น Upside ที่ยังไม่รวมไว้ในประมาณการ
c)คาดการณ์กำไรสุทธิปี 2558/2559 เติบโต 29.9% yoy เป็น 1,872 ล้านบาท และกำไรเติบโตเฉลี่ย 3 ปีข้างหน้า (CAGR) สูงถึงปีละ 29% ผลักดันให้ ROE เพิ่มขึ้นจาก 64% ในปี 2557/2558 เป็น 73% ในปี 2559/2560 และเป็นหุ้นที่มี ROE สูงที่สุดในกลุ่ม Media
2.TTA : ราคาปิด 22.00 บาท ราคาเหมาะสม 32.10 บาท
a)MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มเรือเทกอง และคาดว่าการไต่ระดับขึ้นต่อเนื่องของดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BDI) เป็นวันที่ 8 ติดต่อกันอีก 110 จุด เป็น 1,395 จุด จะเป็น Sentiment บวกต่อราคาหุ้น
b)และคาดว่าดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BDI) จะเพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย.จากปัจจัยบวกทางฤดูกาล เพราะเข้าสู่ฤดูหนาว ส่งผลให้ความต้องการใช้เรือเทกองเพื่อขนส่งสินค้า เช่น ถ่านหิน และธัญพืชเพิ่มสูงขึ้น
c)คาดกำไรสุทธิปี 2557/2558 พลิกเป็นกำไร 988 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 5,080 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา และเติบโตสูงในปี 2559 เพิ่มขึ้น +146% yoy เป็น 2,419 ล้านบาท จากแรงหนุนของทุกธุรกิจ ได้แก่ เรือเทกอง, เรือขุดเจาะ, อาหาร และปุ๋ย ที่เติบโตทุกส่วน
d)ราคาหุ้นซื้อขายระดับ PBV 2558 ที่ 0.9 เท่า ต่ำกว่า PSL ที่ 1.3 เท่า และมีปัจจัยบวกรออยู่คือการบริษัทลูก PMTA เข้า IPO ใน 1Q58
What will DJIA move tonight? คืนนี้ติดตามผลการประชุมเฟด
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
เงินทุนต่างชาติวานนี้กลับมาซื้อสุทธิ US$238 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ เล็กน้อย US$0.4 ล้าน
ตลาดหุ้น วานนี้(US$ ล้าน) วันก่อนหน้า(US$ ล้าน) YTD(US$ ล้าน) 2556(US$ ล้าน)
TAIEX 422.2 216.0 10,395.3 9,188.0
KOSPI -114.3 14.1 5,774.2 4,875.1
JSE -52.7 55.8 3,758.5 -1,806.4
PSE -0.4 -6.6 774.4 678.4
ตลาดหุ้นเวียดนาม 1.6 0.3 156.6 263.2
SET INDEX -71.6 -41.5 -616.7 -6,210.5
Foreign Investors Action วานนี้
กระแสเงินทุนต่างชาติยังไม่ชัดเจน
วานนี้ วันก่อนหน้า
ตลาดหุ้น (ล้านบาท) -2,321 -1,344
SET50 Index Futures (สัญญา) +7,582 +1,123
SSF (สัญญา) +214 +1,200
Metal Futures (สัญญา) +1 -15
ตลาดตราสารหนี้ (ล้านบาท) +3,199 -3,757
นักลงทุนต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 3 เร่งขึ้นเป็น 2,321 ล้านบาท รวม 3 วันทำการ ขายสุทธิ 6,428 ล้านบาท และทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิเร่งขึ้นเป็น 21,771 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิเป็นวันที่ 3 มากถึง 7,582 สัญญา รวม 3 วันทำการ Long สุทธิ 9,108 สัญญา กดดันให้ S50Z14 ปิดต่ำกว่า SET50 Index แคบลงเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการเหลือเพียง 1.93 จุด จากวันก่อนหน้า Discount กว้างถึง 9.49 จุด
เป็นที่น่าสังเกตว่า การขายสุทธิในตลาดหุ้น แต่กลับเร่งปิดสถานะ Short ใน SET50 Index Futures อาจเป็นเพราะก่อนหน้า นักลงทุนกลุ่มนี้ Short SET50 Index Futures อย่างหนาแน่น ทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้ต้องกดดัน หลักทรัพย์อ้างอิง หรือ SET50 Index เพื่อเร่งปิดสถานะ Short
และตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนกลุ่มนี้ กลับมา ซื้อสุทธิ 3,199 ล้านบาท แต่ราคาพันธบัตรไทยแกว่งในกรอบแคบ อายุ 10 ปี ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นเพียง 0.11bps ปิดที่ 3.235%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ขยับขึ้นเป็น 344 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 263 ล้านบาท
Stock Total Value(mn Bt) % of trading Volume Avg.Price(Bt)
PTT 45.83 3.70% 355.25
ADVANC 36.44 1.38% 236.34
PTTEP 28.86 2.52% 142.86
BMCL 28.71 2.30% 1.91
BCP 25.31 28.70% 33.59
NVDR Movement
NVDR กลับมาขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 3 วันทำการ เน้นลดน้ำหนักในกลุ่มธนาคาร
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้กลับมาขายสุทธิ 405 ล้านบาท เทียบกับ 2 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 3,978 ล้านบาท ทั้งนี้เน้นการลดน้ำหนักในกลุ่มธนาคาร ภาพรวมสรุปได้ดังต่อไปนี้
1.กลุ่มธนาคารถูกขายสุทธิสูงสุด 329 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 137 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มอสังหาฯ ขายสุทธิ 101 ล้านบาท และกลุ่มพลังงาน ขายสุทธิ 85 ล้านบาท
2.ด้านกลุ่ม ICT ซื้อสุทธิสูงสุดเป็นวันที่ 2 อีก 155 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 521 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มขนส่ง ซื้อสุทธิ 39 ล้านบาท
ซื้อสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการซื้อขาย ขายสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการขาย
INTUCH 351.11 11.16 BBL -501.09 32.71
ADVANC 263.69 12.13 DTAC -283.02 23.24
KTB 89.10 14.15 TOP -63.82 16.88
TUF 71.31 10.09 JAS -62.83 10.46
PTT 62.95 9.39 TRUE -57.58 5.24
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham
Assistant Analyst
662-6586300 x 1530
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong