- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 28 October 2014 17:19
- Hits: 1631
บล.เมย์แบงก์ กิมเอ็ง : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์วันนี้ Sideways
ประเด็นสำคัญวันนี้ ตลาดหุ้นไทยวานนี้ปิดบวกเป็นวันที่ 3 อีก 7.98 จุด มาอยู่ที่ 1,547.89 จุด มูลค่าการซื้อขายดีขึ้นเป็น 46,179 ล้านบาท
แม้ว่าต่างชาติจะขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 1,344 ล้านบาท แต่คงการ Long สุทธิใน SET50 Index เป็นวันที่ 2 อีก 1,123 สัญญา คาดว่าจะเป็นการทยอยปิดสถานะ Short ที่เปิดไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมพลิกกลับมาขายสุทธิตลาดตราสารหนี้เป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 3,757 ล้านบาท
ทิศทางการเคลื่อนไหวของ SET INDEX ในมุมมองของเราคาดแกว่งกรอบแคบระหว่าง 1,535 – 1,550 จุด พร้อมมูลค่าการซื้อขายที่หนาแน่นขึ้น แม้ว่าจะยังไม่ผ่านด่านสำคัญ 1,550 จุด แต่ภาพรวมของการลงทุนของตลาดหุ้นไทย ณ วันนี้ ดีกว่าช่วง 2 สัปดาห์ก่อนหน้าที่เป็นช่วงเวลาของการปรับฐานของ SET INDEX อีกทั้ง downside risk ของ SET INDEX เริ่มจำกัดมากขึ้น แนวรับ 1,530 จุด +/- จะทำงานได้ดีขึ้นในช่วงสั้นๆ นี้ เพื่อรอดูผลการประชุมเฟดในคืนวันพรุ่งนี้ ซึ่งตลาดหุ้นทั่วโลกน่าจะแกว่งแคบเพื่อรอประเด็นดังกล่าวเช่นกัน ณ ปัจจุบัน ตลาดเชื่อว่าเฟดจะประกาศยุติโครงการ QE ในรอบนี้ แต่ประเด็นสำคัญอยู่ที่มุมมองต่ออัตราดอกเบี้ยนโยบายที่จะปรับขึ้นเป็นช่วงเวลาใดในปีหน้า
แน่นอนว่า กระแสเงินทุนต่างชาติในสัปดาห์นี้ เราเชื่อว่าจะไม่โดดเด่นทั้งในแง่ขายหรือซื้อ แม้ว่าการโรดโชว์ของตลทฯ ในนิวยอร์คและซานฟรานซิสโก เริ่มต้นตั้งแต่วานนี้ และสิ้นสุดในวันที่ 30 ต.ค.ก็ตาม นักลงทุนต่างชาติน่าจะเลือกเก็งกำไรเป็นรายตัวต่อผลการดำเนินงานใน 3Q57 ช่วงสั้นนี้
ดังนั้นกลยุทธ์การลงทุนวันนี้ เราแนะนำให้ “พิจารณาขายทำกำไรบางส่วนบริเวณ 1,550 จุด +/-“ และถือพอร์ตการลงทุนส่วนที่เหลือ หรือเปลี่ยนลงทุนในหุ้นที่ราคาหุ้นยังไม่สะท้อนงบการเงิน 3Q57
กลยุทธ์การลงทุนช่วงสั้น MBKET แนะนำ “เก็งกำไร” BEAUTY / TTA
Portfolio Top Pick in 4Q14: BEAUTY / IFEC/ LPN/ PTT/ VGI
HOLD: SAMART/ SPCG/ IFEC/ BTS/ SIM/ CK/ LPN/ VGI/ PTT/ KTB
Speculative Buy: BEAUTY / TTA
Action and Stock of the Day
SET INDEX ปิดยืนเหนือ 1,540 จุด
คาด SET INDEX วันนี้แกว่งแคบ และยังไม่น่าปิดยืนเหนือ 1,550 จุดได้
เงินทุนต่างชาติชะลอการลงทุน ต่างรอดูผลการประชุมเฟดในคืนวันพรุ่งนี้
หุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง อย่าง BEAUTY / IFEC / LPN / TTA / VGI เป็นเป้าหมายของการเก็งกำไรในระลอกของการดีดตัวช่วงสั้น
กลยุทธ์การลงทุน ขายทำกำไรบางส่วนบริเวณ 1,550 จุด +/-
หรือปรับพอร์ตเข้าหาหุ้น Laggard ตลาดหุ้นเอเชียทั่วเอเชียวานนี้ปิดบวก – ลบ สลับกัน โดย HSKI ปิดลบเด่นสุดในตลาดหุ้นหลักของเอเชีย ด้วยความกังวลด้านการเมืองในเกาะฮ่องกง และการซื้อขายระหว่าง 2 ตลาดถูกเลื่อนออกไป
สำหรับตลาดหุ้นไทยวานนี้ ยืนเหนือ 1,540 จุด ผลักดันโดยหุ้นหลักในกลุ่ม ICT / กลุ่มอสังหาฯ เช่น ADVANC / JAS / QH / LPN เป็นต้น ขณะที่หุ้นกลุ่มธนาคารฟื้นตัวเล็กน้อย อีกทั้งบรรยากาศรอบเอเชียเป็นกลางถึงบวก อย่างไรก็ตาม SET INDEX ยังไม่ผ่าน 1,550 จุด ปิดที่ 1,547.89 จุด บวกเป็นวันที่ 3 อีก 7.98 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 46,179 ล้านบาท
กลุ่มที่ปิดบวกดีสุด ได้แก่ กลุ่มรับเหมาก่อสร้าง +2.34%, กลุ่มอสังหาฯ +2.25% และกลุ่ม Fashion +2.22% ส่วนกลุ่มหลักกลุ่ม ICT +1.26%, กลุ่มธนาคาร +0.43% และกลุ่มพลังงาน +0.65%
ภาพตลาดหุ้นไทยวันนี้
ตลาดหุ้นเอเชีย (7.29 น.) เช้านี้ Nikkei – Kospi เปิดลบเล็กน้อย เนื่องจากขาดปัจจัยใหม่เข้าหนุนการลงทุน อีกทั้งนักลงทุนต่างรอดูผลการประชุมเฟดในคืนวันพรุ่งนี้
เราปรับมุมมองต่อภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นไทยขึ้นเป็น “กลางถึงบวก” ครั้งแรกในรอบ 18 วันทำการ หลัง SET INDEX กลับมาปิดยืนเหนือ 1,540 จุด ในวานนี้ พร้อมกับมูลค่าการซื้อขายที่สูงกว่า 45,000 ล้านบาท/วัน สะท้อนบรรยากาศการลงทุนที่ดีขึ้น เมื่อเทียบกับ 2 สัปดาห์ก่อนหน้าที่อยู่ในช่วงของการปรับฐานตลาดหุ้นทั่วโลก แต่เมื่อความกังวลในตลาดหุ้นใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง DJIA ที่คลายตัว ดังจะเห็นได้จาก VIX Index ที่ปรับตัวจากระดับสูงสุดในระลอกนี้ 26.25 จุด ณ วันที่ 15 ต.ค. ลงมาปิดคืนวานนี้ที่ 16.04 จุด
อย่างไรก็ตาม ภาวะการลงทุนในตลาดหุ้นทั่วโลก แกว่งในกรอบแคบ เพื่อรอดูผลการประชุมเฟดในคืนวันพรุ่งนี้ ต่อแนวโน้มนโยบายการเงินของเฟด ซึ่งจะมีผลต่อจิตวิทยาการลงทุนของนักลงทุนทั่วโลก และความสามารถในการทำกำไรของบริษัทจดทะเบียนในตลาดหุ้นสหรัฐฯ
ดังนั้น SET INDEX จะขยับขึ้นทดสอบและปิดยืนเหนือแนว 1,550 จุดได้ภายในสัปดาห์นี้หรือไม่ ขึ้นอยู่กับผลการประชุมเฟด ในคืนวันพรุ่งนี้
•กรณีที่ดีที่สุด Best Case: เฟด ตัดสินใจคง วงเงิน QE ในชุดสุดท้าย US$15,000 ล้าน/เดือน ด้วยเหตุผลของ ภาพรวมเศรษฐกิจโลกที่มีความเสี่ยงมากต่อการชะลอตัวมากขึ้น อีกทั้งอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ชะลอตัว สร้างความกังวลต่อเฟด
หากเป็นกรณีนี้ คาดว่า DJIA จะกลับไปยืนเหนือ 17,000 จุดได้ พร้อมกับ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ ที่อ่อนค่า เป็นบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ อย่างน้ำมัน และ ทองคำ และแน่นอนว่า SET INDEX จะกลับมายืนเหนือ 1,550 จุด และไต่ระดับขึ้นทดสอบด่านถัดไป
•กรณีเป็นกลาง Base Case: เฟดตัดสินใจลดวงเงิน QE ตามที่ตลาดประเมินไว้ก่อนหน้านี้ พร้อมส่งสัญญาณ คงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย ต่อไปอีกระยะหนึ่ง หลังสิ้นสุด QE
หากเป็นกรณีนี้ คาดว่า DJIA จะแกว่งในกรอบแคบ เพราะผลการประชุมเป็นไปตามที่ตลาดคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ณ ปัจจุบัน DJIA จึงเคลื่อนไหวตามผลการดำเนินงานของบริษัทจดทะเบียนที่ประกาศในคืนวันพรุ่งนี้เป็นสำคัญ ส่วนผลกระทบต่อ SET INDEX จึงเป็นกลาง ขึ้นอยู่กับปัจจัยการลงทุนภายในตลาดหุ้นไทย
•กรณีเลวร้าย Worst Case: เฟดตัดสินใจลดวงเงิน QE ตามที่ตลาดคาด พร้อมกับส่งสัญญาณขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายในบางช่วงเวลาภายในกลางปีหน้า
หากเป็นกรณีนี้ คาดว่า DJIA จะปรับฐานลงแรงหลุดแนว 16,000 จุด ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่าเทียบกับสกุลเงินหลักอื่นๆ ส่งผลลบต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์ ทั้งน้ำมันและทองคำ และแน่นอนว่า SET INDEX มีโอกาสปรับฐานลงแรงทดสอบแนว 1,500-1,520 จุด ด้วยแรงขายจากต่างชาติในการปรับพอร์ตการลงทุน เพื่อนำไปปิดความเสียหายในตลาด DJIA และสินค้าโภคภัณฑ์
MBKET ให้น้ำหนักกับกรณี Base Case มากที่สุดราว 60% ขณะที่กรณี Bast case ก็มีโอกาสราว 30% และกรณี Worst case เพียง 10% เท่านั้น ดังนั้น SET INDEX โดยรวม เราจึงประเมินว่า SET INDEX น่าจะขยับในลักษณะ Sideways-to-Sideways-Up ด้วยแรงเก็งกำไรต่อผลการดำเนินงาน 3Q57 ของบริษัทจดทะเบียนตลาดหุ้นไทยเป็นสำคัญ ซึ่งสัปดาห์นี้ จับตาหุ้นหลักในกลุ่ม ICT / กลุ่ม อสังหาฯ ที่จะผลักดัน SET INDEX
ขณะที่ปัจจัยบวกเฉพาะของตลาดหุ้นไทยในสัปดาห์นี้ ช่วยจำกัด Downside risk ของ SET INDEX อีกด้านหนึ่ง ได้แก่
•การโรดโชว์ของตลาดหลักทรัพย์ฯ และ บจ. 10 แห่งที่จะไปพบผู้จัดการกองทุนทิ่นิวยอร์ค และซานฟรานซิสโก ในวันที่ 27-30 ต.ค. อาจเห็นเม็ดเงินทุนต่างชาติไหลเข้าตลาดหุ้นไทยหลังเสร็จสิ้นโรดโชว์
•การปฎิรูปโครงสร้างราคาพลังงาน เพื่อให้สะท้อนต้นทุนที่แท้จริง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ราคาก๊าซ LPG และ NGV เป็นบวกต่อ PTT ซึ่งเป็นหุ้น Big Cap ที่ Underperform มาหลายปี
•การเก็งกำไรต่อผลการดำเนินงานใน 3Q57
เมื่อ SET INDEX ขยับเข้าใกล้ด่านสำคัญ 1,550 จุด +/- ดังนั้นในเชิงกลยุทธ์การลงทุน เราแนะนำ “ทยอยขายทำกำไรบริเวณ 1,550 จุด +/- บางส่วน หรือ ปรับพอร์ตการลงทุนบางส่วนไปยังหุ้น Laggard ที่ขึ้นมาน้อยกว่ากลุ่ม ขณะที่ผลการดำเนินงาน 3Q57 เติบโตโดดเด่น”
ปัจจัยสำคัญวันนี้
1.จับตาเงินลงทุนก้อนใหม่จากกองทุน ทริกเกอร์ฟันด์:
•กองทุน UOB Trigger Fund #19 ขาย IPO ระหว่างวันที่ 24-27 ต.ค. วงเงิน 500 ล้านบาท
•กองทุน Thanachart T-Challenge 18 ขาย IPO ระหว่างวันที่ 20-27 ต.ค. วงเงิน 2.0 พันล้านบาท
•กองทุน MFC SI5E2 ขาย IPO ระหว่างวันที่ 20 ต.ค. – 4 พ.ย. วงเงิน 1.0 พันล้านบาท
MBKET คาดว่า เงินทุนใหม่อาจเริ่มทยอยเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทยวานนี้ และต่อเนื่องในช่วง 1-2 วันจากนี้ เป็นปัจจัยที่ช่วยจำกัด Downside risk ของ SET INDEX ในช่วงนี้
2.ECB ใช้เงิน 1.7 หมื่นล้านยูโรเข้าซื้อตราสารหนี้สัปดาห์แรก: ECB เริ่มโครงการเข้าซื้อ Covered bond ตั้งแต่วันที่ 20 ต.ค.ที่ผ่านมา สัปดาห์แรกของการเริ่มโครงการ ECB ใช้เงินไปแล้วทั้งิสิ้น 1.7 พันล้านยูโร สูงกว่าที่ตลาดคาดการณ์ ราว 1.0 พันล้านยูโร
MBKET คาดว่า ECB จะคงระดับการเข้าซื้อ Covered Bond เฉลี่ย 1.5-2.0 พันล้านยูโร ในสัปดาห์นี้ เพื่อประเมินสถานการณ์ ก่อนการประชุม ECB ในวันที่ 6 พ.ย. อย่างไรก็ตาม ตัวเลขเศรษฐกิจอียู และ ความเชื่อมั่นต่างๆ ที่ลดลงอย่างต่อเนื่อง อาจกลายเป็นความเสี่ยงที่ ECB จะต้องให้น้ำหนัก และหาแนวทางในการเรียกความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และภาคธุรกิจกลับขึ้นมา จึงมีความเป็นไปได้ที่การประชุม วันที่ 6 พ.ย.นี้ ECB อาจเพิ่มมาตรการทางการเงิน
3.นักลงทุนทั่วโลกต่างรอดูผลการประชุมเฟดคืนพรุ่งนี้: การประชุมเฟด เริ่มต้นวันนี้ และสิ้นสุดในวันพรุ่งนี้ ซึ่งประแด็นที่นักลงทุนทั่วโลกต่างประเมินไว้ ณ ปัจจุบันคือ
•สิ้นสุดโครงการ QE ส่วนที่เหลือ US$1.5 หมื่นล้าน/เดือน
•เฟด จะส่งสัญญาณคงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อไปอีกระยะหนึ่ง
MBKET ตั้งข้อสังเกตของสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจในอียู ณ ปัจจุบัน สูญเสียโมเมนตัมอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งความเชื่อมั่นของธุรกิจและผู้บริโภค ลดลงเช่นกัน อาจกลายเป็นความเสี่ยงที่ เฟด ที่ต้องชั่งน้ำหนักมากขึ้น ต่อการปรับเปลี่ยนนโยบายการเงินของตนเอง เพราะความแตกต่างของแนวโน้มนโยบายการเงินระหว่างเฟด และ ECB จะทำให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ แข็งค่ามากขึ้น กดดันอัตราเงินเฟ้อ และภาคการส่งออกของสหรัฐฯ
วานนี้ วันก่อนหน้า
PER14 PER15 PER14 PER15
SET INDEX 15.81 13.56 15.72 13.49
PSE 19.95 17.23 19.95 17.23
JSE 16.33 13.93 16.47 14.05
KOSPI 12.20 10.23 12.22 10.30
TAIEX 13.67 12.51 13.66 12.49
Straits Time 14.18 13.08 14.16 13.07
SHCOMP 9.20 8.18 9.26 8.22
ที่มา: Bloomberg
กลยุทธ์การลงทุนวันนี้ แนะนำ “ซื้อเก็งกำไร” ได้แก่
1.BEAUTY : ราคาปิด 29.00 บาท ราคาเหมาะสม 37.00 บาท
a)MBKET คาดว่ากำไรสุทธิ 3Q57 จะทำระดับสูงสุดใหม่ +45% yoy และ +13% qoq เป็น 69.8 ล้านบาท สวนทางภาพรวมของหุ้นกลุ่มค้าปลีกได้ เนื่องจาก BEAUTY มีการขยายสาขาต่อเนื่อง และ SSSG คาดว่าจะเพิ่มขึ้น +12% yoy สะท้อนให้เห็นถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคที่ให้ความใส่ใจต่อความสวยงามมากขึ้นแม้ว่าเศรษฐกิจโดยรวมจะชะลอตัว
b)ทิศทางกำไร 4Q57 คาดว่าจะยังเติบโตทั้ง yoy และ qoq พร้อมทำระดับสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง เนื่องจากเป็น High Season ของธุรกิจ และการเปิดสาขาใหม่อีกเป็นจำนวนมากใน 4Q
c)คงประมาณการกำไรปี 2557 เติบโต +34.3% yoy เป็น 284 ล้านบาท และเติบโต +29.8% yoy เป็น 368 ล้านบาท ในปี 2558 เติบโตสูงที่สุดในหุ้นกลุ่มค้าปลีก
d)ฐานะการเงินแข็งแกร่งเป็น Net Cash และให้ผลตอบแทนจากเงินปันผลในเกณฑ์ดีราว 4% ต่อปี
2.TTA : ราคาปิด 21.60 บาท ราคาเหมาะสม 32.10 บาท
a)MBKET คงมุมมองเชิงบวกต่อหุ้นกลุ่มเรือเทกอง และคาดว่าการไต่ระดับขึ้นต่อเนื่องของดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BDI) เป็นวันที่ 7 ติดต่อกันอีก 93 จุด เป็น 1,285 จุด จะเป็น Sentiment บวกต่อราคาหุ้น
b)และคาดว่าดัชนีค่าระวางเรือเทกอง (BDI) จะเพิ่มขึ้นในเดือน พ.ย.จากปัจจัยบวกทางฤดูกาล เพราะเข้าสู่ฤดูหนาว ส่งผลให้ความต้องการใช้เรือเทกองเพื่อขนส่งสินค้า เช่น ถ่านหิน และธัญพืชเพิ่มสูงขึ้น
c)คาดกำไรสุทธิปี 2557/2558 พลิกเป็นกำไร 988 ล้านบาท จากขาดทุนสุทธิ 5,080 ล้านบาท ในปีที่ผ่านมา และเติบโตสูงในปี 2559 เพิ่มขึ้น +146% yoy เป็น 2,419 ล้านบาท จากแรงหนุนของทุกธุรกิจ ได้แก่ เรือเทกอง, เรือขุดเจาะ, อาหาร และปุ๋ย ที่เติบโตทุกส่วน
d)ราคาหุ้นซื้อขายระดับ PBV 2558 ที่ 0.8 เท่า ต่ำกว่า PSL ที่ 1.2 เท่า และมีปัจจัยบวกรออยู่คือการบริษัทลูก PMTA เข้า IPO ใน 1Q58
What will DJIA move tonight? คืนนี้มีรายงานตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ ได้แก่ ดัชนีราคาบ้าน S&P CS; ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค และการประชุมเฟดเริ่มต้นในคืนนี้
Fund Flow Analysis
Fund Flow in Emerging Markets
เงินทุนต่างชาติวานนี้กลับมาซื้อสุทธิ US$238 ล้าน จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ เล็กน้อย US$0.4 ล้าน
ตลาดหุ้น วานนี้(US$ ล้าน) วันก่อนหน้า(US$ ล้าน) YTD(US$ ล้าน) 2556(US$ ล้าน)
TAIEX 216.0 -197.9 9,973.0 9,188.0
KOSPI 14.1 307.9 5,888.4 4,875.1
JSE 55.8 -29.2 3,811.4 -1,806.4
PSE -6.6 3.1 774.8 678.4
ตลาดหุ้นเวียดนาม 0.3 0.8 155.0 263.2
SET INDEX -41.5 -85.2 -545.2 -6,210.5
Foreign Investors Action วานนี้
กระแสเงินทุนต่างชาติยังไม่ชัดเจน
วานนี้ วันก่อนหน้า
ตลาดหุ้น (ล้านบาท) -1,344 -2,763
SET50 Index Futures (สัญญา) +1,123 +403
SSF (สัญญา) +1,200 +161
Metal Futures (สัญญา) -15 -106
ตลาดตราสารหนี้ (ล้านบาท) -3,757 +3,659
นักลงทุนต่างชาติคงการขายสุทธิตลาดหุ้นไทยเป็นวันที่ 2 อีก 1,344 ล้านบาท รวม 2 วันทำการขายสุทธิ 4,107 ล้านบาท และทำให้ YTD นักลงทุนกลุ่มนี้ขายสุทธิเพิ่มขึ้นเป็น 19,450 ล้านบาท
ด้าน SET50 Index Futures นักลงทุนกลุ่มนี้คงการ Long สุทธิเป็นวันที่ 2 เช่นกัน 1,123 สัญญา รวม 2 วันทำการ Long สุทธิ 1,526 สัญญา คาดว่าจะเป็นการปิดสถานะ Short ที่เปิดไว้ก่อนหน้าต่อเนื่อง กดดันให้ S50Z14 ปิดต่ำกว่า SET50 Index กว้างขึ้นเป็นวันที่ 2 มากถึง 9.49 จุด จากวันก่อนหน้า Discount เท่ากับ 4.17 จุด
เป็นที่น่าสังเกตว่า การขายสุทธิในตลาดหุ้น แต่กลับทยอยปิดสถานะ Short ใน SET50 Index Futures อาจเป็นเพราะก่อนหน้า นักลงทุนกลุ่มนี้ Short SET50 Index Futures อย่างหนาแน่น ทำให้นักลงทุนกลุ่มนี้ต้องกดดัน หลักทรัพย์อ้างอิง หรือ SET50 Index เพื่อเร่งปิดสถานะ Short
และตลาดตราสารหนี้ไทย นักลงทุนกลุ่มนี้ กลับมา ขายสุทธิเป็นวันแรกในรอบ 4 วันทำการ 3,757 ล้านบาท เทียบกับ 3 วันทำการก่อนหน้าซื้อสุทธิ 8,231 ล้านบาท กดดันราคาพันธบัตรรัฐบาลไทยลดลงต่อเนื่อง ผลตอบแทนพันธบัตรอายุ 10 ปี เพิ่มขึ้นเป็นวันที่ 2 อีก 1.83bps ปิดที่ 3.234%
Short-Selling วานนี้
มูลค่า Short-selling ลดลงเป็นวันที่ 3 เป็น 263 ล้านบาท จากวันก่อนหน้า 385 ล้านบาท
Stock Total Value(mn Bt) % of trading Volume Avg.Price(Bt)
KBANK 105.57 14.92% 235.64
BBL 25.41 2.93% 195.44
INTUCH 19.21 2.06% 72.34
TCAP 16.30 24.57% 33.74
BMCL 12.74 1.61% 1.82
NVDR Movement
NVDR ซื้อสุทธิเป็นวันที่ 2 โดยเน้นกลุ่ม ICT อย่างโดดเด่น
การซื้อขายผ่าน NVDR วานนี้ซื้อสุทธิอีก 766 ล้านบาท รวม 2 วันทำการซื้อสุทธิ 3,978 ล้านบาท โดยกลับมาซื้อสุทธิในกลุ่ม ICT อย่างโดดเด่นอีกครั้ง ภาพรวมสรุปได้ดังต่อไปนี้
1.กลุ่ม ICT กลับมาซื้อสุทธิสูงสุดอีกครั้ง 521 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าขายสุทธิ 135 ล้านบาท ตามมาด้วยกลุ่มธนาคาร ซื้อสุทธิ 137 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 2,367 ล้านบาท และกลุ่มพลังงานซื้อสุทธิ 136 ล้านบาท จากวันก่อนหน้าซื้อสุทธิ 371 ล้านบาท
2.ส่วนกลุ่มปิโตรเคมี ถูกขายสุทธิสูงสุด 63 ล้านบาท
ซื้อสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการซื้อขาย ขายสุทธิสูงสุด มูลค่าสุทธิ(ล้านบาท) % มูลค่าการขาย
ADVANC 539.74 16.34 DTAC -274.68 41.46
KBANK 329.10 44.73 BBL -182.25 36.20
INTUCH 221.43 15.58 TMB -136.62 29.19
PTT 120.26 9.07 PTTGC -56.44 8.22
SCB 82.58 6.63 AMATA -43.41 24.37
Strategist Team Maybank KimEng
Mayuree Chowvikran, CISA
Strategist / Analyst
662-6586300 x 1440
Padon Vannarat
Equity Analyst
662-6586300 x 1450
Rinrada Lianghathaitham
Assistant Analyst
662-6586300 x 1530
Twitter Channel
http://twitter.com/YipNgenYipTong