บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 22-10-2020

“ม.กระตุ้นกลับไม่สำเร็จ-น้ำมันดิ่ง-การชุมนุมไปต่อ”

• • หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : ---

# ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วานนี้ปรับขึ้นต่อ แต่ยังระแวงการชุมนุม ปิด +5.81 จุด ที่ 1216.48 จุด มูลค่าซื้อขาย 54 พันลบ. ดัชนีบวกแคบคล้ายเพื่อนบ้าน ช่วงเช้าบวกรับข่าวมาตรการกระตุ้นฯสหรัฐคืบหน้า น้ำมันเพิ่ม กำหนดประชุมสภาฯ แต่ช่วงบ่ายลดช่วงบวกลง ติดตามการชุมนุม และนายกฯแถลงตอน 1 ทุ่มให้ถอยคนละก้าว แต่เริ่มมีอีกหนึ่งม็อบคือ กลุ่มภาคีปกป้องสถาบัน ซื้อสุทธิมาก-สถาบัน ขายสุทธิมาก-โบรกเกอร์ YTD ต่างชาติขายสุทธิสูงเป็น 291 พันลบ.

# ปัจจัยและกลยุทธ์: SET-เป็นลบมากขึ้น มาตรการกระตุ้นไม่คืบหน้า น้ำมันดิ่ง การชุมนุมวานนี้ไปทำเนียบ ผู้ติดเชื้อสูง ปัจจัยลบกลับมีมากขึ้น สหรัฐยังไม่บรรลุม.กระตุ้นเศรษฐกิจ อาจต้องรอหลังเลือกตั้ง ดาวโจนส์ -98 จุด น้ำมัน WTI -4% เพราะสต็อกลดน้อยกว่าคาด ผู้ติดเชื้อล่าสุดมากกว่า 41 ล้านราย เสียชีวิต 1.1 ล้านราย เช้านี้ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านและดาวโจนส์ Future ปรับลง ส่วนไทย-การชุมนุมวานนี้ไปหน้าทำเนียบเรียกร้องต่อ แต่ยังสงบ ด้านปัจจัยบวกคือ นายกฯชี้แถลงให้ผู้ชุมนุมกับรัฐถอยคนละก้าว ใช้สภาฯแก้ปัญหา และอาจมีการยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในเขตกรุงเทพฯ หากการชุมนุมไม่รุนแรง ส่วนดัชนีความกังวล Vix ลดลงเป็น 28.7จุด ติดตามการดีเบตรอบสุดท้าย เวลาไทย 8:00-9:30 น. สำหรับกลยุทธ์ระยะสั้น ความเสี่ยงยังมาก ควรเล่นรอบ ระยะนี้คาดดัชนีซื้อ-ขายในช่วงลดลงเป็น 1200-1230 จุด หากหลุด 1210 จุดเป็นสัญญาณไม่ดีอีกครั้ง ให้ Stop Loss ด้านกลยุทธ์ระยะกลาง-ยาว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและไทยยังไม่สดใส ความเสี่ยงคือหมดเงินเยียวยา หนี้เสียสูง และการเมืองไทยร้อนแรงขึ้น แต่ก็มีสัญญาณการฟื้นตัว หลังคลายล็อกดาวน์ วัคซีน-ยาคืบหน้า แม้มีสะดุดบ้าง ดอกเบี้ยในตลาดต่ำ เงินออมบางส่วนไหลเข้าตลาดหุ้น มีมาตรการเยียวยา จึงแนะนำทยอยถอยรับหลักทรัพย์พื้นฐานดี Defensive และปันผลสูง แนวรับคือ 1190-1180 จุดและ แนวต้าน 1220-1230 จุด ปัจจัยน่าติดตามคือ 1) พัฒนาการทางด้านการเมือง 2) BFIT แจ้งกำไรสุทธิ 3Q63 ออกมาสดใสเป็น 431 ล้านบาท โตถึง 34%และรอบ 9M63 เป็น 1.3 พันล้านบาท โต 235% เกิดจากการเพิ่มขึ้นของรายได้ดอกเบี้ยและดอกเบี้ยจ่ายปรับลง รวมทั้งมีกำไรจากการขายเงินลงทุน 55 ล้านบาท คาดว่าจะส่งผลดีกับราคาหุ้น (ไม่ได้ทำการวิเคราะห์) และ 3) หุ้นกลุ่มสายการบิน โรงแรม และสนามบินอาจจะกระเตื้องขึ้นหลัง ศบค.เปิดให้ต่างชาติ 7กลุ่มเข้าไทยได้

# Stock Pick Today: AP คาดกำไร 3Q63 ทำสถิติสูงสุดใหม่ 1.4 พันล้านบาท (+133%y-o-y,+29%q-o-q) สืบเนื่องจากรายได้จากการโอนไตรมาสนี้สูง และอัตรากำไรขั้นต้นทำได้สูงเป็น 31.2% คาดว่าการเปิดขายโครงการใหม่ใน 4Q63 ยังดำเนินไปได้ตามแผน ยังผลให้ยอดขายเพิ่มขึ้นได้เทียบ y-o-y ปรับเพิ่มประมาณการปีนี้และปี 64ในอัตรา 14% และ 7% ตามลำดับสะท้อนการโอนดีกว่าคาด ประเมินว่าปีนี้กำไรโตโดดเด่น 32% y-o-y ยิลด์ปันผล 7.2%ราคาพื้นฐานใหม่ 8.10 บาท

กลยุทธ์ทางเทคนิค: ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เป็น(เพียง)บวกเล็กๆ {“ปิดบวก”ใต้“SMA10วัน”ต่อ (โดยมี“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”กดดัน)}ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(มี“Oversold + Divergence”ในกราฟรายนาที“หนุน”) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นๆก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1220 – 1230 (หรือ 1240) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1210” (แนวรับย่อย “1190 – 1180 / 1160”) จุด}

Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com

Inside Story

Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ

Hot Issue : ความเหมือน/และความแตกต่างของนโยบาย & การดำเนินการของทรัมป์และไบเดน

Single stock futures : รายสัปดาห์

Company Update : AP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 8.10)

KBANK (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 107.00)

KTB (ถือ -ราคาพื้นฐาน 10.10)

SCB (ถือ -ราคาพื้นฐาน 74.00)

TMB (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 1.30)

Turnover List Watch : คาด AH ติด Cash Balance แล้ว

Key Drivers TODAY

ปัจจัยต่างประเทศ

- สหรัฐ: ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงม.กระตุ้นเศรษฐกิจ ให้เสร็จได้ก่อนเลือกตั้ง

# นักลงทุนผิดหวังที่การเจรจาระหว่างนางแนนซี เพโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐและนายสตีเวน มนูชิน รมว.คลังสหรัฐในวันพุธนั้น ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้เกี่ยวกับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ และมีการคาดการณ์กันว่าทั้งสองฝ่ายอาจจะเลื่อนการเจรจาเพื่อทำข้อตกลงไปหลังการเลือกตั้ง

# ด้านโกลด์แมน แซคส์คาดการณ์ว่า สภาคองเกรสสหรัฐจะไม่สามารถออกกฎหมายว่าด้วยมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐได้ก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันที่ 3 พ.ย.

• • เลือกตั้งสหรัฐ: จับตาการดีเบตรอบสุดท้ายวันนี้ เวลาไทยคือ ศุกร์ 08.00-09.30 น.

# บรรดานักลงทุนจะจับตาการดีเบตรอบสุดท้ายระหว่างประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์จากพรรครีพับลิกัน และนายโจ ไบเดน อดีตรองประธานาธิบดีสหรัฐจากพรรคเดโมแครตในวันพฤหัสบดีที่ 22 ต.ค.นี้เวลา 21.00-22.30 น.ตามเวลาสหรัฐหรือตรงกับเช้าวันศุกร์ที่ 23 ต.ค.เวลา 08.00-09.30 น.ตามเวลาไทย

+/- สหรัฐ: ทั่วโลกติดเชื้อโควิดทะลุ 41,000,000 ราย ตายกว่า 1,130,000 ราย

# Worldometer ซึ่งเป็นเว็บไซต์รายงานข้อมูลล่าสุดที่มีการรวบรวมจากหน่วยงานด้านสาธารณสุขทั่วโลก ระบุว่า ยอดผู้

ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกขณะนี้อยู่ที่ 41,115,504 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 1,130,693 ราย สหรัฐมียอดผู้ติดเชื้อ

ไวรัสโควิด-19 สูงสุดในโลก (8,521,465) รองลงมาคืออินเดีย (7,651,107), บราซิล (5,274,817), รัสเซีย (1,447,335),

สเปน (1,029,668) และอาร์เจนตินา (1,018,999)

- ตลาดหุ้นสหรัฐ: ดาวโจนส์ปิดลบ 97.97 จุด นลท.ผิดหวังสหรัฐยังไม่บรรลุข้อตกลงกระตุ้นศก.

# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (21 ต.ค.) เนื่องจากนักลงทุนผิดหวังที่ทำเนียบขาวและพรรคเดโมแครต

ยังไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกันได้ในการผลักดันมาตรการเยียวยาเศรษฐกิจสหรัฐรอบใหม่ และคาดการณ์กันว่า ตลาด

อาจจะต้องรอมาตรการดังกล่าวไปจนกว่าจะถึงหลังการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐในวันที่ 3 พ.ย.

- น้ำมัน: WTI ปิดร่วง 4% สต็อกน้ำมันสหรัฐลดน้อยกว่าคาด, วิตกโควิดทำดีมานด์ซบ

# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงเมื่อคืนนี้ (21 ต.ค.) หลังจากที่สหรัฐเปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบลดลงน้อยกว่าคาดในสัปดาห์ที่แล้ว ประกอบกับความวิตกที่ว่าการแพร่ระบาดครั้งใหม่ของไวรัสโควิด-19 จะส่งผลกระทบต่อความต้องการใช้น้ำมัน โดยวานนี้สำนักงานสารสนเทศด้านการพลังงานของรัฐบาลสหรัฐ (EIA) เปิดเผยว่า สต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 16 ต.ค. ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลง 1.9 ล้านบาร์เรล

• • ทองคำ: ปิดบวก $14.1 รับดอลล์อ่อน-แรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย

# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (21 ต.ค.) เนื่องจากการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์เป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำ นอกจากนี้ ความไม่แน่นอนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจสหรัฐ และความวิตกกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ยังเป็นแรงผลักดันให้นักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย

• • ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะทยอยประกาศสัปดาห์นี้

# ส่วนข้อมูลเศรษฐกิจด้านอื่นๆของสหรัฐที่มีกำหนดเปิดเผยในสัปดาห์นี้ ได้แก่ รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ หรือ BeigeBook จากธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด), จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ยอดขายบ้านมือสองเดือนก.ย., ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนก.ย.จาก Conference Board, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนต.ค.จากมาร์กิต และดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนต.ค.จากมาร์กิต

ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์

- การเมืองไทย: วานนี้ม็อบราษฎรเคลื่อนขบวนจากอนุสาวรีย์ชัยฯ ออกเดินเท้าไปทำเนียบรัฐบาล

# วานนี้ผู้ชุมนุมและแนวร่วมกลุ่มราษฎรรวมตัวเข้ายึดพื้นที่ถนนรอบอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิตามการนัดหมายของแกนนำตั้งแต่เวลา 16.00 น.จนถึงขณะที่มีจำนวนประชาชนหนาตามากขึ้นเกือบเต็มพื้นที่โดยรอบ ขณะที่บางส่วนรวมตัวบนสกายวอล์ครอบอนุสาวรีย์ชัยฯ

# ผลกระทบ: ขณะนี้ต้องยอมรับว่าปัจจัยการเมืองเป็นลบเพิ่มจากภาวะเศรษฐกิจโลกและไทยที่ชะลอตัวลงจากโรคระบาดโควิด-19 ซึ่งยังแก้ปัญหาไม่สำเร็จ อุตสาหกรรมที่ได้รับผลกระทบโดยตรงคือ ที่อิงตามความมั่นใจของต่างชาติ เช่นท่องเที่ยว เดินทาง โรงแรม สายการบิน สนามบิน ศูนย์การค้า รับเหมาก่อสร้าง ตลอดจนนิคมอุตสาหกรรม จากนี้ไปจะขึ้นกับระยะเวลาของการชุมนุม หากยิ่งยืดเยื้อก็จะยิ่งส่งผลลบกับดัชนี SET และภาวะเศรษฐกิจ

• • แถลงการณ์นายกฯ วอนถอยคนละก้าวใช้กระบวนการรัฐสภา

# รายงานข่าวจากทำเนียบรัฐบาล เปิดเผยแถลงการณ์ของพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ที่เผยแพร่ในเวลา19.00 น.วานนี้ ระบุว่า "ถอยคนละก้าว เข้าสภา ใช้สติและปัญญา แก้ปัญหาร่วมกัน" พร้อมทั้งเปิดเผยว่าเตรียมจะยกเลิกสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความร้ายแรงในเขตท้องที่กรุงเทพฯ เร็วๆ นี้ ยกเว้นหากมีสถานการณ์รุนแรงใดๆ เกิดขึ้น

+ ศบค.เสนอครม.พิจารณาต่ออายุการบังคับใช้ พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉิน

# ที่ประชุม ศบค.วานนี้นี้มีมติให้เสนอคณะรัฐมนตรี พิจารณาต่ออายุการบังคับใช้ พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ออกไปอีก 1 เดือน หรือสิ้นสุดในวันที่ 30 พ.ย.63 จากเดิมที่จะสิ้นสุดในวันที่ 31 ต.ค.63 เนื่องจากขณะนี้ยังจำเป็นต้องใช้กฎหมายพิเศษเพื่อจัดการกับการดูแลสถานการณ์แพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19

+ ศบค.เปิดให้ต่างชาติเข้าประเทศไทยเพิ่มเพื่อประโยชน์ทางเศรษฐกิจ

# ที่ประชุม ศบค.ได้อนุมัติให้ผ่อนคลายมาตรการบังคับใช้กฎหมายใน 7 กิจการ ได้แก่

1.การเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรของคณะมนตรีแห่งรัฐและ รมว.ต่างประเทศ สาธารณรัฐประชาชนจีน และคณะ

2.การอนุญาตให้ลูกเรือสัญชาติบริติชและสัญชาติเช็กเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรทางน้ำ

3.การกำหนดประเทศและเมืองต้นทางที่ได้รับการผ่อนผันให้เดินทางเข้ามาเป็นนักท่องเที่ยวประเภทพิเศษ SpecialTourist Visa (STV) เริ่มจากประเทศที่มีความเสี่ยงต่ำตามประกาศของกรมควบคุมโรค ได้แก่ จีน ฮ่องกง มาเก๊า ไต้หวันสวีเดน ฟินแลนด์ เดนมาร์ก สวิตเซอร์แลนด์ นอร์เวย์ เกลาหลีใต้ ญี่ปุ่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ และ สิงคโปร์

4.การอนุญาตให้สายการบินทำการบินแบบมีผู้โดยสารเปลี่ยนลำ (Transfer Passenger)

5.การอนุญาตให้กลุ่มเรือยอร์ชท่องเที่ยวที่แจ้งความประสงค์ขอเข้ามาในราชอาณาจักรจำนวน 60 ลำ เป็นประเภทSUPERYACHT จำนวน 27 ลำ และประเภท Cruiser จำนวน 33 ลำ ซึ่งจะมีลูกเรือและผู้โดยสารรวม 600-650 คน สร้างรายได้เข้าประเทศปีละ 2,100 ล้านบาท

6.การขออนุญาตให้ลูกเรือต่างชาติเดินทางเข้ามาในราชอาณาจักรเพื่อขึ้นเรือออกจากราชอาณาจักร (Sign on)7.การผ่อนผันให้กลุ่มบุคคลเข้าประเทศไทยโดยเข้าสู่การกักกันตัวแบบ Wellness Quarantine โดยมีแนวทางที่จะสร้างรายได้ให้กับชุมชนในพื้นที่ ไม่ใช่เกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการรายใหญ่เท่านั้น

# ผลกระทบ: เป็นบวกต่อหุ้นกลุ่มสายการบิน โรงแรม และสนามบินอาจจะกระเตื้องดีขึ้น แต่ต้องดูความสนใจของนักท่องเที่ยวหลังไทยมีการชุมนุมเกิดขึ้น หลักทรัพย์ขนาดใหญ่ที่มีการเก็งกำไรคาดว่าจะเป็น AOT, MINT, CENTEL,ERW และ AAV เป็นต้น แต่จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติที่เพิ่มขึ้นอาจจะยังไม่มาก

• • AMATA: หุ้นเพิ่มทุนเริ่มซื้อขายวันที่ 26 ตุลาคม 2563

# ผลกระทบ: คาดว่าจะเกิดแรงขายไม่มาก แม้ราคาเพิ่มทุนเป็นเพียง 11.80 บาท ต่ำกว่าราคาปิดวานนี้ที่ 12.00 บาทเพราะสัดส่วนการได้หุ้นมาน้อย 12.8554217 หุ้นเดิม : 1 หุ้นใหม่ และราคาเฉลี่ยย้อนกลับไป 75 วันเป็น 13.30 บาท 200วัน เป็น 15.03 บาท นั่นคือผู้ถือหุ้นเดิมมีต้นทุนที่สูง คงคำแนะนำ ซื้อ AMATA ที่ราคาพื้นฐาน 18.00 บาท

นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]

******************************************

กด Like - Share  เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ

 Click Donate Support Web