- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 22 October 2020 22:28
- Hits: 18080
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 22-10-2020
สถานการณ์กลุ่มธนาคาร ปัจจุบันเริ่มคุ้มที่จะเสี่ยงเข้าลงทุน
USD อ่อนค่าแรง ขณะที่เงินหลายสกุลในเอเชียแข็งค่าขึ้น อาจเป็นสัญญาณบ่งชี้ว่า Fund Flow กำลังจะไหลกลับเข้าสู่เอเซีย ซึ่งตลาดหุ้นไทยที่ถูก Underweight มาเป็นระยะเวลานานอาจได้รับอานิสงค์เชิงบวก แต่ก็ตามต้องพิจารณาองค์ประกอบทางปัจจัยพื้นฐานควบคู่ไปด้วย เฉพาะอย่างยิ่งสถานการณ์การเมืองในปัจจุบันที่ถือได้ว่าอยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยง แม้วานนี้นายกรัฐมนตรีจะส่งสัญญาณพร้อมยกเลิกการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินร้ายแรงในพื้นที่ กทม. แต่กลุ่มผู้ชุมนุมก็ยังเดินหน้าเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีลาออกภายใน 3 วัน ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมปกป้องสถาบันก็มีการรวมตัวกันมากขึ้น สภาพแวดล้อมดังกล่าวทำให้ต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิด ส่วนการประกาศผลประกอบการกลุ่มธนาคารงวด 3Q63 อยู่ในเกณฑ์ที่ดีกว่าคาด โดยฝ่ายวิจัยเริ่มให้ความสนใจหุ้นในกลุ่มนี้มากขึ้น หลังเห็นการตั้งสำรองที่เกิดขึ้นในระดับที่สูงเพื่อรองรับปัญหา NPL ในอนาคต อีกทั้ง Valuation ของกลุ่มก็ได้ปรับลดลงมามาก ที่ระดับราคาหุ้นปัจจุบันจึงเชื่อว่า Downside เริ่มจำกัดลง กลยุทธ์การลงทุนของพอร์ตจำลอง จึงให้นำเงินสดที่สำรองไว้ 35% เข้าลงทุนใน TISCO ด้วยน้ำหนัก 10% Top Pick เลือก HMPRO, STA และ TISCO
หุ้นที่มีการซื้อสุทธิโดยตรง และผ่าน NVDR ของต่างชาติ
ที่มา: SET,สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
สินทรัพย์เสี่ยงอยู่ในความสนใจมากขึ้น
เมื่อวานนี้ Fund Flow เห็นการไหลออกจากสินทรัพย์ปลอดภัย(Safe Haven) สะท้อนจาก ราคาทองคำลดลง 0.2%, Dollar Index อ่อนค่า 0.5%, Bond Yield 10 ปี ของสหรัฐเพิ่มขึ้น 7.1% (Bond Yield เพิ่มขึ้น แสดงถึงราคา Bond ลดลง) ดังรูป
ส่วนสินทรัพย์เสี่ยง(Risk Asset) เห็นการปรับขึ้นในส่วนของ Bitcoin ขณะที่ตลาดหุ้นโดยภาพรวมตลาดหลักๆ ปรับลง อาทิ ตลาดหุ้นสหรัฐ, ตลาดหุ้นเยอรมนีลดลง, ตลาดหุ้นจีน จากความกังวลหลักๆ คือ ความกังวล COVID-19 ล่าสุดจำนวนผู้ติดเชื้อทะลุ 41 ล้านราย Sentiment เชิงบวกต่อหุ้น STGT, STA และ NER และ Package เศรษฐกิจชุดใหม่ของสหรัฐเฟส 2 ยังไม่คืบหน้า
ส่วนราคาน้ำมันดิบปรับฐานแรง 3.48% หลักๆ เป็นผลจากฝั่ง Demand จาก Covid-19 เช่นเดียวกับฝั่ง Supply เมื่อวานนี้ EIA รายงานสต็อกน้ำมันเบนซินสหรัฐเพิ่มขึ้น 1.9 ล้านบาร์เรล (ผิดจากที่ตลาดคาดจะลดลง) เช่นเดียวกับสต็อกน้ำมันดิบ ปรับลดลง 1 ล้านบาร์เรล น้อยกว่าที่ตลาดคาดจะลดลง 1.4 ล้านบาร์เรล) ราคาน้ำมันที่ลงแรงคาด Sentiment เชิงลบต่อหุ้นกลุ่มน้ำมัน (PTT, PTTEP) และกลุ่มโรงกลั่ (PTTGC) แนะนำชะลอการลงทุนช่วงสั้น
ในประเทศวันนี้ : ปัจจัยที่ต้องติดตามนอกเหนือจากประเด็นการเมืองที่ยังมีกระแสอยู่ คือ เวลา 10.30 น.กระทรวงพาณิชย์รายงานยอดส่งออกและนำเข้า (X&M) ของไทยเดือน เดือน ก.ย. คือ ยอดส่งออก(X) consensus คาดหดตัว 4.2%yoy (หดตัวน้อยลงเทียบกับ เดือน ส.ค. -7.9%) เช่นเดียวกับยอดนำเข้า(M) คาดหดตัว 15.8%yoy
ผลตอบแทนราคาสินทรัพย์แต่ละชนิด
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
SCGP ซื้อขายวันแรก น่าจะโดดเด่นด้วยหลายองค์ประกอบ
SCGP ถือเป็นหุ้นใหม่ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนไทยและเทศเป็นจำนวนมาก ซึ่งมีทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่จะช่วยผลักดันราคาหุ้น SCGP ดังนี้
หลายปัจจัยหนุนให้ราคาหุ้น SCGP Outperform ตลาดฯ
ที่มา: SET,สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
แรงผลักดันภายใน ราคา IPO ของ SCGP อยู่ที่ 35 บาท คิดเป็น PER64F เพียง 21.7 เท่า ซึ่งถือว่าถูกกว่าหุ้นในกลุ่มเดียวกันของทั้งในและต่างประเทศที่ซื้อขายกันบน PER64F เฉลี่ยที่ 24 เท่า ขณะที่แนวโน้มการเติบโตยังเร่งตัวขึ้นได้ตามความต้องการใช้กล่องส่งสินค้า และหีบห่อบรรจุภัณฑ์ ตามการเติบโตในยุค E Commerce และกำลังการผลิตยังสามารถรองรับ Pending Demand ได้อีก โดยฝ่ายวิจัยประเมินมูลค่าพื้นฐานไว้ที่ 41 บาท
แรงผลักดันภายนอก SCGP มี Greenshoes 169.13 หุ้น คอยรองรับไม่ให้ราคาหุ้นต่ำจองในช่วงสั้น ยังมีแรงหนุนจากกองทุน Passive Fund เนื่องจากมีโอกาสเข้าคำนวณในดัชนี SET50-SET100 แบบ Fast Track นอกจากนี้ยังมีโอกาสเข้าคำนวณในดัชนี MSCI ในรอบถัดไป (ประกาศผล 10 พ.ย. 63) และดัชนี FTSE (ประกาศผล 20 พ.ย. 63) เหมือนกับหุ้นรุ่นพี่ อย่าง AWC และ CRC ที่อยู่ทั้ง 2 ดัชนี
ดังนั้นแรงผลักดันทั้งจากภายในและภายนอกน่าจะหนุนให้ SCGP Outperform ตลาดได้ในช่วงนี้
Bank ราคาถูกเกินไป ลองเสี่ยงเข้าไปอีกครั้ง ชอบ TISCO มากสุด
ภาพรวมกำไรสุทธิกลุ่มฯ 3Q63 (รวม 8 ธนาคาร ให้คำแนะนำ 6 ธนาคาร ยกเว้น BAY และ TMB) เท่ากับ 2.9 หมื่นล้านบาท ลดลง 1.4% QoQ (ดีกว่าคาดติดลบ 6% QoQ) โดยเห็นการฟื้นตัวเด่นสุดในกลุ่มฯ จาก KBANK (FV@B>90) ราว 2 เท่า QoQ จากฐานต่ำงวดก่อน (-33% yoy) และการตั้งผลขาดทุนด้านเครดิตที่คาดว่าจะเกิดขึ้น (Expected Credit loss) ต่ำลงจากงวดก่อน อย่างมีนัยฯ หลังผู้บริหารธนาคาร มีมุมมองผ่อนคลายกว่า 2Q63 ตามด้วย BBL (FV@B>127) เติบโต 30% QoQ (-57% yoy) และ TISCO (FV@B>80) เพิ่ม 21% QoQ (-14% yoy) จากภาระการตั้ง ECL ต่ำลงจาก 2Q63 ขณะที่ KKP กำไรเติบโต 14% QoQ เพราะผลขาดทุนรถยึดลดลง ส่วน BAY, SCB, TMB รายงานกำไรอ่อนตัว QoQ จากการตั้ง ECL สูงขึ้น ส่วน KTB แม้ ECL ลดลงจากงวดก่อน ลดลง เพราะมีการตั้งสำรองให้ลูกหนี้รายใหญ่รายหนึ่ง แต่ยังอยู่ในระดับสูง กอปรกับรายได้ดอกเบี้ยรับสุทธิและค่าธรรมเนียม อ่อนตัว QoQ สวนทางค่าใช้จ่ายดำเนินงานสูงขึ้น
ที่มา: SET,สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
ค้นหาหุ้นที่ต่างชาติทยอยเก็บ ชอบ TISCO, STA, TU
สัดส่วนการถือครองหุ้นไทยของต่างชาติ (Actual + NVDR)
ที่มา: SET,สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
หุ้นที่มีการซื้อสุทธิโดยตรง และผ่าน NVDR ของต่างชาติ
ที่มา: SET,สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web