- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 21 October 2020 15:49
- Hits: 2428
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 21-10-2020
ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลง เพียงแต่ต้องติดตามสถานการณ์การเมืองใกล้ชิดขึ้น ส่วนการเข้ามาทำการซื้อขายของ SCGP ในวันพรุ่งนี้น่าจะกดดัน SET Index เล็กน้อย พอร์ตการลงทุนยังคงให้ถือเงินสด 35% ส่วนเงินที่ได้จากการขาย MCS ให้เข้าลงทุนใน HMPRO หุ้น Top Pick วันนี้เลือก HMPRO , STA และ JMART
ปัจจัยแวดล้อมไม่เปลี่ยนแปลง แต่ต้องติดตามการเมืองใกล้ชิด
ปัจจัยแวดล้อมทางพื้นฐานเช้านี้ไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ โดยการเมืองยังเป็นแรงกดดันหลักแม้มีกำหนดการเปิดประชุมสภาฯสมัยวิสามัญในช่วง 26-27 ต.ค.63 แต่ประเมินว่าจะยังไม่เห็นความคืบหน้าเรื่องการแก้รัฐธรรมนูญ ส่วนอีกเรื่องที่อยู่ในความสนใจมากขึ้นเป็นเรื่องของมาตรการพักชำระหนี้ของสถาบันการเงินที่จะหมดลงในวันที่ 22 ต.ค.63(พรุ่งนี้) ทำให้เกิดความกังวลเรื่องคุณภาพสินทรัพย์ของธนาคารพาณิชย์ ซึ่งในส่วนนี้ฝ่ายวิจัยเชื่อว่าน่าจะเห็นระดับ NPL เพิ่มขึ้นในช่วง 4Q63 ต่อเนื่องถึง 1H64 ส่วนเหตุการณ์ใหม่เป็นการเข้ามาทำการซื้อขายของ SCGP ในวันพรุ่งนี้(ราคา IPO ที่ 35 บาท) และ ฝ่ายวิจัยทำ Fair Value ปี 2564 ไว้ที่ 41 บาท ทั้งนี้การเข้ามาของ SCGP น่าจะอยู่ในเกณฑ์ที่จะเข้าคำนวณ SET50 Index แบบ Fast Track ซึ่งน่าจะทำให้เห็นการปรับน้ำหนักการลงทุนของนักลงทุนสถาบัน โดยระยะสั้นยังอาจทำให้เห็นการปรับฐานของ SET50 ลงมาได้อีกเล็กน้อย ภาพรวมวันนี้ประเมินว่า SET Index น่าจะผันผวนอยู่บริเวณ 1200 – 1220 จุด พอร์ตจำลองยังคงน้ำหนักเงินสดไว้ที่ 35% โดยวานนี้มีการ Cut loss หุ้น MCS ให้นำเงินเข้าลงทุนใน HMPRO ส่วน Top Pick เลือก HMPRO, STA และ JMART
ตารางคาดการณ์ SET50-100 รอบ 1H64 ของฝ่ายวิจัยฯ ASPS
ที่มา: ฝ่ายวิจัย Asia Plus Securities
ต่างประเทศให้น้ำหนัก COVID-19, Beige Book และ Debate ผู้สมัครประธานาธิบดีสหรัฐ
ปัจจัยในต่างประเทศ เชื่อว่าตลาดให้น้ำหนักในประเด็นต่อไปนี้
• การระบาดของ COVID-19 ทั่วโลกยังเผชิญการระบาดอย่างต่อเนื่อง โดยจำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ทั่วโลกเพิ่มขึ้นอีก 381,055 คน ส่งผลให้จำนวนผู้ติดเชื้อสะสมเพิ่มขึ้นไปถึง 41 ล้านราย โดยผู้ติดเชื้อรายใหม่ยังคงมาจาก สหรัฐ, อินเดีย และยุโรป (อังกฤษ, ฝรั่งเศส, สเปน) เป็นต้น ส่วนทางด้านไทย ผู้ว่าราชการ จ. กาญจนบุรี มีคำสั่งปิดชายแดน อ.สังขละบุรี 14 วัน หลังในเมืองพญาตองซู ประเทศเมียนมาร์ ซึ่งมีชายแดนติดกับ อ.สังขละบุรี พบผู้ติดเชื้อ COVID-19
• รายงานภาวะเศรษฐกิจของธนาคารกลางสหรัฐ (Fed Beige Book) ในวันนี้ โดยให้น้ำหนักภาวะเศรษฐกิจสหรัฐว่าจะมีการฟื้นตัวอย่างไร ภายหลังผ่านช่วง Lockdown มาในงวด 2Q63 ซึ่งจะมีน้ำหนักต่อการดำเนินนโยบายการเงินของ Fed ในอนาคตต่อไป
• การโต้วาที (Debate) ระหว่างประธานาธิบดี Trump กับนาย Jeo Biden ในวันที่ 23 ต.ค. 2563 ซึ่งจะเป็นการ Debate ครั้งสุดท้ายระหว่างผู้สมัครชิงประธานาธิบดีทั้ง 2 โดยให้น้ำหนักนโยบายที่ทั้ง 2 ท่านจะผลักดันหากได้รับเลือกตั้งเป็นประธานาธิบดีสหรัฐ โดยเฉพาะในด้านเศรษฐกิจ, การค้า, ภาษี และนโยบายต่างประเทศ
ปัจจัยต่างๆข้างต้น โดยเฉพาะความกังวลของ COVID-19 เชื่อว่าจะเป็นปัจจัยสำคัญที่กดดันตลาดหุ้นโลก และตลาดหุ้นไทยต่อไป
ผู้ว่า ธปท. โอกาสลงดอกเบี้ยฯ ลงจำกัด หนุนดัชนีเป้าหมายปี 64 ที่ 1,450
วานนี้จากการให้สัมภาษณ์ของนายเศรษฐพุฒิ สุทธิวาทนฤพุฒิ ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) พบว่าผู้ว่า ธปท. ให้น้ำหนักการดำเนินนโยบายการเงินผ่านการลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายน้อยลง เนื่องจาก มองว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยที่ปัจจุบันอยู่ที่ระดับ 0.5% นั้นเป็นระดับที่ต่ำสุดในภูมิภาค และต่ำสุดในประวัติศาสตร์แล้ว ส่งผลให้ช่องว่างหรือความสามารถในการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีกมีจำกัด ดังนั้นการขับเคลื่อนเศรษฐกิจไทยในระยะต่อไป จึงต้องให้น้ำหนักกับมาตรการด้านการคลังแทน
จากมุมมองล่าสุดของผู้ว่า ธปท. ข้างต้น ASPS จึงคาดว่าโอกาสที่ ธปท. จะลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายอีกภายหลังจากนี้จะมีน้อยลง หนุนให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทยมีแนวโน้มทรงตัวต่ำที่ 0.5% ต่อไป ซึ่ง ASPS ประเมินว่าอัตราดอกเบี้ยของไทยจะมีแนวโน้มทรงตัวอย่างน้อย 2 ปี สอดคล้องกับช่วงวิกฤติต้มยำกุ้งที่ ธปท. คงอัตราดอกเบี้ยต่ำต่อเนื่องกันนาน 8 ไตรมาส (2 ปี)
GDP Growth และอัตราดอกเบี้ยนโยบายไทยสมัยต้มยำกุ้ง
ที่มา: Bloomberg
ดังนั้นประเมินเป้าหมายของดัชนีปี 2564 ด้วยวิธี Market Earning Yield Gap ที่ระดับ 4.5% โดยอิงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 0.5% ซึ่งถือเป็นเป้าหมายที่อนุรักษ์นิยม เพราะสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 4.25% จะได้ P/E ที่ระดับเหมาะสมในการซื้อขาย 20 เท่า เมื่อนำมาคูณกับ EPS 64F ที่ 72.51 บาท/หุ้น จะได้เป้าหมาย SET Index ณ สิ้นปี 2564 ที่ 1,450 จุด ซึ่งเมื่อเทียบกับดัชนีในปัจจุบันที่ระดับ 1,210.67 จุด ถือว่ามี Upside เกือบ 20% ถือเป็นโอกาสสะสมระยะกลาง-ยาวของนักลงทุน
Target SET Index ตามประมาณการ EPS64F ที่ 72.51 บาท/หุ้น
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
และในส่วนของมาตรการทางด้านการคลัง ASPS เชื่อว่าในช่วง 4Q63 จะมีเม็ดเงินกระตุ้นเศรษฐกิจไหลเข้าระบบอีกราว 2 แสนล้านบาท (ดังตาราง) โดยให้น้ำหนักมาตรการกระตุ้นการบริโภค เช่น การเพิ่มเงินในบัตรสวัสดิการอีก 500 บาท, มาตรการคนละครึ่ง และมาตรการช้อปดีมีคืน ที่จะเริ่มต้นในวันที่ 23 ต.ค. 2563 นี้
ซึ่งจะเป็น Sentiment บวกต่อหุ้นค้าปลีกต่อไป เช่น CRC, CPALL, BJC, SPVI, COM7, JMART, HMPRO, ILM เป็นต้น
มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจทางการคลัง
ที่มา: ASPS รวบรวม
ศาลปกครองกลางคุ้มครองชั่วคราว ประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้ม เป็นบวกต่อ BTS+STEC มากกว่า BEM+CK
วานนี้ ( 20 ต.ค 2563) ศาลปกครองกลางมีคำสั่งคุ้มครองฉุกเฉิน กรณีที่ BTSC ยื่นคำร้องต่อศาลในโครงการประมูลรถไฟฟ้าสายสีส้มช่วงบางขุนนนท์-มีนบุรี ที่ รฟม. มีการปรับหลักเกณฑ์ประมูลโครงการดังกล่าว ภายหลังเปิดขายซองข้อเสนอไปแล้วว่าเป็นการกระทำโดยไม่ชอบด้วยกฏหมาย โดยศาลมีคำสั่งให้ รฟม. กลับไปใช้หลักเกณฑ์เดิมในการประมูล คือไม่ต้องนำคะแนนข้อเสนอด้านเทคนิค 30% มาพิจารณาร่วมกับข้อเสนอทางการเงินอีก 70% ซึ่งวันนี้ รฟม. จะประชุมบอร์ดเพื่อพิจารณายื่นอุทธรณ์ต่อศาลปกครองสูงสุด และน่าจะเลื่อนกำหนดการยื่นเอกสารประกวดราคาออกไปจากเดิมที่กำหนดยื่นในวันที่ 9 พ.ย. 63 โครงการนี้เป็นการขับเคี่ยวกันระหว่างกลุ่มของ BEM ที่มี CK เป็นผู้รับเหมาก่อสร้าง กับกลุ่ม BTS ที่จับมือกับ STEC และ RATCH เป็นพันธมิตร ซึ่งคำสั่งศาลปกครองกลางที่ออกมา ถือเป็น Sentiment เชิงลบต่อหุ้นในกลุ่มรับเหมาก่อสร้างทั้งบริษัทรับเหมาขนาดใหญ่และบริษัทรับเหมาช่วงงานเสาเข็มที่กำลังรอโครงการขนาดใหญ่ภาครัฐออกมาขับเคลื่อนเพราะจะทำให้เกิดความล่าช้าออกไปอีก หลังการลงทุนจากภาคเอกชนชะลอตัวลงตามภาวะเศรษฐกิจ โดยเฉพาะ CK ที่จับมือกับ BEM ในการประมูล ซึ่งถูกมองว่ามีความได้เปรียบหาก รฟม. นำคะแนนข้อเสนอด้านเทคนิคมาพิจารณาร่วมกับข้อเสนอทางการเงิน เนื่องจาก CK มีประสบการณ์ก่อสร้างอุโมงค์รถไฟฟ้าใต้ดินมากกว่าคู่แข่งอย่าง STEC ขณะที่ BEM ก็เป็นผู้เดินรถไฟฟ้าใต้ดินในปัจจุบันจึงน่าจะทำคะแนนด้านเทคนิคได้สูงกว่าคู่แข่งอย่าง BTS แต่อาจเป็นมุมบวกเล็กๆได้สำหรับ BTS และ STEC หาก รฟม. ใช้เกณฑ์ข้อเสนอด้านการเงินเป็นตัวตัดสินเพียงอย่างเดียว อย่างไรก็ตามไม่ว่า รฟม. จะใช้เกณฑ์ใดในการตัดสิน ทางกลุ่ม BEM และ BTS ต่างก็ยืนยันที่จะเข้าร่วมการแข่งขันอย่างเต็มที่
เตรียมรับ SCGP เข้าซื้อขายพรุ่งนี้ อาจกดดัน SET เล็กน้อย
อีกหนึ่งปัจจัยลบระยะสั้น การเตรียมตบเท้าเข้ามาของหุ้น IPO ขนาดใหญ่ อย่าง SCGP ในวันพรุ่งนี้ (22 ต.ค. 63) กดดันดัชนีดังนี้
1. กองทุนน่าจะเร่งเตรียมเงิน สำหรับปรับน้ำหนักพอร์ตใหม่ (reweight) ในช่วงนี้ เพื่อรองรับการเข้ามาของหุ้น SCGP ประเด็นดังกล่าวน่าจะกดดันหุ้นขนาดใหญ่และหุ้นในกลุ่มอุตสาหกรรมเดียวกันในช่วงสั้น
2. กองทุนประเภท Passive Fund น่าจะเตรียมปรับพอร์ตต่อหลังจากหุ้น SCGP เข้าตลาดมาได้ 3 วัน เนื่องจาก SCGP มีโอกาสสูงที่จะเข้าคำนวณในดัชนี SET50 และ SET100 แบบ Fast track (T+3) เนื่องจากเข้าเกณฑ์พิเศษของตลาดฯ คือ มูลค่ากิจการสูงกว่า Market Cap. 20 อันดับแรก และยังสูงกว่า 1% ของสัดส่วนหุ้นทั้งหมดใน SET Index
สรุปคือ การเข้ามาของหุ้นขนาดใหญ่ อย่าง SCGP ยังมีโอกาสกดดันตลาดในช่วงสั้น ส่วนรายละเอียดและความน่าสนใจในการลงทุนหุ้น SCGP สามารถอ่านได้ที่บทวิเคราะห์ Equity Talk หรือรับฟังได้ใน Facebook รายการ Stock Snapshot หัวข้อ “SCGP หุ้น IPO บริษัทลูกของ SCC มีความน่าสนใจขนาดไหน”
ส่วนหุ้นอื่นๆ ที่มีโอกาสเข้า SET50 และ SET100 ในรอบ 1H64 เบื้องต้นฝ่ายวิจัยประเมินมีดังนี้
ตารางคาดการณ์ SET50-100 รอบ 1H64 ของฝ่ายวิจัยฯ ASPS
ที่มา: สายงานวิจัย บล. เอเซีย พลัส
โดยฝ่ายวิจัยชื่นชอบ SCGP, STA, DCC และ JMART
กลยุทธ์ถือเงินสด 35% + STA HMPRO JMART เป็น Top Pick
การเมืองไทยยังคงร้อนแรงอย่างต่อเนื่อง ขณะที่กลไกที่รัฐบาลจะเข้ามาแก้ปัญหา หลังรัฐบาลประกาศจะมีการเปิดประชุมสภาฯ สมัยวิสามัญ เพื่อหารือแนวทางแก้ปัญหา (26 -27 ต.ค.) ต้องติดตามอย่างใกล้ชิด ประเมิน SET Index ในแกว่งในกรอบ 1200-1230 จุด
กลยุทธ์การลงทุนตามพอร์ตจำลอง ยังให้ถือครองเงินสด 35% และหุ้นที่เลือกเน้นไปในกลุ่ม Global Play และหุ้น High Dividend Yield ที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัว ดังนี้
STA(FV @ 40.00) ได้แรงหนุนจากราคายางขึ้นต่อเนื่อง และมีโอกาสเข้าคำนวณใน SET50
JMART(FV @ 18.00) ได้แรงหนุนจากมาตราการ ช้อปดีมีคืนที่จะเริ่มต้นในวันที่ 23 ต.ค. นี้
HMPRO(FV @ 15.50) คือ หุ้นตัวใหม่ที่แนะนำในวันนี้ ซึ่งถือเป็นผู้นำธุรกิจจำหน่ายสินค้าปรับปรุงบ้านที่มีความมั่นคงสูง และคาดหวังการฟื้นตัวได้ งวด 3Q63 ได้ดีกว่ากลุ่มฯ และต่อเนื่องในงวด 4Q63 จะได้อานิสงส์จากทั้งมาตรการช้อปดีมีคืน (ลดหย่อนภาษีสูงสุด 3 หมื่นบาท) ที่สอดคล้องกับสินค้า HMPRO ที่มีราคาต่อบิลสูง และภาวะน้ำท่วมที่น่าจะเป็นอีกแรงหนุนความต้องการจับจ่ายสินค้าปรับปรุงบ้านเก่า ซึ่งคิดเป็นกว่า 80% ของลูกค้า HMPRO ภาพรวมทำให้น่าจะคาดหวังการฟื้นตัวดีขึ้นเร็วเป็นลำดับต้นของกลุ่มฯนับจาก 4Q63 โดยคาดกำไรปี 2563 ลดลง 13.8% และจะกลับมาเติบโต 25.8% จากฐานต่ำ, การกลับมาขยายสาขา และค่าเช่าที่ฟื้นตัวเป็นปกติ ดังนั้นราคาหุ้นที่ปรับฐานจาก Sentiment ลบภาพรวมตลาด สวนทางธุรกิจที่ยังมั่นคงสูง + แนวโน้มกำไรฟื้นตัว จึงแนะนำ ซื้อ มูลค่าพื้นฐานปี 2564 ที่ 15.5 บาท
RESEARCH DIVISION
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
_________
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web