- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Thursday, 03 September 2020 22:02
- Hits: 5323
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 3-9-2020
“มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติมช่วยหนุน”
- • หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
# ภาวะตลาดวานนี้ : SET Index ปรับขึ้น +10.31 จุด ปิดที่ 1315.88 มูลค่าซื้อขาย 4.37 หมื่นล้านบาท นำโดยหุ้นใหญ่ในกลุ่มแบงค์, พลังงาน, วัสดุก่อสร้าง, อิเลคทรอนิกส์ และสื่อสาร ซึ่งเป็นการตอบรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจที่ออกมาใหม่ คือ รัฐบาลแจกเงินคนละ 3,000 บาท จำนวน 15 ล้านคน และเพิ่มสิทธิประโยชน์โครงการ “เราเที่ยวด้วยกัน” นักลงทุนสถาบันกลับมาซื้อสุทธิเล็กน้อย 394 ล้านบาท, ต่างชาติขายสุทธิต่อ 1.25 พันล้านบาท# ปัจจัยและกลยุทธ์ระยะสั้น : SET มี Sentiment ดีขึ้น จากตัวเลขเศรษฐกิจฟื้นตัวหลังผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วใน 2Q63 ทั่วโลก และทางการไทยออกมาตรการกระตุ้นใช้จ่าย จ้างงาน และท่องเที่ยวช่วยหนุน (คาดเริ่มใช้ต.ค.63) ซึ่งกลุ่มที่จะได้อานิสงค์บวกคือ ค้าปลีก & อาหารและเครื่องดื่ม (หุ้นเด่นBJC, CPALL, CPF, GFPT, OSP, TKN) กลุ่มโรงแรม (หุ้นเด่น ERW) และสายการบิน (หุ้นเด่น AAV) สำหรับอีกกลุ่มหลักที่มี Catalyst ในช่วงนี้ คือกลุ่มธนาคารพาณิชย์ ซึ่งเมื่อส.ค.63 แบงค์ชาติเพิ่งออกมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้ SME ที่มีเจ้าหนี้หลายราย และมาตรการช่วยเหลือลูกหนี้รายย่อยโดยนำสินเชื่อบัตรเครดิต สินเชื่อส่วนบุคคลไปมัดรวมกับสินเชื่อบ้านที่มีหลักประกันเพื่อลดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลง ซึ่งแบงค์ที่ได้ประโยชน์จากมาตรการช่วยเหลือ SME คือ BBL, KBANK ส่วนแบงค์ที่ได้อานิสงค์บวกจากมาตรการช่วยลูกหนี้รายย่อย คือ TISCO, KKP สำหรับปัจจัยเสี่ยงหลัก คือ ประเด็นการเมืองภายนอก&ภายใน, ความตึงเครียดระหว่างสหรัฐกับจีน กลยุทธ์ : เลือกซื้อเก็งกำไร
หุ้นแนะนำวันนี้เป็น CPALL : คาดว่ายอดขายและผลประกอบการ 2H63F จะฟื้นตัวดีขึ้นจาก 2Q63 ซึ่งถูกกระทบจากการปิดสาขา และยอดขายชะลอตัวในช่วง Lockdown, มาตรการกระตุ้นการจับจ่ายใช้สอยและท่องเที่ยวเป็นบวกกับบริษัท การปรับ Product mix และการลดค่าใช้จ่ายดำเนินงานช่วยลดผลกระทบจากโควิด-19 ส่วนการเติบโตในระยะยาวมาจากการลงทุนต่างประเทศ ล่าสุดได้ทำสัญญาเฟรนไชส์หลักร้าน 7-11 ในลาว 30 ปีและต่อสัญญาได้อีก 2 ครั้งๆละ 20 ปี แนะนำซื้อ ให้ราคาพื้นฐาน 81.50 บาท
# การวิเคราะห์ทางเทคนิค : ระยะสั้นมากตลาดอยู่ในการรีบาวด์ โดยให้แนวต้านของ SET ไว้ที่ 1320-1330, 1340 การอ่อนตัวต่ำกว่า 1310 ดูไม่ดีควรลดพอร์ตตาม/หรือ Stop loss ส่วนแนวรับให้ไว้ที่ 1290-1280, 1250 หุ้นเด่นทางเทคนิควันนี้เป็น CK (แนวต้าน 20-21 ต่ำกว่า 18.50 Stop loss)และ STA (แนวต้าน 29-30 ต่ำกว่า 26.50 Stop loss)
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Update : KTB (ถือ -ราคาพื้นฐาน 10.10)
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ : ดัชนีดาวโจนส์พุ่ง +1.59% ดัชนี S&P500 +1.54%
# ดัชนี DJIA ปิดที่ 29,100.50 จุด เพิ่มขึ้น +454.84 จุด หรือ +1.59% ขณะที่ดัชนี S&P500 ปิดที่ 3,580.84 จุด เพิ่มขึ้น
+54.19 จุด หรือ +1.54% ส่วนดัชนี Nasdaq ปิดที่ 12,056.44 จุด เพิ่มขึ้น +116.77 จุด หรือ +0.98% หนุนโดยการฟื้นตัวของเศรษฐกิจสหรัฐ
# หุ้นกลุ่มนำตลาดขึ้น คือ กลุ่มสินค้าผู้บริโภค เช่น โคคาโคลา, ฟิลลิป มอร์ริส, พีแอนด์จี เป็นต้น กลุ่มสาธารณูปโภค เช่นเอ็กเซลอน, พีจีแอนด์อี คอร์ปอเรชั่น, ดุ๊ค เอนเนอร์จี, คอนโซลิเดทเต็ด เอดิสัน อิงค์ เป็นต้น ซึ่งเป็นหุ้นที่ปลอดภัย ส่วนหุ้นกลุ่มเทคโนก็ยังมีแรงซื้อต่อเนื่อง ทั้งในหุ้นไมโครซอฟท์, Nvidia, อินเทล, เฟซบุ๊ก, แอมะซอน
+ สหรัฐ : การจ้างงานภาคเอกชนเดือนส.ค. & คำสั่งซื้อภาคโรงงานก.ค.เพิ่มขึ้น
# ออโตเมติก ดาต้า โพรเซสซิ่ง อิงค์ (ADP) และมูดี้ส์ อนาลิติกส์ เปิดเผยว่า การจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐเพิ่มขึ้น428,000 ตำแหน่งในเดือนส.ค. แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 1.17 ล้านตำแหน่ง
# คำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น +6.4% ในเดือนก.ค. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 6.0% หลังจากเพิ่มขึ้น6.4% ในเดือนมิ.ย. โดยได้รับแรงหนุนจากการที่รัฐบาลผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์
- • สหรัฐ : จับตาตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรและดัชนี PMI ภาคบริการเดือนส.ค.
# จะมีรายงานตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐในวันศุกร์นี้ นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรจะเพิ่มขึ้น 1.255 ล้านตำแหน่งในเดือนส.ค.
# รายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นสุดท้ายเดือนส.ค.จากมาร์กิต และดัชนีภาคบริการเดือนส.ค.จากสถาบันจัดการด้านอุปทานของสหรัฐ (ISM)
+ ตลาดหุ้นยุโรป : ปิดบวกรับความหวังว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัว
# ดัชนี Stoxx Europe 600 บวก +1.66% ปิดที่ 371.28 จุด, ดัชนี DAX ตลาดหุ้นเยอรมนีปิดที่ 13,243.43 จุด เพิ่มขึ้น+269.18 จุด หรือ +2.07%, ดัชนี CAC-40 ตลาดหุ้นฝรั่งเศสปิดที่ 5,031.74 จุด เพิ่มขึ้น +93.64 จุด หรือ +1.90% และดัชนี FTSE 100 ตลาดหุ้นลอนดอนปิดที่ 5,940.95 จุด เพิ่มขึ้น +78.90 จุด หรือ +1.35%
# การฟื้นตัวของภาคการผลิตทั่วโลกช่วยหนุนหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมด้วย ขณะที่หุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของยุโรปปิดที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 2544 โดยปรับตัวขึ้นตามหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีของสหรัฐ
- ราคาน้ำมันดิบ : ปิดร่วงลงกว่า -2% เพราะอุปทานจะเพิ่มขึ้น
# สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือนต.ค. ร่วงลง -1.25 ดอลลาร์ หรือ -2.9% ปิดที่ 41.51 ดอลลาร์/บาร์เรล ส่วน BRENTส่งมอบเดือนพ.ย. ลดลง -1.15 ดอลลาร์ หรือ -2.5% ปิดที่ 44.43 ดอลลาร์/บาร์เรล
# การผลิตน้ำมันดิบนอกชายฝั่งอ่าวเม็กซิโกทยอยกลับมา หลังจากก่อนหน้าปิดแท่นขุดเจาะชั่วคราวเนื่องจากพายุเฮอร์ริเคนลอราได้พัดถล่มอ่าวเม็กซิโก และทำให้เกิดคลื่นพายุซัดฝั่ง (Storm Surge) แต่ความแรงของพายุก็น้อยกว่าที่คาดไว้ด้วย
# แม้ว่า EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบสหรัฐลดลง 9.4 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่สิ้นสุดวันที่ 28 ส.ค. โดยปรับตัวลงติดต่อกันเป็นสัปดาห์ที่ 6 ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงเพียง 1.2 ล้านบาร์เรล
- ราคาทองคำ COMEX : ดิ่งลง -1.7%
# สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือนธ.ค. ร่วงลง 34.2 ดอลลาร์ หรือ 1.73% ปิดที่1,944.7 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากค่าเงินดอลลาร์แข็งค่า
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+ รัฐบาลจะออกมาตการกระตุ้นการจ้างงาน, การใช้จ่าย และท่องเที่ยวในประเทศเพิ่มเติม
# เมื่อวานนี้ (2 ก.ย.63) รัฐบาลประกาศว่าจะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพิ่มเติม โดยเป็นการส่งเสริมการจ้างงานโดยเฉพาะให้แก่ผู้จบการศึกษาใหม่, มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย เพื่อลดค่าครองชีพของประชาชน ส่งเสริมการบริโภคและช่วยเหลือผู้ประกอบการรายย่อยทั่วไป วงเงินรวม 6.85 หมื่นล้านบาท และมาตรการท่องเที่ยวในประเทศ ทั้งนี้ให้กระทรวงการคลังสรุปเงื่อนไขต่างๆภายใน 2 สัปดาห์ก่อนเสนอครม. คาดเริ่มโครงการเดือนต.ค.นี้ ซึ่งเบื้องต้นมีรายละเอียดของแต่ละมาตรการ ดังนี้
- • มาตรการกระตุ้นการใช้จ่าย – รัฐบาลจะให้เงินช่วยเหลือ 50% โดยกลุ่มเป้าหมายของผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องเป็นผู้มีสัญชาติไทยอายุ 18 ปีขึ้นไป จำนวนประมาณ 15 ล้านคน คาดว่าใช้งบประมาณ 4.5 หมื่นล้านบาท สำหรับกลุ่มร้านค้าที่เข้าร่วมโครงการจะมุ่งเน้นไปที่ร้านค้ารายย่อยทั่วไป ครอบคลุมไปถึงผู้ประกอบการหาบเร่ แผงลอย ประมาณ 80,000 ร้านค้า เน้นกลุ่มสินค้าอุปโภคบริโภคเป็นหลัก ยกเว้น แอลกอฮอล์กับบุหรี่ ไม่เข้าข่ายใช้โครงการนี้ ผ่านกลไกกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ของรัฐบาล...หลักการผู้เข้าร่วมโครงการจะต้องมีการลงทะเบียน ใครลงทะเบียนก่อนได้รับสิทธิก่อน เมื่อได้รับสิทธิจะได้รับเงิน 3,000 บาทต่อคน ใช้ได้ในระยะเวลา 3 เดือน แต่กำหนดเงื่อนไขว่าใช้ได้วันละ 100-250 บาท คาดว่าจะเริ่มมาตรการในเดือนตุลาคมนี้ (ขณะนี้ยังไม่ได้ตัดสิทธิการใช้จ่ายเงินในร้าน 7-11 หรือร้านโมเดิร์นเทรด...แต่สุดท้ายจะได้เข้าร่วมโครงการหรือไม่ต้องรอดูต่อไป)
- • มาตรการส่งเสริมการจ้างงาน - จะให้กับผู้จบการศึกษาใหม่ 3 กลุ่ม ได้แก่ ระดับปริญญาตรี ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) รวมจำนวน 260,000 อัตรา โดยมีอัตราค่าจ้าง ตามวุฒิการศึกษาดังนี้ ปริญญาตรี เดือนละ 15,000 บาท ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.) เดือนละ 11,500 บาท และประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) เดือนละ 9,400 บาท โดยรัฐบาลจะให้การสนับสนุนเงินค่าจ้าง 50% ของเงินเดือนตามวุฒิการศึกษา สูงสุดไม่เกิน 7,500 บาทต่อคนต่อเดือน โดยจะมีระยะเวลาการจ้างงานทั้งสิ้น 12 เดือน คือ ตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2563 ถึงวันที่ 30 กันยายน 2564
- • มาตรการท่องเที่ยว - เป็นการเพิ่มสิทธิให้ผู้ลงทะเบียนจำนวน 3 สิทธิ ได้แก่ (1) เพิ่มส่วนลดค่าที่พัก 40% เป็นจำนวน 10 คืนต่อคน (2) เพิ่มคูปองอาหารต่อการท่องเที่ยวสูงสุดมูลค่า 900 บาทต่อวัน (โดยหากท่องเที่ยวในวันจันทร์-พฤหัสบดีจะอุดหนุน 900 บาท ขณะที่วันศุกร์-อาทิตย์จะอุดหนุน 600 บาท) และ (3) ให้เงินคืนค่าตั๋วเครื่องบินจำนวน 2,000 บาทต่อที่นั่ง โดยเริ่มดำเนินการนับตั้งแต่วันที่ 1 ก.ย.63 รวมทั้งให้ข้าราชการ พนักงาน ลูกจ้าง และพนักงานรัฐวิสาหกิจ สามารถลาพักผ่อนในวันธรรมดาเพิ่มได้ 2 วัน โดยไม่ถือเป็นวันลาเมื่อลงทะเบียนและใช้สิทธิในแพ็คเกจเราเที่ยวด้วยกัน
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBS : นับเป็นบวกกับกลุ่มที่เกี่ยวกับค้าปลีก อาหาร โรงแรม และสายการบิน โดยมาตรการข้างต้นจะช่วยกระตุ้นและต่อยอดให้เกิดการจับจ่ายใช้สอย บริโภค และท่องเที่ยวมากขึ้น หลังโมเมนตัมแผ่วลงเมื่อหมดมาตรการกระตุ้นชุดก่อน ซึ่งบริษัทจดทะเบียนกลุ่มค้าปลีก & อาหารและเครื่องดื่ม ที่จะได้ประโยชน์จากมาตรการฯและเป็นหุ้นเด่นของเรา ได้แก่ BJC, CPALL, CPF, GFPT, OSP, TKN ส่วนกลุ่มโรงแรม หุ้นเด่นเป็น ERW สำหรับกลุ่มสายการบิน คือ AAV
+ จีนไฟเขียวสายการบินจาก 8 ประเทศรวมไทยบินตรงไปยังกรุงปักกิ่ง
# สำนักงานการบินพลเรือนของจีน (CAAC) เปิดเผยว่าจีนจะอนุมัติให้สายการบินจาก 8 ประเทศ สามารถบินตรงมายังกรุงปักกิ่ง มีผลตั้งแต่วันพรุ่งนี้ โดย ไทย กัมพูชา กรีซ เดนมาร์ก สวีเดน และแคนาดา อยู่ในกลุ่มประเทศที่ได้รับอนุญาตให้บินตรงไปยังกรุงปักกิ่ง (ก่อนหน้านี้ CAAC มีคำสั่งในเดือนมี.ค.ให้สายการบินทั้งหมดที่มีเที่ยวบินไปยังกรุงปักกิ่งให้ลงจอดที่สนามบินอื่นนอกกรุงปักกิ่ง)
# อย่างไรก็ดี CAAC ก็ได้ระบุว่า จีนจะนำมาตรการล็อกดาวน์กลับมาใช้หากตรวจพบว่าผู้โดยสารมากกว่า 3 รายบนเครื่องบินติดเชื้อไวรัสโควิด-19
+ SYNEX (ราคาปิด 13 บาท) & COM7 (ราคาปิด 41 บาท) : ได้อานิสงค์บวกจากการเปิดตัว iPhone 5G
# สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แอปเปิลเตรียมเปิดตัว iPhone 5G จำนวน 4 รุ่นในเดือนต.ค.63 โดยจะเป็นรุ่นมาตรฐาน2 รุ่น ส่วนอีก 2 รุ่นจะเป็นรุ่นไฮเอนด์ ทั้งนี้ iPhone 5G รุ่นมาตรฐานของแอปเปิลจะมีหน้าจอ 5.4" และ 6.1" ส่วนรุ่นไฮเอนด์จะมีหน้าจอ 6.1" และ 6.7" ขณะนี้แอปเปิลได้แจ้งให้บริษัทซัพพลายเออร์ดำเนินการผลิต iPhone 5G จำนวน 75-80 ล้านเครื่องในปีนี้ ซึ่งสอดคล้องกับจำนวนเครื่องที่มีการแจ้งในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
# ความเห็นเชิงกลยุทธ์ DBS : คาดว่า SYNEX และ COM7 จะเป็นบริษัทที่ได้ประโยชน์ จากการเปิดตัวโทรศัพท์iPhone 5G ซึ่งน่าจะมียอดขายดีพอควร และทำให้รายได้ใน 4Q63F ทั้งสองบริษัทเพิ่มขึ้นได้ ราคาเป้าหมายของSYNEX อยู่ที่ 15.50 บาท (Median จาก IAA consensus) มี Upside จากราคาปัจจุบัน 19% ส่วนราคาพื้นฐานCOM7 ทาง DBS ให้ไว้เท่ากับ 42 บาท มี Upside 2%
+ DIF (ราคาปิด 14.80 บาท) : มี Big Lot เมื่อวานนี้ @ 16.20 บาท/หุ้น
# เมื่อวานนี้มีรายการซื้อขาย Big Lot หุ้น DIF จำนวน 5.64 ล้านหุ้น ราคาเฉลี่ยหุ้นละ 16.20 บาท มูลค่ารวม 91.4 ล้านบาท ซึ่งราคาซื้อขาย Big Lot สูงกว่าราคาตลาด 9.5%
# ทางฝ่ายวิจัยฯ DBS ให้ DIF เป็นหนึ่งในหุ้นเด่นในกลุ่ม Infrastructure fund โดยให้ราคาพื้นฐาน 18.80 บาท โดยความต้องการใช้เสาโทรคมนาคมและไฟเบอร์ออฟติคอยู่ในระดับสูง เทคโนโลยี 5G ที่จะเข้ามาทำให้ต้องใช้เสาโทรคมนาคมมากขึ้น (ต้องติดตัวกระจายสัญญาณถี่ขึ้น) คาดการณ์ Dividend yield ประมาณ 7% ต่อปี (คิดจากราคาหุ้นปัจจุบันที่ 14.80 บาท)
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์: อาภาภรณ์ แสวงพรรค : [email protected]
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web