- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Monday, 24 August 2020 14:07
- Hits: 5461
บล.เอเซีย พลัส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 24-8-2020
MARKET TALK
กลยุทธ์การลงทุน
ในทางปัจจัยพื้นฐานเชื่อว่า กำไรบริษัทจดทะเบียน และ GDP Growth ได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้ว แต่ตลาดยังมีแรงกดดันในเรื่อง Covid-19 และการเมืองในประเทศอยู่ อย่างไรก็ตามเชื่อว่า Downside ของ SET Index จำกัดอยู่ที่บริเวณ 1270-1280 จุด พอร์ตจำลอง Cut Loss หุ้น IVL ออกไป ให้เข้าลงทุนใน TFG และ SVI แทน พร้อมเลือกทั้ง 2 บริษัท เป็น Top Pick
Downside จำกัด ขณะที่ PER ปี 2564 อยู่ที่ 17.9 เท่า
หลังผ่านการประกาศ กำไรบริษัทจดทะเบียน และ GDP Growth งวด 2Q63 ทำให้นักลงทุนพอที่จะประเมินจุดต่ำสุดของผลกระทบในทางเศรษฐกิจได้ ถือได้ว่าความเสี่ยงได้ลดลงไประดับหนึ่ง ขณะที่มอง Valuation ในปี 2564 พบว่าที่ SET Index ปัจจุบันมีค่า PER ที่ 17.9 เท่า ส่วนประเด็นที่ยังสร้างแรงกดดันต่อตลาดหุ้นมี 2 เรื่องคือ การกลับมาระบาดของ Covid-19 และการเมืองในประเทศ โดย Covid-19 แม้การระบาดยังอยู่ในระดับสูง แต่อัตรการเพิ่มช้าลง ขณะที่อัตราการเสียชีวิตลดต่ำลง และเริ่มเห็นข่าวบวกเรื่องวัคซีนมากขึ้น โดยภาพรวมเรื่องนี้จึงน่าจะมีผลกดดันต่อ Sentiment ตลาดหุ้นน้อยลงไป ส่วน การเมืองในประเทศ ปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่คาดการณ์เรื่องพัฒนาการของเหตุการณ์ได้ยาก อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าจะไม่มีความรุนแรง แต่ก็ต้องติดตามใกล้ชิด จากองค์ประกอบข้างต้นทำให้เชื่อว่า Downside สำหรับ SET Index มีอยู่ไม่มาก โดยอาจจำกัดอยู่บริเวณ 1270 – 1280 จุด กลยุทธ์ที่แนะนำคือการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่งเข้าพอร์ต สำหรับพอร์ตจำลองมีการ Cut Loss หุ้น IVL น้ำหนัก 15% ออกไป ให้เกลี่ยเงินเข้าลงทุนใน TFG 10% และเพิ่มใน SVI อีก 5% พร้อมเลือกทั้ง 2 บริษัท เป็น Top Pick วันนี้
เชื่อว่าความกังวล COVID-19 จะค่อยๆ ผ่อนคลายลง
การแพร่ระบาด COVID-19 ล่าสุดผู้ติดเชื้อทั่วโลกอยู่ที่ 23.58 ล้านราย แม้ว่าหลายประเทศยังเห็นการกลับมาพบผู้ติดเชื้อ 2nd wave อาทิ ในเอเซีย เช่น อินเดีย, ฟิลิปปินส์, อินโดนีเซีย, ญี่ปุ่น, เกาหลีใต้ เป็นต้น อย่างไรก็ตาม ASPS ประเมินสถานการณ์ COVID-19 ความกังวลมีแนวโน้มค่อยผ่อนคลายขึ้นเรื่อยๆ จากปัจจัยสนับสนุนดังนี้
(+)จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ (New Case) และจำนวนผู้เสียชีวิต (New death) ทั่วโลกเห็นสัญญาณลดลง : ล่าสุด เห็นได้จาก New Case ทั่วโลกเฉลี่ยย้อนหลัง 7 วัน ลดลงเหลือ 2.47 แสนราย จากสัปดาห์ก่อนที่ 2.63 แสนราย และสะท้อนได้จากเส้นค่าเฉลี่ย 7 วันหักหัวลง ดังตาราง) สอดคล้องกับ จำนวนผู้เสียชีวิตมีแนวโน้มลดลงเช่นกัน
(+) จำนวนผู้ติดเชื้อรายใหม่ปัจจุบันมักมีอายุระหว่าง 20-40 ปี : โดยองค์การอนามัยโลกระบุว่า ผู้ติดเชื้อใหม่ที่อายุระหว่าง 20-40 ปี มีสัดส่วนเพิ่มขึ้น ส่วนทางกับช่วงต้นปี (1st wave) ที่ผู้ติดเชื้อใหม่มักเป็นผู้สูงอายุ (60 ปีขึ้นไป) ทำให้เชื่อว่าจำนวนผู้เสียชีวิตในอนาคตมีแนวโน้มลดลง เมื่อเทียบกับช่วงต้นปี และหากพิจารณา Pattern ผู้เสียชีวิต จะพบว่าจำนวนผู้เสียชีวิตปัจจุบันมีแนวโน้มต่ำลง เมื่อเทียบกับการระบาดเมื่อช่วงเดือน เม.ย. 2563 (1st wave) (ดังรูป) บ่งบอกถึงความสามารถในการรักษาผู้ป่วยสามารถทำได้ดีขึ้น ซึ่งจะช่วยให้การ Lockdown ลดความจำเป็นลง
(+) ความคืบหน้าวัคซีนและยารักษา Covid-19 ทั่วโลกมีการพัฒนาต่อเนื่อง : ล่าสุด วัคซีนพัฒนามาจนถึงเฟส 3 แล้ว ขณะที่ยารักษา Covid-19 มีความก้าวหน้าอบ่างมาก และทางเลือกก็มีหลากหลายมากกว่าช่วงต้นปี ล่าสุด องค์การอาหารและยาสหรัฐ (FDA) อนุมัติฉุกเฉินให้แพทย์สามารถใช้พลาสมาของผู้ป่วย COVID-19 ที่รักษาหายแล้ว มารักษาผู้ป่วย COVID-19 ปัจจุบันได้
การ Lockdown ของบางประเทศที่พบการแพร่ระบาดจำกัดบางพื้นที่ (เมืองที่แพร่ระบาด ระยะเวลาสั้นเฉลี่ยอยู่ในช่วง 15 วัน-21 วัน (แตกต่างจากในช่วง 1Q63 หลายประเทศเลือก Lockdown ทั่วประเทศ และระยะเวลา 1-3 เดือน)
ASPS เชื่อว่าสถานการณ์ COVID-19 ในปัจจุบัน นักลงทุนประเมินปัจจัยบวกมีมากกว่าปัจจัยลบ และล่าสุด เริ่มมีกระแสการปรับ GDP Growth ประเทศสำคัญ คือ จีน สถาบันการจัดเครดิตเรทติ้ง Fitch Rating ปรับเพิ่มคาดการณ์ GDP Growth จีนทั้งปี 2563 ขึ้นมาอยู่ที่ 2.7%yoy จากเดิมคาด 1.2% ถือเป็นบวกต่อตลาดหุ้น โดยรวมทำให้เชื่อว่ามีโอกาสที่จะเห็นที่อยู่ในสินทรัพย์ปลอดภัย อาทิ ทองคำ เงินฝากในธนคารพาณิชย์ Money market จะมีโอกาสเห็นเม็ดเงินไหลสินทรัพย์เสี่ยง คือ ตลาดหุ้น
ในประเทศวันนี้ตามเรื่องการประกาศตัวเลขการส่งออก ก.ค.
ประเด็นสำคัญที่มีน้ำหนักต่อการลงทุนในสัปดาห์นี้ ต่างประเทศ คือ 27 ส.ค. การกล่าวสุนทรพจน์ของประธาน Fed ที่ Jackson Hole จะมีการส่งสัญญาณต่อแนวโน้มเศรษฐกิจสหรัฐ ดีหรือชะลอ, การใช้นโยบายการเงินของ Fed ทั้งระยะเวลา QE และอัตราดอกเบี้ยนโยบาย หากออกมาดีและผ่อนคลายเพิ่มเชื่อว่าจะเป็นบวก่อตลาดหุ้นโลก และ ในวันเดียวกัน GDP สหรัฐ งวด 2Q63 (รายงานครั้งที่ 2) Consensus คาดหดตัว -32.5%qoq
ส่วนในประเทศ เช้านี้ 10.30 น. กระทรวงพาณิชย์รายงานยอดส่งออก และนำเข้า เดือน ก.ค. 2563 ตลาดคาดส่งออกหดตัว -17.8%yoyจากเดือนก่อนที่ -23.2%yoy และนำเข้า – 23.2% จากเดือนก่อนที่ -18.1% ASPS พิจารณายอดนำเข้าของประเทศคู่ค้าไทย อาทิ อินเดีย, ญี่ปุ่น, จีน (เกือบ 40% ของการส่งออกรวมของไทย) หดตัวเฉลี่ย -14.4% คาดว่าในครั้งนี้อาจออกมาใกล้เคียงกับที่ตลาดคาด
ขณะที่ปัจจัยอื่นๆ ประเด็นที่สำคัญที่ ASPS คาดมีน้ำหนัก โดยปัจจัยบวกต่อตลาดหุ้นในช่วงนี้จะมาจาก รอ“มาตรกระตุ้นเศรษฐกิจของทีมเศรษฐกิจชุดใหม่” เตรียมจะออกมาในเดือน ก.ย. ขณะที่ปัจจัยลบ ยังให้น้ำหนัก
การกลับมาระบาดของ Covid-19 ในประเทศ
การเมืองในประเทศ ปัจจุบันถือเป็นเรื่องที่คาดการณ์เรื่องพัฒนาการของเหตุการณ์ได้ยาก อย่างไรก็ตามยังเชื่อว่าจะไม่มีความรุนแรง แต่ต้องติดตามใกล้ชิด
เชื่อ SET มี Downside ไม่มาก แนะหุ้นกำไร Q3 เด่น SVI, TFG
แรงกดดันจากประเด็น COVID-19 ที่แผ่วลง ทั้งจากอัตราผู้ติดเชื้อใหม่ และผู้เสียชีวิตที่ลดลง แม้ทิศทางของประเด็นการเมืองยังไม่สามารถคาดเดาได้ แต่หากพิจารณาจาก Valuation เริ่มเห็นความคุ้มค่ากับความเสี่ยงที่จะกลับเข้าลงทุนในตลาดหุ้นไทย ดังนี้
• ในเดือน ส.ค. (mtd) ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวลดลง 1.23% (ลดลงมากที่สุดเป็นอันดับที่ 88 ใน 93 ตลาดหุ้นทั่วโลก) แต่หากมองข้ามไปปีหน้า พบว่า ดัชนี ณ ปัจจุบัน (1299 จุด) ซื้อขายบน PER64F ที่ 17.9 เท่า ถือว่าเป็นระดับที่น่าสนใจ ในยามที่ออกเบี้ยนโยบายยังทรงตัวอยู่ในระดับต่ำ
• หากพิจารณากำไรบริษัทจดทะเบียนที่ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินปี 2564 เท่ากับ 7.85 แสนล้านบาท คิดเป็น EPS64F ที่ 72.51 บาท/หุ้น เพิ่มขึ้นถึง 28% เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า
ดังนั้นกลยุทธ์ในการลงทุน เลือกหุ้นพื้นฐานแข็งแกร่ง ที่สำคัญแนวโน้มกำไรงวด 3Q63 โดดเด่น ด้วยปัจจัยบวกเฉพาะตัว รวมถึงการเข้าสู่ฤดูกาลของอุตสาหกรรม อย่าง SVI, TFG มีรายละเอียดดังนี้
TFG (FV @ 6.00) ราคาหมูและไทยและเวียดนามปรับสูงขึ้นชัดเจนในงวด 3Q63 จากปัญหาหมูขาดแคลนในเอเชีย เช่นเดียวกับราคาไก่ไทยก็ฟื้นตัวชัดเจน หลังคลาย lock down เช่นกัน หนุนแนวโน้มกำไรสุทธิงวด 3Q63 เติบโตต่อเนื่อง คาดกำไรปกติปี 2563-64 จะเติบโตถึง 25.7% yoy และ 17.8% yoy จากธุรกิจไก่และสุกรฟื้นตัว และราคาวัตถุดิบอาหารสัตว์ทรงตัวต่ำ ขณะที่ปัจจุบัน Valuation โดดเด่นทั้งมี Upside สูงเกือบ 40% และ PER63F อยู่ที่ระดับ 11 เท่า
SVI (FV @ 3.80) หุ้นชิ้นส่วนที่ฝ่ายวิจัยฯ ปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 63-64 ขึ้นถึง 125.4% และ 93.2% ตามลำดับ จากการฟื้นตัวของคำสั่งซื้อและ Gross margin ที่ดีกว่าคาดมาก หนุนประสิทธิภาพการทำกำไรดีขึ้นด้วย ขณะที่คาดกำไรปกติงวด 3Q63 จะเพิ่มขึ้นจากงวด 2Q63 จากการเข้าช่วง high season ของธุรกิจ จึงทำให้ฝ่ายวิจัยฯปรับ Fair Value ขึ้นเป็น 3.80 บาท (เดิม 2.50 บาท) มี Upside ประมาณ 10% หากพิจารณาค่า PER ปี 2563 อยู่ระดับ 11 เท่า (ต่ำสุดในกลุ่มชิ้นส่วนฯ) อีกทั้งค่าเงินบาทในปัจจุบันอ่อนค่าเกิน 1.6% จนอยู่ที่ระดับ 31.51 บาท/เหรียญฯ ส่งผลดีต่อกลุ่มชิ้นส่วนฯ ถือเป็นโอกาสสะสม
RESEARCH DIVISION
บริษัทหลักทรัพย์ เอเซีย พลัส
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านตลาดทุน และทางเทคนิค
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
ภราดร เตียรณปราโมทย์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 075365
ฐกฤต ชาติเชิดศักดิ์
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 087636
วรรณพฤกษ์ โกมลวิทยาธร
นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานด้านหลักทรัพย์
เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 110506
ภวัต ภัทราพงศ์
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์เชิงปริมาณ
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web