- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Wednesday, 22 October 2014 16:20
- Hits: 2185
บล.เอเซียพลัส : รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
กลยุทธ์การลงทุน
แม้จะได้รับ sentiment เชิงบวกจากตลาดหุ้นสหรัฐ/ยุโรป แต่อุปสรรคตลาดหุ้นยังมีอยู่ โดยเฉพาะ Current P/E ที่สูง 16 เท่า จึงยังแนะนำให้เลือกหุ้นเงินปันผลเด่น AIT(FV@B 51) และ TASCO (FV@B 63.25) และ SRICHA([email protected]) และ BTS(FV@B12) วันนี้เลือก SYNTEC([email protected]) เป็น Top pick เพราะ P/E ต่ำสุดในกลุ่มรับเหมา และ มีโอกาสปรับเพิ่มประมาณการกำไรสูง
ตลาดหุ้นสหรัฐ/ยุโรป ...ECB กระตุ้นเศรษฐกิจ
ตลาดหุ้นสหรัฐ และ ยุโรปผ่อนคลาย นับจากปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา โดยเฉพาะ สเปน อิตาลี ฟื้นตัวเฉลี่ย 5% (ช่วง 4 วันที่ผ่านมา) รองลงมาคือ เยอรมัน และ ฝรั่งเศส เฉลี่ย 4% ขณะสหรัฐ และ อังกฤษ ราว 4% และ 3% ตามลำดับ ส่วนประเทศในแถบเอเซียจะทรงตัวเป็นส่วนใหญ่ ยกเว้นสิงคโปร์เพิ่มขึ้น 5% อินเดีย เวียดนาม อินโดนีเซีย และ มาเลเซียฟื้นตัวเฉลี่ย 2% น่าจะเป็นผลจาก
ยุโรปเริ่มมีแผนกระตุ้นเศรษฐกิจชัดเจน ดังที่นำเสนอไปใน Market Talk วานนี้คือ การที่ธนาคารกลางยุโรป (ECB) ได้เข้าซื้อตราสารหนี้ที่ค้ำประกันด้วยสินเชื่อคุณภาพ (covered bonds) จากธนาคารพาณิชย์ ในประเทศฝรั่งเศส (ธนาคาร Societe General SA และ BNP Paribas SA) และ สเปน ล่าสุดได้เข้าซื้อในประเทศอิตาลี (Intesa Sanpaolo SpA) แม้จะมิได้เปิดเผยจำนวนเงินที่แน่ชัดก็ตาม และหลังจากนี้คือ 4Q57 จะเข้าซื้อ ตราสารหนี้ที่มีหลักทรัพย์ค้ำประกัน (ABS) จากประเทศที่เศรษฐกิจย่ำแย่ วงเงิน 1.4 หมื่นล้านยูโร (1.8 หมื่นล้านเหรียญฯ) คือ โปรตุเกส 1.12 หมื่นล้านยูโร และ กรีซ 2.7 พันล้านยูโร
ตลาดน่าจะผ่อนคลาย หลังจีนรายงาน GDP Growth งวด 3Q57 ดีกว่าคาด แต่ก็เพียงเล็กน้อย คือ 7.3%yoy (vs คาด 7.2%yoy) แต่ภาพโดยรวมยังคงชะลอตัว (เทียบกับ 7.4% งวด 1Q57 และ 7.5% งวด 2Q57) ทั้งนี้เป็นผลจาก การลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่หดตัวรุนแรง ฉุดรั้งอุปสงค์ในประเทศและภาคกการผลิต จึงทำให้ทางการจีนออกมาตรการกระตุ้นด้วยการลดเงินดาวน์ซื้อบ้านหลังที่สอง เหลือ 30% จากเดิม 60% ในขณะที่ก่อนหน้านี้ได้ลดอัตราการดำรงเงินสดสำรอง (RRR) 0.5% สำหรับธนาคาร ที่ปล่อยสินเชื่อให้กับธุรกิจการเกษตรและกิจการขนาดเล็ก ในเดือน มิ.ย. และ ก.ย. อัดฉีดสภาพคล่องเพิ่มเติมอีก 81.4 พันล้านเหรียญฯ แก่ธนาคารรายใหญ่ที่สุดของประเทศ 5 แห่ง ล่าสุดเตรียมอัดฉีดเงินกว่า 2 แสนล้านหยวน (3.27 หมื่นล้านเหรียญ) แก่ธนาคารขนาดกลางที่มีผู้ถือหุ้นทั่วไป (Joint-stock banks) 20 แห่ง เช่น Guangfa Bank Co. และ Industrial Bank รองรับการใช้จ่ายประชาชนในช่วงเทศการปีใหม่และกระตุ้นการลงทุน
ขณะที่ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจสหรัฐยังสดใสต่อเนื่อง โดยยอดขายบ้านมือสอง เดือน ก.ย. เพิ่มขึ้น 2.4%mom (สูงสุดในรอบ 1 ปี) สอดคล้องกับก่อนหน้าที่ยอดขออนุญาตสร้างบ้าน เพิ่มขึ้น 1.5%mom (vs - 5.1% mom เดือน ส.ค.) และยอดสร้างบ้านใหม่เพิ่ม 6.3%mom (vs – 12.8% mom เดือน ส.ค.) จึงเชื่อว่าสหรัฐยังคงเดินหน้าใช้นโยบายการเงินที่เข้มงวดต่อไป สะท้อนจากล่าสุด นายริชาร์ด ฟิชเชอร์ (ประธาน FED สาขาดัลลัส) ให้การสนับสนุนการยุติ QE ในเดือนนี้ ขัดแย้งกับความเห็นของ นายเจมส์ บูลลาร์ด (ประธาน FED สาขาเซนต์หลุยส์) ที่แสดงความเห็นก่อนหน้าว่าควรชะลอการตัด QE ไปก่อน อย่างไรก็ตามในภาวะดอกเบี้ยขาขึ้นเชื่อว่ายังเป็นปัจจัยกดดันตลาดหลัก ทั้งนี้ ต้องติดตามความชัดเจนจากการประชุม FOMC ในวันที่ 28-29 ต.ค. และ
ทั้งนี้เชื่อว่าความชัดเจนของมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจจะช่วยผ่อนคลายปัญหาในยุโรป ซึ่งจะสร้าง sentiment เชิงบวกต่อตลาดหุ้นโลก โดยเฉพาะฝั่งยุโรปและสหรัฐ ซึ่งมีเศรษฐกิจที่ใกล้ชิด อย่างไรก็ตามเศรษฐกิจสหรัฐ ที่ฟื้นตัวต่อเนื่องยังเป็นประเด็นที่ทำให้เชื่อว่าการใช้มาตรการเข้มงวดทางการเงินยังเป็นไปตามแผนเดิม ประเด็นเหล่านี้จึงยังมิไช่ปัจจัยหนุนให้มี fund flow ไหลเข้าประเทศไทยในระยะอันใกล้ เนื่องจากปัญหาเฉพาะของประเทศ เช่น ค่า Current P/E ที่ยังสูงเหนือ 16 เท่า และ โอกาสการปรับลดกำไรตลาดมีมากขึ้น ตลอดจนการประกาศใช้กฏอัยการศึก ยังบ่งบอกถึงภาวะที่ไม่ปกติยังซ่อนอยู่
ต่างชาติยังคงขายหุ้นเอเซีย
วานนี้นักลงทุนต่างชาติสลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคอีกครั้ง ราว 168 ล้านเหรียญฯ โดยที่เป็นการสลับมาขายสุทธิทุกประเทศ แต่ปริมาณขายเบาบาง ทั้งนี้ประเทศที่มีการขายสูงสุดคือ ไต้หวันสลับมาขายสุทธิราว 84 ล้านเหรียญฯ (ขายสุทธิ 26 จาก 29 วันหลังสุด) เช่นเดียวกับเกาหลีใต้และไทย ที่สลับมาขายสุทธิอีกครั้งราว 41 และ 27 ล้านเหรียญฯ ตามลำดับ (เกาหลีใต้ขายสุทธิ 21 จาก 27 วันหลังสุด และ ไทยขายสุทธิ 13 จาก 18 วันหลังสุด) ขณะที่ฟิลิปปินส์ยังคงขายสุทธิต่อเนื่องเป็นวันที่ 15 ราว 9 ล้านเหรียญฯ (เพิ่มขึ้นเกือบ 2 เท่าตัวจากวันก่อนหน้า) และสุดท้ายคือ อินโดนีเซียที่สลับมาขายสุทธิราว 7 ล้านเหรียญฯ (ขายสุทธิ 27 จาก 31 วันหลังสุด)
นักลงทุนต่างชาติได้สลับมาขายสุทธิหุ้นในภูมิภาคอีกครั้งเบาบาง โดยเป็นการขายสุทธิถึง 27 จาก 30 วันหลังสุด เช่นเดียวกับในตลาดหุ้นไทยที่นักลงทุนต่างชาติทยอยขายสุทธิออกมาต่อเนื่องตั้งแต่วันที่ 26 ก.ย. 57 รวมกว่า 1.3 หมื่นล้านบาท ขณะที่ในตลาดตราสารหนี้ นักลงทุนต่างชาติยังคงสลับซื้อขายรายวัน โดยวานนี้ได้สลับมาซื้อสุทธิราว 3.8 พันล้านบาท (ขายสุทธิ 1.6 พันล้านบาทในวันก่อนหน้า) โดยยอดรวมตั้งแต่ต้นปีเป็นซื้อสุทธิราว 1.9 แสนล้านบาท ลดลงอย่างมากจากช่วงเดียวกันของปีที่แล้ว ที่เป็นยอดซื้อสุทธิสูงถึง 4.5 แสนล้านบาท เชื่อว่าเป็นผลจากกระแสการตัดลด QE ของสหรัฐฯ
หุ้นก่อสร้างมีโอกาสฟื้นตัว หลังตกต่ำมากที่สุด
นับตั้งแต่ตลาดหุ้นไทยเริ่มปรับฐานตั้งแต่ 29 ก.ย. (ซึ่งช้ากว่าตลาดหุ้นสหรัฐและยุโรปที่ปรับฐานตั้งแต่ 19 ก.ย.) จนถึงปัจจุบัน พบว่า SET Index ลดลงไป 4.6% โดยในช่วงเวลาดังกล่าวปรากฏว่ากลุ่มที่ปรับฐานลงไปหนักกว่าตลาด อาทิ รับเหมาฯ -9.7%, ปิโตรฯ -8.8%, ค้าปลีก -5.8%, ธนาคารพาณิชย์ -5.5% รายละเอียดดังปรากฏตามภาพด้านล่าง
ดังนั้น หาก SET Index มีโอกาสที่จะรีบาวด์กลับช่วงสั้น กลุ่มที่มีโอกาสฟื้นตัวได้แรงมากกว่ากลุ่มอื่น คือ กลุ่มรับเหมาฯ ประกอบกับประเด็นบวกจากการที่ ครม. วานนี้ได้เห็นชอบแนวทางการพัฒนาโครงการคมนาคมขนส่งในระยะเร่งด่วนในปี 2558 วงเงิน 6.8 หมื่นล้านบาท (เป็นส่วนหนึ่งตามยุทธศาสตร์การพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของไทยในระยะ 8 ปี) โดยงบประมาณส่วนใหญ่จะใช้สำหรับเร่งรัดโครงการรถไฟฟ้า 4 เส้นทาง ที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ได้แก่ รถไฟฟ้าสายสีม่วง(บางใหญ่-บางซื่อ) รถไฟฟ้าสายสีน้ำเงิน (หัวลำโพง-บางแค,บางซื่อ-ท่าพระ) รถไฟฟ้าสายสีเขียว (แบริ่ง-สมุทรปราการ) และรถไฟฟ้าชานเมืองสายสีแดง (บางซื่อ-รังสิต) ซึ่งหลังการประชุมในช่วงบ่ายวานนี้ หุ้นรับเหมาก่อสร้างขนาดใหญ่ ต่างปรับตัวลดลงแรง ทั้ง ITD(-0.97%) CK(-2.35%) และ STEC(-3.20%) ซึ่งน่าจะเกิดจากความสับสนเกี่ยวกับเม็ดเงินลงทุนโครงการภาครัฐที่น้อยกว่าที่นักลงทุนคาดไว้ จากตัวเลขที่ได้มีการประเมินกันไว้ก่อนหน้า ว่าจะมีมูลค่าสูงถึง 2.4 ล้านล้านบาท ในช่วงระหว่างปี 2558-2565
อย่างไรก็ตาม โครงการลงทุนตามแผนยุทธศาสตร์ทั้งหมดยังคงเป็นไปตามแผน เพียงแต่ยังไม่ได้มีการกำหนดวงเงินที่แน่นอน เนื่องจากยังอยู่ในระหว่างการทบทวนของกระทรวงคมนาคม สำหรับการลงทุนหุ้นกลุ่มรับเหมาก่อสร้าง ฝ่ายวิจัยแนะนำให้เลือกลงทุนหุ้นรับเหมาก่อสร้างขนาดกลาง-เล็ก ที่มีพื้นฐานดีและราคาหุ้นยังปรับตัวขึ้นไม่มาก อย่าง SEAFCO (FV@B 7.04),PYLON(FV@B 9.00) และ SYNTEC (FV@B 2.83) ซึ่งล้วนมี P/E ต่ำในกลุ่มรับเหมา เทียบกับหุ้นรับเหมาใหญ่ทั้ง ITD,CK,STEC และ UNIQ ปัจจุบันซื้อขายกันที่ PER สูงเกิน 25 เท่า จึงเหลือ Upside ในการปรับตัวขึ้นจึงมีโอกาสน้อยกว่า วันนี้เลือก SYNTEC (FV@B 2.83) เป็น Top pick เพราะมีโอกาสปรับเพิ่มประมาณกำไรในปี 2557-2558 ขึ้นจากเดิม
ภรณี ทองเย็น, CISA เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004146
เทิดศักดิ์ ทวีธีระธรรม เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 004132
พบชัย ภัทราวิชญ์ เลขทะเบียนนักวิเคราะห์: 052647
ผู้ช่วยนักวิเคราะห์
กษิดิ์เดช รัตนสมบูรณ์
มาราพร กี้วิริยะกุล