กลยุทธ์วันนี้ >> Selective and Earnings Play//Accumulate around 1,300+-

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index รีบาวด์ตามตลาดหุ้นทั่วโลกที่ฟื้นตัวโดยปิดบวก 9.58 จุด ณ สิ้นวัน กลุ่มที่นำตลาดได้แก่ กลุ่มไฟแนนซ์ โรงไฟฟ้า AOT เป็นต้น ส่วนกลุ่มที่ปรับฐานคืออิเล็กทรอนิกส์ สถาบันในประเทศเป็นฝ่ายซื้อสุทธิ 2.4 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1.8 พันลบ. (ต่างชาติ Long Index Futures 3.8 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,320-1,340 จุด โดยสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ-จีนยังคงกดดันบรรยากาศการลงทุนหลังจีนจะตอบโต้สหรัฐฯกรณี TikTok ขณะที่ผู้แทนการค้าของทั้ง 2 ฝ่ายมีกำหนดพูดคุยกลางเดือน ส.ค. นี้หลังครบระยะเวลา 2 เดือนของข้อตกลงทางการค้าเฟสแรก ซึ่งจีนยังนำเข้าสินค้าเกษตรและพลังงานต่ำกว่าที่กำหนด ส่วนปัจจัยในประเทศวันนี้ติดตามการประชุมกนง.ซึ่งเราคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยและรอครม.ชุดใหม่กระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลัง ขณะที่ผลประกอบการ 2Q20 ฝั่ง Real Sector จะทยอยออกมาหนาแน่นมากขึ้นใน 1-2 สัปดาห์นี้ซึ่งไม่สดใส เรายังประเมินกรอบการบวกของตลาดจำกัด โดยระยะสั้นยังเน้นเลือกเก็งกำไรหุ้นที่คาดว่าจะมีผลประกอบการ 2Q20 แข็งแกร่ง และจังหวะอ่อนตัวของดัชนีลงใกล้ระดับ 1,300+- จุดยังเป็นโอกาสในการทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานเช่นเดิม โดยหากมีพัฒนาการเชิงบวกของวัคซีนในเฟส 3 เราแนะนำให้ Switch ไปลงทุนกลุ่ม Global Play ทันที

กลยุทธ์ : เก็งกำไรหุ้นที่คาดมีผลประกอบการ 2Q20 แข็งแกร่ง//ทยอยสะสมหุ้นพื้นฐานในช่วงตลาดปรับฐานบริเวณ 1,300 จุด+-

หุ้นเด่นเดือน ส.ค. : CPALL, GULF, PTG, SC, STGT

หุ้นเด่นวันนี้: SC

- แนะนำซื้อ ราคาเป้าหมายปี 2021 ที่ 2.80 บาท

- คาดกำไร 2Q20 +61% Q-Q, +71% Y-Y โตโดดเด่น และคาดเม็ดเงินมีโอกาสหมุนเข้าหากลุ่มอสังหาฯแนวราบซึ่งมีแนวโน้มผลการดำเนินงานแข็งแกร่งทั้ง 2Q20 และครึ่งปีหลัง

- Presales 2Q20 ทำ New High +193% Q-Q, +38% Y-Y หนุนแนวโน้ม 3Q20 ยังดีต่อ ขณะที่ Valuation ถูก PE และ PBV เพียง 5.6 เท่าและ 0.5 เท่า ตามลำดับ และให้ Dividend Yield 7%

Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนพลิกมาไหลเข้าภูมิภาคตามคาด US$10 ล้าน แต่ยังกระจุกตัวที่ไต้หวัน US$201 ล้าน ขณะที่ประเทศอื่นๆยังไหลออกนำโดยเกาหลีใต้และไทย US$108 ล้านและ US$58 ล้าน ตามลำดับ เราคาดว่ากระแสเงินทุนมีโอกาสพลิกมาไหลออกหลังมีข่าวว่าผู้แทนการค้าของสหรัฐฯ-จีนมีกำหนดพูดคุยกันกลางเดือนนี้เพื่อประเมินข้อตกลงทางการค้าเฟสแรกหลังครบ 6 เดือน โดยจีนยังนำเข้าสินค้าต่ำกว่าที่ตกลง

ประเด็นสำคัญวันนี้

(+) หุ้นที่คาดมีกำไร 2Q20 แข็งแกร่ง AP BCH CBG CPF DRT GUNKUL ICHI MTC PRM PTG SC SMT STGT TACC TU XO (ตลาคคาดกำไร 2Q20 ของ SET -14% Q-Q, -60% Y-Y)

(+) คาดกนง.คงดอกเบี้ยที่ 0.50% ในการประชุมวันนี้ แม้ภาพรวมเศรษฐกิจของไทยจะยังเปราะบาง แต่เราคาดว่าธปท.จะรักษา Policy Space เพื่อรองรับความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นในอนาคต และใช้มาตรการช่วยเหลือเฉพาะจุด เช่น ลดเพดานดอกเบี้ย เลื่อนและลดภาระชำระหนี้ เป็นต้น และคาดว่ารอทีมเศรษฐกิจใหม่ของรัฐบาลกระตุ้นเศรษฐกิจผ่านนโยบายการคลังซึ่งตรงจุดมากกว่าเพราะ COVID-19 กระทบเศรษฐกิจฐานรากเป็นหลัก กลุ่มธนาคารจึงเหมาะสำหรับการลงทุนระยะยาว 1-2 ปีขึ้นไป เราเลือก BBL (ราคาเป้าหมาย 142 บาท) และ TISCO (ราคาเป้าหมาย 88 บาท) เป็น Top Pick

(+) RBF แนวโน้มกำไร 2Q20 อ่อนตัว -26% Q-Q, +27% Y-Y จากผลกระทบของ COVID-19 ที่มีต่อลูกค้า รวมถึงธุรกิจโรงแรมที่ถูกกระทบหนัก แต่คาดกลับมาฟื้นตัวใน 2H20 จากคำสั่งซื้อที่กลับมาฟื้นตัวอีกครั้งทั้งกลุ่มธุรกิจอาหาร รวมถึงการขยายตลาด Fragrance สำหรับ Non-Food) ซึ่งมี Margin สูง เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปกติปี 2020-2021 ขึ้น 8-12% เป็น +43% Y-Y และ +16% Y-Y ตามลำดับ พร้อมปรับเพิ่มราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 11 บาท แนะนำ "ซื้อ"

(+) GPSC เราคาดกำไรปกติ 2Q20 +8% Q-Q, +10% Y-Y หนุนโดยระบบน้ำของโรงไฟฟ้าพลังน้ำไซยะบุรีที่สูงขึ้น ผลกระทบเชิงลบของลูกค้า IU ที่จำกัด ขณะที่ช่วง 2H20 จะเริ่มได้ประโยชน์จากต้นทุนแก้สที่ต่ำลงซึ่งเป็นบวกต่อ Margin นอกจากนี้ยังอาจมี Upside จากธุรกิจนำเข้า LNG ในอนาคต เราแนะนำ "ซื้อ" ราคาเป้าหมาย 112 บาท

(+) CKP เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ CKP มากขึ้นจากปริมาณน้ำที่มากขึ้นซึ่งเป็นบวกต่อโรงไฟฟ้าไซยะบุรีและน้ำงึม 2 และคาดเริ่มพลิกมีกำไรใน 2Q20 และประเมินผลกระทบของโรงไฟฟ้า SPP จาก COVID-19 ค่อนข้างจำกัดจาก PPA มั่นคงของ EGAT ปรับราคาเป้าหมายถึงขึ้นเป็น 6.60 บาทและปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "ซื้อ"

(0) QH เราคาดกำไรปกติ 2Q20 ชะลอ -16% Q-Q, -28% Y-Y ถูกกดดันจากส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมอย่าง HMPRO LHFG ที่ลดลง แต่คาดเป็นจุดต่ำสุดของปีและฟื้นตัวใน 2H20 เราปรับใช้ราคาเหมาะสมปี 2021 ที่ 2.80 บาท ปรับคำแนะนำขึ้นเป็น "ซื้อ

(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 164.07 จุด หรือ 0.62% ปิดที่ 26,828.47 จุด จากการปรับขึ้นของหุ้นกลุ่มพลังงาน ตามราคาน้ำมันดิบ รวมถึงหนุนด้วยกระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่าคำสั่งซื้อภาคโรงงานของสหรัฐเพิ่มขึ้น 6.2% ในเดือนมิ.ย. สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดว่าเพิ่มขึ้น 5.0% ขณะที่นักลงทุนติดตามการเจรจาระหว่างสภาคองเกรสและทำเนียบขาวเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ หลังนายชัค ชูเมอร์ แกนนำของพรรคเดโมแครตในวุฒิสภาสหรัฐ เปิดเผยกับผู้สื่อข่าวว่ามีความคืบหน้าในระดับหนึ่ง และใกล้จะบรรลุข้อตกลง

(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ กดดันจากการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนรายใหญ่ที่อ่อนแอ

(0) ตลาดเอเชียปรับตัวผสม ท่ามกลางสถานการณ์ที่ไม่แน่นอนเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะที่นักลงทุนติดตามจีนเปิดเผยดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการเดือนก.ค.จากไฉซิน

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น ล่าสุดอยู่ที่บริเวณ 31.03 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 69 เซนต์ หรือ 1.7% ปิดที่ 41.70 ดอลลาร์/บาร์เรล จากสัญญาณบวกเกี่ยวกับความคืบหน้าการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ ขณะที่นักลงทุนติดตาม EIA รายงานสต็อกน้ำมันดิบประจำสัปดาห์ของสหรัฐในวันนี้ เวลา 21.30 น.ตามเวลาไทย ท่ามกลางนักวิเคราะห์คาดว่าจะลดลง 4.1 ล้านบาร์เรลในสัปดาห์ที่ผ่านมา และคาดว่าสต็อกน้ำมันเบนซินจะลดลง 1.3 ล้านบาร์เรล

(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 34.7 ดอลลาร์ หรือ 1.75% ปิดที่ 2,021 ดอลลาร์/ออนซ์ สูงสุดเป็นประวัติการณ์ จากความคืบหน้าในการเจรจามาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจรอบใหม่ของสหรัฐ รวมถึงอัตราผลตอบแทนพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐทั้งประเภทอายุ 10 ปี และ 30 ปี ที่ปรับลง และการอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 1257.73 / +9.35

ปัจจัยที่ต้องติดตาม

5 ส.ค. - ไทย: ประชุมกนง., เงินเฟ้อเดือน ก.ค.

- ยูโรโซน: ยอดค้าปลีก (มิ.ย.)

- สหรัฐฯ: ดุลการค้า (มิ.ย.)

6 ส.ค. - อังกฤษ: ประชุม BoE

- อินเดีย: ประชุม RBI

- ไทย: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค, อัตราว่างงาน (ก.ค.)

7 ส.ค. - สหรัฐฯ: การจ้างงานนอกภาคเกษตร (ก.ค.)

- จีน: นำเข้า-ส่งออก (ก.ค.)

- เยอรมนี: ดุลการค้า, ผลผลิตภาคอุตสาหกรรม (มิ.ย.)

Contact person : Jitra Amornthum Register : 014530

Contact person : Veeravat Virochpoka Register : 047077

www.fnsyrus.com

FB: Finansia Syrus Research