- Details
- Category: บทวิเคราะห์
- Published: Tuesday, 21 July 2020 15:41
- Hits: 5511
บล.ดีบีเอสวิคเคอร์ส : บทวิเคราะห์ตลาดหุ้นรายวัน 21-7-2020
“วัคซีนคืบหน้า-มาตรการกระตุ้น-กำไรธนาคารต่ำคาด”
• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้ : --
# ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วานนี้แกว่งแคบ หุ้นกลุ่มแบงก์กดดันตลาดฯ ปิด -1.29 จุด ที่ 1358.29 จุด มูลค่าซื้อขาย 52 พันลบ.ดัชนีฯไซด์เวย์ คล้ายตลาดเพื่อนบ้าน ยกเว้นจีนปรับขึ้นเด่น ตลาดฯตอบรับในทางลบ หลัง KBANK ประกาศกำไรต่ำกว่าคาด TMB ดีตามคาด ยังกังวลยอดผู้ติดเชื้อสูง และรอประกาศแบงก์ตัวอื่นๆ และมีการเก็งกำไรหุ้นรายตัว จน NEX ติด Trading Alert ผู้ซื้อสุทธิมาก-โบรกเกอร์ ขายสุทธิมาก-สถาบัน YTD ต่างชาติขายสุทธิ 220 พันลบ.
# ปัจจัยและกลยุทธ์: SET มีโอกาสรีบาวด์ วัคซีนคืบหน้า รอมาตรการสหรัฐกระตุ้นเพิ่ม น้ำมันปรับขึ้น แต่งบแบงก์ไทยต่ำคาด ปัจจัยบวกคือ บ.แอสตร้าเซนเนก้าทดสอบวัคซีนได้ผล จับตาผลประกอบการบ.ขนาดใหญ่สหรัฐ รอมาตรการกระตุ้นเพิ่มที่สหรัฐ ดาวโจนส์ +9 จุด น้ำมันปรับขึ้น 22 เซ็นต์ เศรษฐกิจจีนฟื้น ทำให้ไทยได้ประโยชน์ด้วย ด้านปัจจัยลบคือ จำนวนผู้ติดเชื้อและเสียชีวิตสูงมาก ค่าเงินบาทมีความผันผวนทางอ่อน หุ้นกลุ่มธนาคารประกาศกำไรแย่กว่าคาด จากการตั้งสำรอง ECLเพิ่ม ล่าสุดที่แย่กว่าคาด y-o-y KTB -53%,KKP -19.5% แต่ดีกว่าคาด SCB -24% กลยุทธ์ระยะสั้น เข้าไว-ออกไว เล่นรอบ คาดดัชนีซื้อ-ขายในกรอบ 1340-1380จุด ด้านกลยุทธ์ระยะกลาง-ยาว เนื่องจากเศรษฐกิจโลกและไทยยังย่ำแย่ ความเสี่ยง ติดเชื้อรอบสองและการเมืองไทย แต่มีสัญญาณการผลิต-บริการจ้างงานเริ่มฟื้นตัว หลังคลายล็อกดาวน์ และไตรมาส 2 เป็นจุดต่ำสุดของปีแล้ว จึงแนะนำทยอยถอยรับหลักทรัพย์พื้นฐานดีที่แนะนำซื้อ เก็งกำไบริษัทซื้อหนี้มาบริหาร (หนี้เสียมีมาก หลังแบงก์ตั้งสำรองฯสูง)- BAM,JMT,CHAYO เก็งกำไรหุ้นกลุ่มส่งออกเมื่อบาทอ่อน- DELTA,HANA,KCE,CPF,TU หุ้นพลังงานผันผวนแต่หุ้นแนะนำ ซื้อ-PTT,PTTEP,TOP,GPSC,BGRIM,BCP วัสดุก่อสร้างพื้นฐานดี-SCC,TASCO,DRT หุ้นกลุ่มการแพทย์เข้าไฮซีซัน-BCH, BDMS, CHG, RJH,RPH หุ้น Defensive-ADVANC,DTAC,CPF,CHG,OSP หุ้นปันผลสูง-KKP,TISCO,LH เติบโต-ฟื้นตัวดี- AP,MTC,PTL,TASCO,TU,STI ราคาเนื้อสัตว์ดี- CPFขนส่ง-กลับมาฟื้นตัวเร็ว BEM หุ้นกลุ่ม REITs & IFFs ปันผลสูง ดอกเบี้ยในตลาดต่ำ- DIF,AIMIRT,IMPACT แต่ระยะสั้นระวังงบ 2Q63 ไม่ดี คือ BTS, CPALL,HMPRO, CK,VGI,PF อย่างไรก็ตามการยังไม่เปิดน่านฟ้ารับคนต่างประเทศ กลุ่มที่ยังไม่สดใส คือ เดินทาง-ท่องเที่ยว สนามบิน AOT (แต่การกระตุ้นท่องเที่ยวในประเทศ บางครั้งมีเก็งกำไร) นิคมฯ-คอนโดรอโอนจากจีน และโรงพยาบาลเน้นต่างประเทศ BH แนวรับคือ 1320-1310 จุด และ แนวต้าน 1370-1380 จุด ส่วนตัดขาดทุนต่ำกว่า 1350 จุด
# Stock Pick Today : DTAC โดดเด่นด้านการประหยัดต้นทุน เงินปันผลรออยู่ ล่าสุดประกาศกำไรหลัก 2Q63 เป็น 1.6 พันล้านบาท ดีกว่าที่เราคาดถึง 50% (ทรงตัวYoY และ +17%QoQ) เพราะประหยัดต้นทุน-ค่าใช้จ่ายได้ดี จากการแข่งขันในอุตสาหกรรมลด แม้รายได้จากการให้บริการ (ไม่รวม IC) น้อยลง จากลูกค้า-ARPU ลด พร้อมประกาศจ่ายเงินปันผลรอบครึ่งปีอีก 0.87 บาท ยิลด์ดี 2.1% XD 24 ก.ค.นี้แล้ว ปรับเพิ่มราคาพื้นฐานเป็น 47 บาท (DCF) หลังเพิ่มประมาณการสูง ราคาปัจจุบันมีส่วนเพิ่ม 15%
การวิเคราะห์ทางเทคนิค: สั้น...ภาพยังเป็นบวกเล็กๆ อาจมีรีบาวด์ช่วงสั้นๆ แต่ยังให้น้ำหนักกับการลงในระยะกลาง ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick &Indicators เหมือนๆจะยังได้ภาพบวกเล็กๆ {แม้“ปิดลบ” แต่ก็เล็กน้อย, และยังเหนือ“SMA10วัน”ได้ (โดยมี“โครงสร้างขาลง – ระยะกลาง”กดดัน)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(มี“SMA10”หนุน) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้ แนวต้าน 1370 (หรือ 1380 – 1390) จุด{แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1350” (แนวรับย่อย “1320 – 1310 / 1300” จุด)}
Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com
Inside Story
Key Drivers TODAY : ปัจจัยต่างประเทศ / ปัจจัยในประเทศ
Company Guide : KBANK (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 107.00)
LHHOTEL (ถือ -ราคาพื้นฐาน 10.70)
PF (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 0.34)
Flash Note : CPNREIT (Fully Valued -ราคาพื้นฐาน 20.00)
KKP (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 59.00)
SCB (ถือ -ราคาพื้นฐาน 73.00)
TISCO (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 87.00)
TMB (ซื้อ -ราคาพื้นฐาน 1.15)
TOP (ถือ -ราคาพื้นฐาน 54.00)
Turnover List Watch : ตลาดหลักทรัพย์ฯให้ NEX และ NEX-W2 เข้าข่ายระดับ 2
Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ โควิด-19: วัคซีน ChAdOx1 nCoV-19 ทดลองเฟสแรก ได้ผลดี ส่วนไฟเซอร์ และ BioNTech จะส่งมอบวัคซีน
# The Lancet ซึ่งเป็นวารสารทางการแพทย์ เปิดเผยว่า วัคซีน ChAdOx1 nCoV-19 ที่ได้รับการพัฒนาโดยแอสตร้าเซนเนก้า ซึ่งเป็นบริษัทผลิตยารายใหญ่ของอังกฤษ และมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด สามารถสร้างภูมิต้านทานเชื้อไวรัสโควิด-19ในการทดลองเฟสแรกกับอาสาสมัครจำนวนมากกว่า 1,000 คน
# มีข่าวไฟเซอร์ และ BioNTech ซึ่งเป็นบริษัทยาของเยอรมนี ทำข้อตกลงกับรัฐบาลอังกฤษในการส่งมอบวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 จำนวน 30 ล้านโดสในปีนี้และปีหน้า
+/- สหรัฐ: จับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทชั้นนำของสหรัฐในสัปดาห์นี้
# นักลงทุนจับตาการเปิดเผยผลประกอบการของบริษัทชั้นนำของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ได้แก่ ไมโครซอฟท์, เทสลา, อินเทลและเวริซอน คอมมิวนิเคชันส์
+ สหรัฐ: นักลงทุนติดตามการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่
# นักลงทุนยังจับตาการเจรจาระหว่างทำเนียบขาวและสภาคองเกรสเกี่ยวกับการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจฉบับใหม่เนื่องจากโครงการช่วยเหลือคนว่างงานจะหมดอายุลงในวันที่ 31 ก.ค.นี้
+ ตลาดหุ้นสหรัฐ: ข่าววัคซีนหนุนดาวโจนส์ปิดบวก 8.92 จุด,หุ้นเทคโนฯหนุน Nasdaq ทำนิวไฮ
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 ก.ค.) ขานรับรายงานที่ว่า วัคซีนซึ่งบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า(AstraZeneca) พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ดนั้น สามารถสร้างภูมิต้านทานเชื้อไวรัสโควิด-19 ขณะที่ดัชนีNasdaq ปิดทำนิวไฮ โดยได้แรงหนุนจากคำสั่งซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยี อย่างไรก็ดี ดัชนีดาวโจนส์ปิดบวกเพียงเล็กน้อยเนื่องจากการร่วงลงของหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมได้สกัดแรงบวกในตลาด
+ น้ำมัน: WTI ปิดบวก 22 เซนต์ รับความหวังวัคซีนต้านโควิด-19
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 ก.ค.) ขานรับความคืบหน้าเกี่ยวกับการทดลองวัคซีนต้านไวรัสโควิด-19 ซึ่งบริษัทแอสตร้าเซนเนก้า (AstraZeneca) พัฒนาร่วมกับมหาวิทยาลัยออกซ์ฟอร์ด โดยข่าวดังกล่าวช่วยให้นักลงทุนคลายความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19
# สัญญาน้ำมันดิบยังได้แรงหนุน หลังจากเบเกอร์ ฮิวจ์ ซึ่งเป็นผู้ให้บริการขุดเจาะน้ำมันของสหรัฐ เปิดเผยว่า แท่นขุดเจาะน้ำมันและก๊าซธรรมชาติในสหรัฐที่มีการใช้งาน มีจำนวนลดลง 5 แท่นในสัปดาห์ที่แล้ว สู่ระดับ 253 แท่น ซึ่งเป็นการทำสถิติต่ำสุดเป็นประวัติการณ์เป็นสัปดาห์ที่ 11 ติดต่อกัน นับตั้งแต่เริ่มมีการบันทึกข้อมูลดังกล่าวเมื่อปี 2483 หรือเมื่อ 80 ปีก่อน
• ทองคำ: ปิดบวก $7.4 เหตุวิตกโควิด-19 หนุนแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัย
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (20 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนยังคงเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ท่ามกลางความไม่แน่นอนเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจโลก อันเนื่องมาจากจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ที่พุ่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ การอ่อนค่าของสกุลเงินดอลลาร์ยังเป็นอีกปัจจัยที่ช่วยหนุนแรงซื้อทองคำ
• ติดตามการประกาศตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐที่จะทยอยประกาศออกมา
# นักลงทุนรอดูข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ ซึ่งรวมถึงดัชนีกิจกรรมเศรษฐกิจทั่วประเทศเดือนมิ.ย.จากเฟดชิคาโก, ดัชนีราคาบ้านเดือนพ.ค., ยอดขายบ้านมือสองเดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีชี้นำเศรษฐกิจเดือนมิ.ย.จาก Conference Board, ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคบริการขั้นต้นเดือนก.ค.จากมาร์กิต,ดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตขั้นต้นเดือนก.ค.จากมาร์กิต และยอดขายบ้านใหม่เดือนมิ.ย.
ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
+/- เงินบาท: มีความผันผวนมากขึ้น จากสภาพคล่องส่วนเกินที่ธ.กลางมีการอัดฉีดแก้โควิด-19
# ผู้ว่าการ ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวว่า เงินบาทที่อ่อนค่าลงในช่วงนี้เป็นผลมาจากความไม่แน่นอนต่างๆ ทั้งในประเทศและต่างประเทศ จากผลพวงของสถานการณ์โควิด-19 โดยมองว่าจะมีความผันผวนมากขึ้นในตลาดการเงินและตลาดทุนที่เกี่ยวเนื่องกับต่างประเทศ เนื่องจากในปัจจุบันมีสภาพคล่องส่วนเกินจำนวนมาก จากการที่ธนาคารกลางของประเทศอุตสาหกรรมหลักได้อัดฉีดสภาพคล่องเข้าสู่ระบบ เพื่อแก้ไขปัญหาสถานการณ์โควิด รวมถึงการแพร่ระบาดในต่างประเทศยังมีความไม่แน่นอนสูงมาก ซึ่งเมื่อมีสภาพคล่องส่วนเกินสูงในระบบการเงินโลก จึงทำให้เกิดความผันผวนได้ง่ายขึ้นเมื่อมีข่าวหรือมีข้อมูลอย่างใดอย่างหนึ่งออกมา
# ผลกระทบ: เงินบาทอ่อนค่าจะส่งผลดีกับกลุ่มส่งออก แต่ไม่ดีกับตลาดหุ้น เพราะหากนักลงทุนต่างประเทศมีการขาดทุนในหุ้นแล้ว ก็จะต้องใช้เงินบาทมากขึ้นในการแลกกลับเป็นสกุลเงินต่างประเทศ
+ เศรษฐกิจไทย: ธปท.คาดเศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุด 2Q63 ทยอยฟื้นตัว แต่กว่าจะกลับไปปกติเป็นปลายปี 64
# ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) กล่าวในงานสัมมนาว่า เศรษฐกิจผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วในช่วงไตรมาส 2/63 ที่กิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกหยุดชะงัก ซึ่งเศรษฐกิจไทยจากนี้ไปคงเป็นลักษณะการทยอยฟื้นตัวแบบค่อยเป็นค่อยไปและคาดว่าจะกลับมาฟื้นตัวสู่ระดับปกติเหมือนกับช่วงก่อนเกิดวิกฤติโควิดราวปลายปี 64 ภายใต้เงื่อนไขที่ว่าจะต้องไม่มีการระบาดรุนแรงซ้ำอีก
+ การฟื้นตัวของเศรษฐกิจจีน มีแนวโน้มจะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มประเทศอาเซียน
# นักเศรษฐศาสตร์จากธนาคารโอเวอร์ซีส์-ไชนีส แบงกิ้ง คอร์ป (OCBC) กล่าวว่า การเติบโตของเศรษฐกิจจีนมีแนวโน้มที่จะเป็นประโยชน์ต่อกลุ่มประเทศอาเซียน เนื่องจากกลุ่มอาเซียนส่งออกสินค้าไปยังจีนเป็นจำนวนมาก
# ผลกระทบ: เป็นบวก ตลาดหลักทรัพย์ฯเคยเปิดเผยข้อมูลว่าในปี 62 ไทยส่งออกไปจีนราว 29,000 ล้านเหรียญสหรัฐหรือคิดเป็น 12% ของการส่งออกไปทั่วโลก โดยส่วนใหญ่ 40% ที่ส่งออกไปจีนอยู่ในกลุ่มสินค้าประเภท เม็ดพลาสติกและเคมีภัณฑ์ ยางพาราและผลิตภัณฑ์ยางพารา รวมทั้งสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ หลักทรัพย์ที่ DBS แนะนำ ซื้อ เช่นSCC,TASCO,PTT,CPF,TU และ PTL เป็นต้น
นักวิเคราะห์&กลยุทธ์ : สมบัติ เอกวรรณพัฒนา : [email protected]
******************************************
กด Like - Share เพจ Corehoon-Power Time เพื่อติดตามเคล็ดลับ ข่าวสาร เทรนด์ และบทวิเคราะห์ดีๆ อัพเดตทุกวัน คัดสรรมาเพื่อท่านนักลงทุนโดยเฉพาะ
Click Donate Support Web